“เราจะช่วยกันออกตามหาอีกแรง” เบียงก้ากล่าวเมื่อเดินทางมาถึงที่พักของทั้งสามหนุ่มแวมไพร์ เธอติดงานหนักที่ค่ายตลอดนับตั้งแต่พวกเขาออกจากค่ายมา แล้วรีบเดินทางเมื่อทราบข่าวด้วยเวลาที่รีบเร่ง การหายตัวไปแบบนี้คงไม่สามารถนิ่งเฉยได้เพราะยังไงซะพวกเขาคือครอบครัวเดียวกันและที่แน่ๆพวกเขายังไม่ได้สร้างศัตรูไปทั่วยกเว้นเพียงคนเดียวซึ่ง ก็คือ ไซม่อน
“ให้ผมช่วยหรือเปล่า” เอ็ดเสนอตัวช่วยเพราะอาจจะทำให้การค้นหามันเร็วขึ้น
เบียงก้าทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา การแต่งกายจะเน้นความเรียบไม่เด่นจนเกินไป ผมยาวที่หยักเป็นลอนถูกรวบขึ้นไว้เป็นหางม้าสวมเสื้อยืดสีเทาและกางเกงยีนส์ทั่วไป บวกกับรองเท้าบู้ดที่เพิ่มความถนัดทะแมง มือเรียวกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่นเนื่องจากเธอได้โทรไปกล่าวรายงานเพื่อยืนยันว่าแอรอนและไรอันหายไปเมื่อคืนก่อน
พอรุ่งสางเธอได้รับการติดต่อเหตุด่วนจากเอ็ดผ่านคนที่ทำงานให้ลูคัสที่มักจะอยู่ในบริเวณพื้นที่กระจายกันไปทั่ว บางคนทำงานเป็นนักกฎหมาย บางคนทำร้านขายหนังสือ
พรรคพวกของพวกเขาถูกตีแผ่ไปทั่วเท็กซัส นี่เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เอ็ดเพิ่งได้รู้ไม่นานมานี้ เมื่อเขาคลาดกับคนอื่นจู่ๆทั้งสองดันหายไปแบบผิดปกติความรู้สึกแปลกๆเหมือนมีภัยคุกคามทำให้เอ็ดต้องแจ้งให้เบียงก้าทราบเพราะถ้าหากเราขาดใครสักคนไปที่มีฝีมือและพลังวิเศษคงแย่แน่
เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ในค่ายหรือบ้านที่ชุบเลี้ยงพวกเขามานานนั้นต่างมีพลังวิเศษเป็นของตนเอง ว่าแต่ท่านลูคัสรู้ได้ยังไงว่าพวกเขามีพลังพวกนี้อยู่ในกายมานับตั้งแต่เกิด มันยังคงเป็นข้อสงสัยที่เขาเองคงต้องหาทางคิดเอาเองและสืบสาวเรื่องราวให้ได้
“ท่านเบียงก้า พอรู้หรือไม่ว่ามีศัตรูเผ่าพันธุ์ไหนที่เป็นคู่อริเรา….ขอให้ผมได้ช่วยเพื่อนผมด้วยเถิด” เอ็ดเสนอความคิดเห็นถึงแม้จะช่วยได้ไม่มากก็ตาม แต่ทันใดนั้นเบียงก้าก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก อากัปกิริยาที่แสดงออกอย่างนั้นมันทำให้เอ็ดชักจะสงสัยว่าก่อนหน้านี้หรือทศวรรษก่อนๆพวกเขาทำเรื่องอะไรไว้แต่มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีและบางทีมันอาจจะทำให้เขาโตขึ้น เอ็ดจ้องใบหน้าสวยนิ่งๆ
“แค่ไปเรียนและทำชีวิตให้เป็นปกติ เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเองนายยังจะต้องเล่นบทบาทเป็นมนุษย์อยู่นะ หวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นอีก” เบียงก้าเดินผ่านตัวเขาไปพร้อมกับทิ้งเงื่อนงำไว้ให้เขาคิดปวดหัวเล่น อีกนานแค่ไหนกันที่กลุ่มคนพวกนี้จะพูดความจริงกับเขาสักที
ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอนก่อนจะนอนแผ่หลาพยายามระงับจิตใจไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้ตายสิแอล ทำไมไม่ส่งอะไรซักอย่างผ่านจิตมาหรืออะไรก็ตามเพราะแอลได้ฝึกการพูดกันทางจิตกับเขามาสักพักแต่ยังไม่เป็นผลเพราะพลังของพวกเขาเพิ่งฟื้นตัวและมักจะระเบิดออกมาเมื่อมีเหตุการณ์ที่จะมากระตุ้นเพียงเท่านั้น
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบขึ้นมองหลอดไฟนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวผู้ที่เดินเข้ามาทำข้อตกลงกับเขา ถึงแม้การกระทำของเธอคนนั้นค่อนข้างจะอ่อนต่อโลกไปนิดเพื่อที่จะรัก เขารู้สึกว่าเธอไม่ควรที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว
และบางทีก็อยากจะแสดงความรู้สึกส่งผ่านไปให้เธอได้รับรู้บ้างแต่เมื่อมาลองตริตรองดีๆดูแล้วคงไม่ดีนักถ้าการที่จะให้ชีวิตเธอมาแลกความรักกับปีศาจอย่างพวกเขา เรื่องมันดำเนินมาซะครึ่งทางแล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี
ชายหนุ่มผู้มีผมสีเดียวกับดวงตาที่ว่างเปล่านั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมามันเป็นเหมือนการย่ำอยู่กับที่ และดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องปฏิบัติภารกิจเพียงคนเดียว การค้นหายังคงดำเนินต่อไป
เรเนสเป็นผู้หญิงที่มีแววของความสดใสแต่เศร้าหมองแปลกๆยามเขาจดจ้องดวงตาคู่นั้น เขาอยากจะปกป้องเธอเหลือเกินแต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดที่ผุดโผล่ขึ้นมาท่ามกลางความคิดสุดแสนจะบ้าคลั่งของเขาแล้วเรื่องร้ายๆเพิ่งจะเริ่มต้นเขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะไม่สามารถไปพบเธอได้อีกต่อไป
กลัวว่าเธอจะเป็นอันตราย หรือนี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าตกหลุมรักหรือเปล่า เขาจะตกหลุมรักเธอคนนี้ไปได้ยังไงกัน เอ็ดปัดความรู้สึกนั้นออกไปพลางเอนตัวลงนอนคิด อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
ชายหนุ่มจดจ้องมือของตัวเองเป็นเวลานานก่อนจะพยายามบังคับให้คลื่นบางอย่างที่อยู่ภายในตัวไหลวนมาอยู่ที่ฝ่ามือก่อนจะเห็นเป็นเปลวไฟเล็กๆเขาบังคับให้มันเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหนึ่งสลับสับเปลี่ยนเรื่อยๆ เขาคงจะมานั่งทุกข์ใจคิดถึงเรื่องอื่นๆ ยังมีอีกหลายสิ่งที่มันควรจะเผยความลับออกมา
ถึงแม้เขาจะได้รับคำสั่งให้ทำตามหน้าที่จนกว่าจะพบเป้าหมายแต่นั่นยังไม่สมควรที่จะให้เขารู้แต่เพียงเท่านั้นเว้นเสียแต่ว่าพวกนั้นไม่คิดไม่ฝันว่าเขาทั้งสามคนจะสามารถรับมือกับมนุษย์ได้สบายและอยู่รอดมาขนาดนี้
ปริศนาหลายๆปมที่ยังคงไม่ถูกเปิดออกยังคงทิ้งรอยของความอยากรู้เอาไว้ ความรู้สึกแปลกๆกับผู้ที่สร้างเขาขึ้นมานั้นแฝงเร้นไปด้วยความลับมากมายมหาศาล และเขาควรจะออกตามหาปริศนานี้ให้เจอ
ท่ามกลางความมืดมิดในยามวิกาลมีร่างสูงของชายคนหนึ่งกำลังเดินย่ำเท้ากับพื้นที่เปียกชื่นเต็มไปด้วยน้ำที่ขังอยู่ ณ บริเวณนั้นสถานที่ที่พวกเขาทั้งสามเคยผ่านมาสำรวจมันเมื่อไม่นานเป็นหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างไว้แต่เขารับรู้ได้ว่า ถึงแม้ภายนอกมันจะดูไม่มีอะไรมันเป็นแค่บ้านที่ไม่มีผู้คนอาศัยแต่ความจริงแล้วมันมีบางอย่างกำลังซ่อนตัวจากพวกเขาอยู่ เขาเดินตรงดิ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรงต่อความมืดที่ไม่สามารถรู้ว่ามันจะนำพาสิ่งที่ผู้คนหวาดกลัวมาหรือเปล่า
เอ็ดเลือกที่จะขอไม่อยู่เฉยๆให้บางสิ่งบางอย่างมาเล่นงานเขาหรอก เขารู้ดีว่าแอลกับไรอันไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งใดสักวันพวกเขาจะหากันเจอในเร็ววัน เพราะบางทีไม่แน่ มันอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายที่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามก็เป็นได้ เบื้องหน้าที่มีถนนทอดยาวเข้าไปจนไม่สามารถมองเข้าไปได้เพราะมันมืดสนิทเหมือนตัวเขาเองเป็นแสงสว่างอยู่เพียงจุดเดียว
เขาเลือกที่จะเดินทางเพื่อออกตามหาร่องรอยของเพื่อนทั้งสองโดยปราศจากไม่มีอะไรเลย นี่คงเป็นทางเดียวที่เขาเองควรจะหาคำตอบเพราะมันถึงเวลาที่เขาจะปลดปล่อยความรู้สึกออกมาเสียแล้ว อารมณ์โกรธเกรี้ยวถาโถมเข้ามาภายในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจู่ๆมือทั้งสองข้างก็เกิดไฟลุกขึ้นฉับพลัน เท้าของเขาหยุดฉงักมีเงาตะคุ่มบางอย่างเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วผ่านหน้าเขาไป
“แน่จริง พวกเจ้าก็จงปรากฏตัว” เอ็ดแผดเสียงดังลั่นก่อนจะควบคุมพลังตัวเองให้มั่นคง เปลวไฟที่ลามเลียค่อยๆปะทุเป็นลูกใหญ่ขึ้น เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นในระนาบหน้าอก ไม่กี่วินาทีเขาจึงวาดแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้าส่งพลังไปยังกองซากไม้เพื่อจุดไฟให้สว่างขึ้นภายในพริบตา
แสงสว่างจ้าขึ้นเงาต่างๆแวบหายไปเพื่อหาที่ซ่อนราวกับหวาดกลัวต่อบางสิ่ง เอ็ดเริ่มขยับเท้าก่อนจะค่อยก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า บนพื้นที่เขาเหยียบอยู่นี้ถูกปกคลุมไปด้วยดินที่มีกลิ่นแปลกๆและมีเศษซากสัตว์จำพวกหนูเป็นต้นนอนตายเกลื่อนกันไปหมด เมื่อลองพยายามนึกชื่อถึงปีศาจที่เพิ่งเคยพบพานมานับตั้งตอนนี้ในหัวเขาก็คิดไม่ตกเหมือนกันว่าบางทีพวกนี้อาจจะอันตรายเสียยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์พวกเขาก็ไม่ปาน
เสียงคิกๆบางอย่างผ่านหลังเขาไปก่อนจะพุ่งเข้าหาที่มืดเพื่อหลบ พวกมันจะหลบไปทำไมในเมื่อเท่าที่คิดดูแล้วพวกมันได้เปรียบกว่าเยอะ
พลัก มีบางอย่างพุ่งเข้ามากระแทกที่สีข้างของเขาอย่างจังก่อนจะเสียหลักล้มลงโดยมีสิ่งนั้นทับตัวเขาไว้ เขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลังก่อนจะเห็นใบหน้าของมันได้ชัดเจน แววตาที่เปลี่ยนไปของเขาจ้องมองสายตามันกลับไป ใบหน้าของมันก้มลงมาจนเกือบชิด ใบหน้าที่มีขนผุดขึ้นเต็มใบหน้ามีหน้าถอดโครงมาจากหมาป่าแต่ร่างยังคงเป็นคน
“เจ้าตัวเย็นตนนี้ มันอยากลองที่จะลิ้มรสของความเจ็บปวด ” เสียงแหบแห้งทุ้มแบบผู้ชายดังขึ้น เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกเสียวแปล๊บๆจากปลายเล็บที่มันไล้ใบหน้าเรื่อยๆจนลงมาถึงลำคอพร้อมกับออกแรงกดหนักเพื่อใช้เจ้าสิ่งนั้นปลิดชีพเขาแต่ทว่า
“อย่า!!!” เขาได้ยินเสียงห้ามของใครบางคนก่อนที่จู่ๆเขาก็รับรู้ได้ถึงความชาเนิบแปลกๆก่อนที่ตาเริ่มจะปิดเขาพยายามต่อสู้เพื่อที่จะชนะความรู้สึกนั้น มันดูเหมือนว่าขาถูกสะกดจิต ดวงตาพร่าเบลอแสงไฟค่อยๆหรี่ลงความรู้สึกจากการถูกทับมันเบาลง เมื่อพยายามฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งมีร่างผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังคาผมของเธอปลิวไสวท้าลู่ลมเธอยกมือขึ้นและพูดอะไรบางอย่างก่อนที่เธอจะหายเข้าไปในความมืด
ครืด ร่างของเขาถูกลากไปตามพื้นดินสปรก เสียงอื้ออึงดังอยู่ภายในหัว แรงบีบยังคงสร้างความพร่าเบลอภายในดวงตาเขาก่อนที่มันจะปิดลง
เสียงของการต่อสู้ดังขึ้นกระทบหูความรู้สึกครั้งก่อนที่เขาหมดสติไปมันหมดลงแล้ว เขาพยายามยกมืออีข้างขึ้นเพื่อที่จะจับขมับของตัวเองแต่มันติดบางอย่าง เขาออกแรงดึงอีกครั้งมันยังคงติดอยู่อย่างนั้น ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปมองสิ่งที่พันธนาการแขนทั้งสองข้างของเขาไว้
มันเปรียบเสมือนท่อเหล็กขนาดยักษ์ที่มีแขนของเขาสอดไว้ข้างในและมันล็อคเขาไว้ซะแน่นหนา ทุกสิ่งรอบตัวเป็นเหมือนห้องขัง ข้างบนจะทอดยาวขึ้นไป นี่เขาอยู่ที่ไหนกัน ข้างในเป็นห้องสีขาวสว่างจ้า จู่ๆผนังก็สั่นไหวเลื่อนออกเป็นสองข้างพบชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับคนหนึ่งที่เขารู้จักแต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใคร
ชายคนนั้นแต่งตัวด้วยชุดสีขาวสะอาดขนาบข้างด้วยคนที่แต่งกายชุดเดียวกันสองคน ดูเหมือนว่าเขาคงมีอำนาจมากกว่าพวกที่ยืนคุ้มกันทั้งสองข้าง ผมของเขาคนนั้นมีสีทองสว่างใบหน้าที่ขาวซีครับประกันได้เลยว่านั่นไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน
“เจ้า….เป็น…..ใคร” น้ำเสียงแห้งผากของเอ็ดถูกขับออกมาอย่างยากลำบาก
“มันไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะเป็นใคร….”
“นอกซะจากว่า เจ้าคือสิ่งที่ข้าตามหา”
ใบหน้าที่มีรอยยิ้มแปลกๆยามเวลาพูดคิ้วของเอ็ดขมวดเข้าหากัน เมื่อเขาก้าวเท้าเดินเข้ามาพลางแตะเจ้าสิ่งที่พันธนาการเข้าไว้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีมันค่อยๆประกอบกันจากข้างในก่อนจะส่งเสียงดังกริ๊กก่อนจะทำงานเหมือนเครื่องจักรหุบเข้าหาที่ๆมันยึดติดไว้และปล่อยแขนเขาทั้งสองข้างลง เอ็ดทรุดตัวลงแทบเท้าเขาก่อนจะถูกผู้ชายที่ยืนขนาบเขาเดินมาหิ้วไหลเขาขึ้นและพยุงขึ้น
แต่จู่ๆเอ็ดก็สลัดพวกนั้นออกไปก่อนจะถอยหลังไปชิดกำแพงห้องพลางยกแขนซ้ายขึ้นปรากฏเป็นเปลวเพลิง พวกนั้นชักอาวุธปืนออกมาที่มีรูปทรงแตกต่างจากปืนทั่วไปเล็งยิงมาที่เขา
“อย่า” ชายคนนั้นกล่าวขึ้นพลางเดินจับปืนของทั้งสองคนนั้นลงก่อนจะพูดว่า
“เราไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเจ้า” เขาหันมาพูดด้วยความจริงใจก่อนจะเดินเข้ามาพลางยื่นมือมาเพื่อแสดงให้เขารู้ว่าไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเขาจริงๆ
“ข้าอยู่ที่ไหน…ทำไมข้าต้องมาอยู่ที่นี่…และพวกเจ้าเป็นใคร” เอ็ดถามคำถามเพราะเขายังไม่รู้เลยว่าพวกนี้เขาจะไว้ใจได้ไหมแต่เขารู้สึกว่าชายยืนอยู่ตรงหน้าเขามีความรู้สึกถึงความเมตตาที่แอบแฝงไว้
“ข้าจะช่วยเจ้าทุกอย่างถ้าเจ้าหยุดพลังนั่นไว้” เขาว่าพลางมองมือที่มีเปลวไฟลุกท่วมมือของเขา เอ็ดลดมือลงพลางเหลือบมองพวกเขาทั้งสามด้วยความแคลงใจ เมื่อมือของเขาปราศจากเปลวเพลิงชายคนนั้นจึงพยักหน้าให้ทั้งสองคนที่ก่อนหน้านี้เกือบจะเป่าสมองเขาด้วยปืนแปลกๆนั่นมาช่วยพยุงเขาลุกขึ้นยืนและเดินตามหลังมาเพื่อคุ้มกัน
เขาถูกคุมตัวออกมาจากห้องนั้นมาพบกับภายนอกที่มีผู้คนเดินสลับไปมาแต่มีการแต่งตัวที่คล้ายกันหมดทุกคน มันเป็นเหมือนอาคาร ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านจะมีสายตาจากหลายๆคู่มองตรงมาด้วยความประหลาดใจ ที่นี่มันเป็นแหล่งรวมพวกอะไรกัน ตอนที่เขาหมดสติไป เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้อยู่กับคนพวกนี้เพราะไม่มีทางที่คนพวกนี้จะไปอยุ่ในสถานที่อย่างนั้นแน่ๆ
มีหน้าจอหลายจอของแต่ละคนที่เขาเดินผ่านทุกคนต่างทำงานกันอย่างขมักเขม้นและทุกครั้งที่เขาเดินผ่านทุกคนจะหยุดกิจกรรมที่กำลังทำเหลือบมองเขาบางคนมองเพราะความหวาดกลัวและบางคนมองด้วยความประหลาดใจ
“ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้เจ้าฟังเอง” มีเสียงของชายผมทองซึ่งตอนนี้เขายังไม่รู้ชื่อดังขึ้นขัดความคิดเขาก่อนจะผายมือให้เขาเลี้ยวไปอีกทางที่มีห้องขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงนั้นและนำพาเขาไป
The Vampire powers. [บทที่23]
“ให้ผมช่วยหรือเปล่า” เอ็ดเสนอตัวช่วยเพราะอาจจะทำให้การค้นหามันเร็วขึ้น
เบียงก้าทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา การแต่งกายจะเน้นความเรียบไม่เด่นจนเกินไป ผมยาวที่หยักเป็นลอนถูกรวบขึ้นไว้เป็นหางม้าสวมเสื้อยืดสีเทาและกางเกงยีนส์ทั่วไป บวกกับรองเท้าบู้ดที่เพิ่มความถนัดทะแมง มือเรียวกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่นเนื่องจากเธอได้โทรไปกล่าวรายงานเพื่อยืนยันว่าแอรอนและไรอันหายไปเมื่อคืนก่อน
พอรุ่งสางเธอได้รับการติดต่อเหตุด่วนจากเอ็ดผ่านคนที่ทำงานให้ลูคัสที่มักจะอยู่ในบริเวณพื้นที่กระจายกันไปทั่ว บางคนทำงานเป็นนักกฎหมาย บางคนทำร้านขายหนังสือ
พรรคพวกของพวกเขาถูกตีแผ่ไปทั่วเท็กซัส นี่เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เอ็ดเพิ่งได้รู้ไม่นานมานี้ เมื่อเขาคลาดกับคนอื่นจู่ๆทั้งสองดันหายไปแบบผิดปกติความรู้สึกแปลกๆเหมือนมีภัยคุกคามทำให้เอ็ดต้องแจ้งให้เบียงก้าทราบเพราะถ้าหากเราขาดใครสักคนไปที่มีฝีมือและพลังวิเศษคงแย่แน่
เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ในค่ายหรือบ้านที่ชุบเลี้ยงพวกเขามานานนั้นต่างมีพลังวิเศษเป็นของตนเอง ว่าแต่ท่านลูคัสรู้ได้ยังไงว่าพวกเขามีพลังพวกนี้อยู่ในกายมานับตั้งแต่เกิด มันยังคงเป็นข้อสงสัยที่เขาเองคงต้องหาทางคิดเอาเองและสืบสาวเรื่องราวให้ได้
“ท่านเบียงก้า พอรู้หรือไม่ว่ามีศัตรูเผ่าพันธุ์ไหนที่เป็นคู่อริเรา….ขอให้ผมได้ช่วยเพื่อนผมด้วยเถิด” เอ็ดเสนอความคิดเห็นถึงแม้จะช่วยได้ไม่มากก็ตาม แต่ทันใดนั้นเบียงก้าก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก อากัปกิริยาที่แสดงออกอย่างนั้นมันทำให้เอ็ดชักจะสงสัยว่าก่อนหน้านี้หรือทศวรรษก่อนๆพวกเขาทำเรื่องอะไรไว้แต่มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีและบางทีมันอาจจะทำให้เขาโตขึ้น เอ็ดจ้องใบหน้าสวยนิ่งๆ
“แค่ไปเรียนและทำชีวิตให้เป็นปกติ เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเองนายยังจะต้องเล่นบทบาทเป็นมนุษย์อยู่นะ หวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นอีก” เบียงก้าเดินผ่านตัวเขาไปพร้อมกับทิ้งเงื่อนงำไว้ให้เขาคิดปวดหัวเล่น อีกนานแค่ไหนกันที่กลุ่มคนพวกนี้จะพูดความจริงกับเขาสักที
ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอนก่อนจะนอนแผ่หลาพยายามระงับจิตใจไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้ตายสิแอล ทำไมไม่ส่งอะไรซักอย่างผ่านจิตมาหรืออะไรก็ตามเพราะแอลได้ฝึกการพูดกันทางจิตกับเขามาสักพักแต่ยังไม่เป็นผลเพราะพลังของพวกเขาเพิ่งฟื้นตัวและมักจะระเบิดออกมาเมื่อมีเหตุการณ์ที่จะมากระตุ้นเพียงเท่านั้น
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบขึ้นมองหลอดไฟนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวผู้ที่เดินเข้ามาทำข้อตกลงกับเขา ถึงแม้การกระทำของเธอคนนั้นค่อนข้างจะอ่อนต่อโลกไปนิดเพื่อที่จะรัก เขารู้สึกว่าเธอไม่ควรที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว
และบางทีก็อยากจะแสดงความรู้สึกส่งผ่านไปให้เธอได้รับรู้บ้างแต่เมื่อมาลองตริตรองดีๆดูแล้วคงไม่ดีนักถ้าการที่จะให้ชีวิตเธอมาแลกความรักกับปีศาจอย่างพวกเขา เรื่องมันดำเนินมาซะครึ่งทางแล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี
ชายหนุ่มผู้มีผมสีเดียวกับดวงตาที่ว่างเปล่านั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมามันเป็นเหมือนการย่ำอยู่กับที่ และดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องปฏิบัติภารกิจเพียงคนเดียว การค้นหายังคงดำเนินต่อไป
เรเนสเป็นผู้หญิงที่มีแววของความสดใสแต่เศร้าหมองแปลกๆยามเขาจดจ้องดวงตาคู่นั้น เขาอยากจะปกป้องเธอเหลือเกินแต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดที่ผุดโผล่ขึ้นมาท่ามกลางความคิดสุดแสนจะบ้าคลั่งของเขาแล้วเรื่องร้ายๆเพิ่งจะเริ่มต้นเขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะไม่สามารถไปพบเธอได้อีกต่อไป
กลัวว่าเธอจะเป็นอันตราย หรือนี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าตกหลุมรักหรือเปล่า เขาจะตกหลุมรักเธอคนนี้ไปได้ยังไงกัน เอ็ดปัดความรู้สึกนั้นออกไปพลางเอนตัวลงนอนคิด อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
ชายหนุ่มจดจ้องมือของตัวเองเป็นเวลานานก่อนจะพยายามบังคับให้คลื่นบางอย่างที่อยู่ภายในตัวไหลวนมาอยู่ที่ฝ่ามือก่อนจะเห็นเป็นเปลวไฟเล็กๆเขาบังคับให้มันเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหนึ่งสลับสับเปลี่ยนเรื่อยๆ เขาคงจะมานั่งทุกข์ใจคิดถึงเรื่องอื่นๆ ยังมีอีกหลายสิ่งที่มันควรจะเผยความลับออกมา
ถึงแม้เขาจะได้รับคำสั่งให้ทำตามหน้าที่จนกว่าจะพบเป้าหมายแต่นั่นยังไม่สมควรที่จะให้เขารู้แต่เพียงเท่านั้นเว้นเสียแต่ว่าพวกนั้นไม่คิดไม่ฝันว่าเขาทั้งสามคนจะสามารถรับมือกับมนุษย์ได้สบายและอยู่รอดมาขนาดนี้
ปริศนาหลายๆปมที่ยังคงไม่ถูกเปิดออกยังคงทิ้งรอยของความอยากรู้เอาไว้ ความรู้สึกแปลกๆกับผู้ที่สร้างเขาขึ้นมานั้นแฝงเร้นไปด้วยความลับมากมายมหาศาล และเขาควรจะออกตามหาปริศนานี้ให้เจอ
ท่ามกลางความมืดมิดในยามวิกาลมีร่างสูงของชายคนหนึ่งกำลังเดินย่ำเท้ากับพื้นที่เปียกชื่นเต็มไปด้วยน้ำที่ขังอยู่ ณ บริเวณนั้นสถานที่ที่พวกเขาทั้งสามเคยผ่านมาสำรวจมันเมื่อไม่นานเป็นหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างไว้แต่เขารับรู้ได้ว่า ถึงแม้ภายนอกมันจะดูไม่มีอะไรมันเป็นแค่บ้านที่ไม่มีผู้คนอาศัยแต่ความจริงแล้วมันมีบางอย่างกำลังซ่อนตัวจากพวกเขาอยู่ เขาเดินตรงดิ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรงต่อความมืดที่ไม่สามารถรู้ว่ามันจะนำพาสิ่งที่ผู้คนหวาดกลัวมาหรือเปล่า
เอ็ดเลือกที่จะขอไม่อยู่เฉยๆให้บางสิ่งบางอย่างมาเล่นงานเขาหรอก เขารู้ดีว่าแอลกับไรอันไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งใดสักวันพวกเขาจะหากันเจอในเร็ววัน เพราะบางทีไม่แน่ มันอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายที่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามก็เป็นได้ เบื้องหน้าที่มีถนนทอดยาวเข้าไปจนไม่สามารถมองเข้าไปได้เพราะมันมืดสนิทเหมือนตัวเขาเองเป็นแสงสว่างอยู่เพียงจุดเดียว
เขาเลือกที่จะเดินทางเพื่อออกตามหาร่องรอยของเพื่อนทั้งสองโดยปราศจากไม่มีอะไรเลย นี่คงเป็นทางเดียวที่เขาเองควรจะหาคำตอบเพราะมันถึงเวลาที่เขาจะปลดปล่อยความรู้สึกออกมาเสียแล้ว อารมณ์โกรธเกรี้ยวถาโถมเข้ามาภายในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจู่ๆมือทั้งสองข้างก็เกิดไฟลุกขึ้นฉับพลัน เท้าของเขาหยุดฉงักมีเงาตะคุ่มบางอย่างเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วผ่านหน้าเขาไป
“แน่จริง พวกเจ้าก็จงปรากฏตัว” เอ็ดแผดเสียงดังลั่นก่อนจะควบคุมพลังตัวเองให้มั่นคง เปลวไฟที่ลามเลียค่อยๆปะทุเป็นลูกใหญ่ขึ้น เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นในระนาบหน้าอก ไม่กี่วินาทีเขาจึงวาดแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้าส่งพลังไปยังกองซากไม้เพื่อจุดไฟให้สว่างขึ้นภายในพริบตา
แสงสว่างจ้าขึ้นเงาต่างๆแวบหายไปเพื่อหาที่ซ่อนราวกับหวาดกลัวต่อบางสิ่ง เอ็ดเริ่มขยับเท้าก่อนจะค่อยก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า บนพื้นที่เขาเหยียบอยู่นี้ถูกปกคลุมไปด้วยดินที่มีกลิ่นแปลกๆและมีเศษซากสัตว์จำพวกหนูเป็นต้นนอนตายเกลื่อนกันไปหมด เมื่อลองพยายามนึกชื่อถึงปีศาจที่เพิ่งเคยพบพานมานับตั้งตอนนี้ในหัวเขาก็คิดไม่ตกเหมือนกันว่าบางทีพวกนี้อาจจะอันตรายเสียยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์พวกเขาก็ไม่ปาน
เสียงคิกๆบางอย่างผ่านหลังเขาไปก่อนจะพุ่งเข้าหาที่มืดเพื่อหลบ พวกมันจะหลบไปทำไมในเมื่อเท่าที่คิดดูแล้วพวกมันได้เปรียบกว่าเยอะ
พลัก มีบางอย่างพุ่งเข้ามากระแทกที่สีข้างของเขาอย่างจังก่อนจะเสียหลักล้มลงโดยมีสิ่งนั้นทับตัวเขาไว้ เขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลังก่อนจะเห็นใบหน้าของมันได้ชัดเจน แววตาที่เปลี่ยนไปของเขาจ้องมองสายตามันกลับไป ใบหน้าของมันก้มลงมาจนเกือบชิด ใบหน้าที่มีขนผุดขึ้นเต็มใบหน้ามีหน้าถอดโครงมาจากหมาป่าแต่ร่างยังคงเป็นคน
“เจ้าตัวเย็นตนนี้ มันอยากลองที่จะลิ้มรสของความเจ็บปวด ” เสียงแหบแห้งทุ้มแบบผู้ชายดังขึ้น เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกเสียวแปล๊บๆจากปลายเล็บที่มันไล้ใบหน้าเรื่อยๆจนลงมาถึงลำคอพร้อมกับออกแรงกดหนักเพื่อใช้เจ้าสิ่งนั้นปลิดชีพเขาแต่ทว่า
“อย่า!!!” เขาได้ยินเสียงห้ามของใครบางคนก่อนที่จู่ๆเขาก็รับรู้ได้ถึงความชาเนิบแปลกๆก่อนที่ตาเริ่มจะปิดเขาพยายามต่อสู้เพื่อที่จะชนะความรู้สึกนั้น มันดูเหมือนว่าขาถูกสะกดจิต ดวงตาพร่าเบลอแสงไฟค่อยๆหรี่ลงความรู้สึกจากการถูกทับมันเบาลง เมื่อพยายามฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งมีร่างผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังคาผมของเธอปลิวไสวท้าลู่ลมเธอยกมือขึ้นและพูดอะไรบางอย่างก่อนที่เธอจะหายเข้าไปในความมืด
ครืด ร่างของเขาถูกลากไปตามพื้นดินสปรก เสียงอื้ออึงดังอยู่ภายในหัว แรงบีบยังคงสร้างความพร่าเบลอภายในดวงตาเขาก่อนที่มันจะปิดลง
เสียงของการต่อสู้ดังขึ้นกระทบหูความรู้สึกครั้งก่อนที่เขาหมดสติไปมันหมดลงแล้ว เขาพยายามยกมืออีข้างขึ้นเพื่อที่จะจับขมับของตัวเองแต่มันติดบางอย่าง เขาออกแรงดึงอีกครั้งมันยังคงติดอยู่อย่างนั้น ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปมองสิ่งที่พันธนาการแขนทั้งสองข้างของเขาไว้
มันเปรียบเสมือนท่อเหล็กขนาดยักษ์ที่มีแขนของเขาสอดไว้ข้างในและมันล็อคเขาไว้ซะแน่นหนา ทุกสิ่งรอบตัวเป็นเหมือนห้องขัง ข้างบนจะทอดยาวขึ้นไป นี่เขาอยู่ที่ไหนกัน ข้างในเป็นห้องสีขาวสว่างจ้า จู่ๆผนังก็สั่นไหวเลื่อนออกเป็นสองข้างพบชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับคนหนึ่งที่เขารู้จักแต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใคร
ชายคนนั้นแต่งตัวด้วยชุดสีขาวสะอาดขนาบข้างด้วยคนที่แต่งกายชุดเดียวกันสองคน ดูเหมือนว่าเขาคงมีอำนาจมากกว่าพวกที่ยืนคุ้มกันทั้งสองข้าง ผมของเขาคนนั้นมีสีทองสว่างใบหน้าที่ขาวซีครับประกันได้เลยว่านั่นไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน
“เจ้า….เป็น…..ใคร” น้ำเสียงแห้งผากของเอ็ดถูกขับออกมาอย่างยากลำบาก
“มันไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะเป็นใคร….”
“นอกซะจากว่า เจ้าคือสิ่งที่ข้าตามหา”
ใบหน้าที่มีรอยยิ้มแปลกๆยามเวลาพูดคิ้วของเอ็ดขมวดเข้าหากัน เมื่อเขาก้าวเท้าเดินเข้ามาพลางแตะเจ้าสิ่งที่พันธนาการเข้าไว้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีมันค่อยๆประกอบกันจากข้างในก่อนจะส่งเสียงดังกริ๊กก่อนจะทำงานเหมือนเครื่องจักรหุบเข้าหาที่ๆมันยึดติดไว้และปล่อยแขนเขาทั้งสองข้างลง เอ็ดทรุดตัวลงแทบเท้าเขาก่อนจะถูกผู้ชายที่ยืนขนาบเขาเดินมาหิ้วไหลเขาขึ้นและพยุงขึ้น
แต่จู่ๆเอ็ดก็สลัดพวกนั้นออกไปก่อนจะถอยหลังไปชิดกำแพงห้องพลางยกแขนซ้ายขึ้นปรากฏเป็นเปลวเพลิง พวกนั้นชักอาวุธปืนออกมาที่มีรูปทรงแตกต่างจากปืนทั่วไปเล็งยิงมาที่เขา
“อย่า” ชายคนนั้นกล่าวขึ้นพลางเดินจับปืนของทั้งสองคนนั้นลงก่อนจะพูดว่า
“เราไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเจ้า” เขาหันมาพูดด้วยความจริงใจก่อนจะเดินเข้ามาพลางยื่นมือมาเพื่อแสดงให้เขารู้ว่าไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเขาจริงๆ
“ข้าอยู่ที่ไหน…ทำไมข้าต้องมาอยู่ที่นี่…และพวกเจ้าเป็นใคร” เอ็ดถามคำถามเพราะเขายังไม่รู้เลยว่าพวกนี้เขาจะไว้ใจได้ไหมแต่เขารู้สึกว่าชายยืนอยู่ตรงหน้าเขามีความรู้สึกถึงความเมตตาที่แอบแฝงไว้
“ข้าจะช่วยเจ้าทุกอย่างถ้าเจ้าหยุดพลังนั่นไว้” เขาว่าพลางมองมือที่มีเปลวไฟลุกท่วมมือของเขา เอ็ดลดมือลงพลางเหลือบมองพวกเขาทั้งสามด้วยความแคลงใจ เมื่อมือของเขาปราศจากเปลวเพลิงชายคนนั้นจึงพยักหน้าให้ทั้งสองคนที่ก่อนหน้านี้เกือบจะเป่าสมองเขาด้วยปืนแปลกๆนั่นมาช่วยพยุงเขาลุกขึ้นยืนและเดินตามหลังมาเพื่อคุ้มกัน
เขาถูกคุมตัวออกมาจากห้องนั้นมาพบกับภายนอกที่มีผู้คนเดินสลับไปมาแต่มีการแต่งตัวที่คล้ายกันหมดทุกคน มันเป็นเหมือนอาคาร ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านจะมีสายตาจากหลายๆคู่มองตรงมาด้วยความประหลาดใจ ที่นี่มันเป็นแหล่งรวมพวกอะไรกัน ตอนที่เขาหมดสติไป เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้อยู่กับคนพวกนี้เพราะไม่มีทางที่คนพวกนี้จะไปอยุ่ในสถานที่อย่างนั้นแน่ๆ
มีหน้าจอหลายจอของแต่ละคนที่เขาเดินผ่านทุกคนต่างทำงานกันอย่างขมักเขม้นและทุกครั้งที่เขาเดินผ่านทุกคนจะหยุดกิจกรรมที่กำลังทำเหลือบมองเขาบางคนมองเพราะความหวาดกลัวและบางคนมองด้วยความประหลาดใจ
“ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้เจ้าฟังเอง” มีเสียงของชายผมทองซึ่งตอนนี้เขายังไม่รู้ชื่อดังขึ้นขัดความคิดเขาก่อนจะผายมือให้เขาเลี้ยวไปอีกทางที่มีห้องขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงนั้นและนำพาเขาไป