คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
เดี๋ยวนะ ทำไมถึงคิดถึงโรคซึมเศร้ากันล่ะ
แล้วระดับการเป็นโลกส่วนตัวสูงก็มีหลายเลเวลนะ
Introvert >>> อันนี้พบในคนปกติ ไม่แปลกอะไร
Isolate >>> ต้องสงสัย
Withdrawal >>> ต้องสงสัย
ในกลุ่มผู้ป่วย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นซึมเศร้าก็ได้
ส่วนใหญ่มันจะเกินคำว่า Introvert ล่ะค่ะ เกินไปไกลกว่านั้นมากเลยล่ะ
คือ แยกหรือปิดตัวเองออกไปเลยน่ะ เก็บตัวในห้อง ไม่สุงสิงกับครอบครัว
อาจจะพบว่าไม่สนใจสุขอนามัย ความเป็นอยู่คือ ละทิ้งการสนใจอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมออกไป
อย่างคนเราบางทีเข้าสังคมอาจจะมีกังวลบ้างว่า มีกลิ่นตัวไหม กลิ่นปากหรือเปล่า ชุดอับไหม ก็จะสนใจดูแลตัวเอง
แต่กลุ่มนี้บางครั้งคือ ไม่มีเลย เพราะปิดตัวเองสนิท จนไม่สนใจสภาพทางสังคมของตนเองเลยน่ะ
บางรายอาจพบว่า ไม่ทำงาน ไม่เรียน ไม่ติดต่อใครเลย
ไม่ไปแม้แต่ซื้อของเอง อาศัยในครอบครัวช่วยเหลือ แต่ก็ยังไม่พบปะคนในครอบครัว
มีความวิตกกับการเข้าสังคม และยากลำบากในการสร้างสัมพันธภาพกับคนอื่น
อันนี้คือ ลักษณะโดยคร่าวที่มักพบได้พอสมควรน่ะ
ข้างบนนี่เป็นลักษณะแบบสาเหตุอาจมาจากทางจิตใจ และต่อมามีการพัฒนาอาการมากขึ้นเรื่อยๆน่ะ
แต่มันจะมีอีกกลุ่มที่ "โลกส่วนตัวสูง" จนมีลักษณะพิเศษ" ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว " เคยได้ยินไหมคะ
อันนี้ก็ขาดการเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมภายนอก จนเกิดการสร้างโลกของตนเองขึ้นมาเหมือนกัน
และในโลกส่วนตัวของเขา มักจะยึดเข้ากับสิ่งของหรือให้ความสนใจจดจ่อกับตนเอง
จนเกิดเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นประสาทสัมผัส อย่างสะบัดมือ หรือ จ้องมองของที่หมุนไปมา
คิดว่า เหมือนคำว่า โลกส่วนตัว ที่ใช้กันชิคๆ ชิวๆ slow-lifeในเนตไหมคะ
แล้วระดับการเป็นโลกส่วนตัวสูงก็มีหลายเลเวลนะ
Introvert >>> อันนี้พบในคนปกติ ไม่แปลกอะไร
Isolate >>> ต้องสงสัย
Withdrawal >>> ต้องสงสัย
ในกลุ่มผู้ป่วย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นซึมเศร้าก็ได้
ส่วนใหญ่มันจะเกินคำว่า Introvert ล่ะค่ะ เกินไปไกลกว่านั้นมากเลยล่ะ
คือ แยกหรือปิดตัวเองออกไปเลยน่ะ เก็บตัวในห้อง ไม่สุงสิงกับครอบครัว
อาจจะพบว่าไม่สนใจสุขอนามัย ความเป็นอยู่คือ ละทิ้งการสนใจอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมออกไป
อย่างคนเราบางทีเข้าสังคมอาจจะมีกังวลบ้างว่า มีกลิ่นตัวไหม กลิ่นปากหรือเปล่า ชุดอับไหม ก็จะสนใจดูแลตัวเอง
แต่กลุ่มนี้บางครั้งคือ ไม่มีเลย เพราะปิดตัวเองสนิท จนไม่สนใจสภาพทางสังคมของตนเองเลยน่ะ
บางรายอาจพบว่า ไม่ทำงาน ไม่เรียน ไม่ติดต่อใครเลย
ไม่ไปแม้แต่ซื้อของเอง อาศัยในครอบครัวช่วยเหลือ แต่ก็ยังไม่พบปะคนในครอบครัว
มีความวิตกกับการเข้าสังคม และยากลำบากในการสร้างสัมพันธภาพกับคนอื่น
อันนี้คือ ลักษณะโดยคร่าวที่มักพบได้พอสมควรน่ะ
ข้างบนนี่เป็นลักษณะแบบสาเหตุอาจมาจากทางจิตใจ และต่อมามีการพัฒนาอาการมากขึ้นเรื่อยๆน่ะ
แต่มันจะมีอีกกลุ่มที่ "โลกส่วนตัวสูง" จนมีลักษณะพิเศษ" ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว " เคยได้ยินไหมคะ
อันนี้ก็ขาดการเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมภายนอก จนเกิดการสร้างโลกของตนเองขึ้นมาเหมือนกัน
และในโลกส่วนตัวของเขา มักจะยึดเข้ากับสิ่งของหรือให้ความสนใจจดจ่อกับตนเอง
จนเกิดเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นประสาทสัมผัส อย่างสะบัดมือ หรือ จ้องมองของที่หมุนไปมา
คิดว่า เหมือนคำว่า โลกส่วนตัว ที่ใช้กันชิคๆ ชิวๆ slow-lifeในเนตไหมคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
เอาง่ายๆ จะมีบางคนที่ทนอยู่เงียบๆ คนเดียวไม่ได้ ต้องมีเพื่อน ต้องได้ออกไปอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ คนมากๆ ที่วุ่นวายๆ ถ้าอยู่คนเดียวจะเหงา เศร้าซึม รู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ
ฟังดูมันก็เหมือน จิตๆ เพี้ยนๆ ใช่ไหมหละ
โลกส่วนตัวสูง ก็ทำนองตรงข้ามกัน คือ ถ้าเลือกได้อยากจะอยู่ที่คนน้อยๆไม่พลุกพล่าน ไม่เยอะแยะ ไม่ต้องเจอหน้าใครทักใคร ไม่ต้องรู้จักกับคนนั้น คนนี้เยอะแยะ เดินไปก็เดินผ่านกัน อยากจะลุก อยากจะนั่ง อยากจะทำอะไรก็ทำได้ด้วยตัวคนเดียวไม่ต้องมานั่งรอ มติกลุ่ม ทำนองนี้
คือ ถ้าเรียกตามคำศัพท์จริงๆ คำไทยจะเรียกว่า "ถือวิเวก" - คือ การแยกตัวไปอยู่คนเดียว ในทางธรรมก็เพื่อลดความวุ่นวายภายนอกและเพื่อพิจารณาภายในจิตใจตนเอง หรือ "สันโดษ" - คือ การพึงพอใจในความเป็นอยู่เท่าที่มีเท่าที่เป็นของตน กับเรื่องในหัวข้อก็จะเป็นทำนองว่า กินง่าย อยู่ง่าย ใช้ชีวิตง่าย คือ เมื่อคิดว่ากินแบบนี้ อยู่แบบนี้พอแล้วก็เอาแค่นี้ ในขณะที่ถ้าอยู่กับคนหมู่มาก มักจะทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะคนมากก็เรื่องมาก พอเรื่องมากมันก็ไม่สันโดษ คือ คนสันโดษ คือ เอาง่ายๆ ว่าง่ายๆ ไม่ต้องทางเลือกเยอะ ออปชันเพียบ
พอเข้าใจไหมครับ 555
ดังนั้น คนโลกส่วนตัวสูง ก็จะมีลักษณะทำอะไรก็ทำอยู่ไม่กี่อย่าง ที่ชอบ ที่พอใจ และยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ต้องทำคนเดียว หรือทำหลายคนไม่ได้ มันก็ต้องแยกไปโดยอัตโนมัติของมันเอง หรือมีนิสัยไม่เข้าพวกกับคนทั่วไป เช่น เป็นผู้หญิงไม่ชื่นชอบการพูดถึงละคร หรือเม้าท์มอยนินทา เป็นผู้ชายไม่ติดตามข่าวกีฬา อย่างนี้เป็นต้น ก็จะไม่เข้าสังคมหมู่มากได้ลำบาก ก็จะกลายเป็นเงียบเวลาที่คนอื่นพูดคุยกัน
แต่คนพวกนี้ ก็เป็นคนธรรมดา ที่บ้างคือไม่ได้ชอบอะไรที่คนทั่วไปชอบ และใช่ที่ว่า อาจจะเป็นอะไรที่มันดูเท่ ทำให้คนบางคนก็หมั่นไส้ได้ (ไม่ใช่ผมนะ ผมไม่เท่) แต่ถ้าวิเคราะห์ตัวเอง และคนอื่นอย่างมีเมตตาแล้ว จะเข้าใจเอง ว่าอะไรจริง หรือไม่จริง หลอกลวง แสร้งทำ หรือเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ และคนพวกนี้ถ้าเจอคนที่ชอบเหมือนกันเค้าก็คุยกันได้ สังคมกันได้แหละ ไม่ใช่ปิดตัวไปหมดแน่นอน
ที่ จขกท มีปัญหา ไม่ใช่กับคำโลกส่วนตัวสูง แต่มีปัญหา กับ โลกโซเชียล เพราะคนเราตอนนี้เสพหนักมาก พอมีคำพูด หรือวลีอะไรถูกยกขึ้นมาบ่อยๆ เนื้อหาหรือแก่นสารของคำ มันก็จะหายๆไป เหลือแต่ตัวคำพูดใช้กันเกร่อไป จนน่ารำคาญบ้าง น่าหมั่นไส้บ้าง ขอแนะนำว่า ให้เสพอย่างระวัง หรือ หยุดเสพบ้างก็จะดีขึ้นเอง เพราะเราแก้โลกนี้ไม่ได้ครับ
ฟังดูมันก็เหมือน จิตๆ เพี้ยนๆ ใช่ไหมหละ
โลกส่วนตัวสูง ก็ทำนองตรงข้ามกัน คือ ถ้าเลือกได้อยากจะอยู่ที่คนน้อยๆไม่พลุกพล่าน ไม่เยอะแยะ ไม่ต้องเจอหน้าใครทักใคร ไม่ต้องรู้จักกับคนนั้น คนนี้เยอะแยะ เดินไปก็เดินผ่านกัน อยากจะลุก อยากจะนั่ง อยากจะทำอะไรก็ทำได้ด้วยตัวคนเดียวไม่ต้องมานั่งรอ มติกลุ่ม ทำนองนี้
คือ ถ้าเรียกตามคำศัพท์จริงๆ คำไทยจะเรียกว่า "ถือวิเวก" - คือ การแยกตัวไปอยู่คนเดียว ในทางธรรมก็เพื่อลดความวุ่นวายภายนอกและเพื่อพิจารณาภายในจิตใจตนเอง หรือ "สันโดษ" - คือ การพึงพอใจในความเป็นอยู่เท่าที่มีเท่าที่เป็นของตน กับเรื่องในหัวข้อก็จะเป็นทำนองว่า กินง่าย อยู่ง่าย ใช้ชีวิตง่าย คือ เมื่อคิดว่ากินแบบนี้ อยู่แบบนี้พอแล้วก็เอาแค่นี้ ในขณะที่ถ้าอยู่กับคนหมู่มาก มักจะทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะคนมากก็เรื่องมาก พอเรื่องมากมันก็ไม่สันโดษ คือ คนสันโดษ คือ เอาง่ายๆ ว่าง่ายๆ ไม่ต้องทางเลือกเยอะ ออปชันเพียบ
พอเข้าใจไหมครับ 555
ดังนั้น คนโลกส่วนตัวสูง ก็จะมีลักษณะทำอะไรก็ทำอยู่ไม่กี่อย่าง ที่ชอบ ที่พอใจ และยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ต้องทำคนเดียว หรือทำหลายคนไม่ได้ มันก็ต้องแยกไปโดยอัตโนมัติของมันเอง หรือมีนิสัยไม่เข้าพวกกับคนทั่วไป เช่น เป็นผู้หญิงไม่ชื่นชอบการพูดถึงละคร หรือเม้าท์มอยนินทา เป็นผู้ชายไม่ติดตามข่าวกีฬา อย่างนี้เป็นต้น ก็จะไม่เข้าสังคมหมู่มากได้ลำบาก ก็จะกลายเป็นเงียบเวลาที่คนอื่นพูดคุยกัน
แต่คนพวกนี้ ก็เป็นคนธรรมดา ที่บ้างคือไม่ได้ชอบอะไรที่คนทั่วไปชอบ และใช่ที่ว่า อาจจะเป็นอะไรที่มันดูเท่ ทำให้คนบางคนก็หมั่นไส้ได้ (ไม่ใช่ผมนะ ผมไม่เท่) แต่ถ้าวิเคราะห์ตัวเอง และคนอื่นอย่างมีเมตตาแล้ว จะเข้าใจเอง ว่าอะไรจริง หรือไม่จริง หลอกลวง แสร้งทำ หรือเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ และคนพวกนี้ถ้าเจอคนที่ชอบเหมือนกันเค้าก็คุยกันได้ สังคมกันได้แหละ ไม่ใช่ปิดตัวไปหมดแน่นอน
ที่ จขกท มีปัญหา ไม่ใช่กับคำโลกส่วนตัวสูง แต่มีปัญหา กับ โลกโซเชียล เพราะคนเราตอนนี้เสพหนักมาก พอมีคำพูด หรือวลีอะไรถูกยกขึ้นมาบ่อยๆ เนื้อหาหรือแก่นสารของคำ มันก็จะหายๆไป เหลือแต่ตัวคำพูดใช้กันเกร่อไป จนน่ารำคาญบ้าง น่าหมั่นไส้บ้าง ขอแนะนำว่า ให้เสพอย่างระวัง หรือ หยุดเสพบ้างก็จะดีขึ้นเอง เพราะเราแก้โลกนี้ไม่ได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
มีคำามที่สงสัยครับคำว่า "โลกส่วนตัวสูง" มันคือ"โรค"หรือ"นิสัย"ครับ
ที่ผมสงสัยก็เพราะว่าผมลองมานั่งคิดๆดูและอ่านกระทู้ที่เกี่ยวกับคนโลกส่วนตัวสูงอย่างเช่น
1.คนโลกส่วนตัวสูง ชอบอยู่เงียบๆ ผมก็คิดต่อไปอีกว่าคนที่อยู่เงียบๆเค้าก็แค่ต้องการแค่อยู่เงียบๆไม่เห็นจะเกี่ยวกัน
2.คนโลกส่วนตัวสูง มักจะไม่เข้าหาใครก่อน ผมก็คิดต่อไปอีกว่าคนปกติทั่วๆไปก็ไม่มีใครที่จะเข้าหาใครก่อน
อะไรประมาณนี้ และอื่นๆที่เข้าข่ายอะไรทำนองนี้ เพราะเท่าที่เห็นตั้งกระทู้กันก็จะเกี่ยวข้องกับการที่อยู่เงียบๆทำอะไรคนเดียวไม่สนใจใคร
ซึ่งผมก็ลองมาเทียบกับคนปวดทางจิต/สมอง/หรือคนจรจัดที่พบเห็น คนกลุ่มนี้ก็มักจะเก็บตัวเงียบเหมือนกัน บางคนเด่วดีเด่วร้าย บางคนพูดรู้เรื่องและเข้าใจในแบบฉบับของตัวเอง บางคนชอบอยู่เงียบไม่สนใจใครแบบจริงจัง บางคนมีอารมณ์ความคิดที่แปลกแยกและแตกต่างและมองเห็นแตกต่างจากคนอื่นๆ
สรุปแล้วคำว่า "โลกส่วนตัวสูง" มันคือ "โรค" หรือ "นิสัยที่คนสร้างมันขึ้นมาจากนิสัยเงียบๆของตนเอง"