ผ่านพ้น 48 ชั่วโมง (สองวัน) ไปแล้ว สำหรับการพักเบรคของกรรมการ เพราะฉะนั้น ได้เวลาลุย "ครึ่งหลัง" ของเกมถุงมือนักเขียนกันต่อครับ...
ย้ำอีกครั้ง สำหรับกฏกติกา ในส่วนที่เกี่ยวกับงานเขียนของทุกท่านที่เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้นะครับ ว่า กรรมการ อาจจัดการ เปลี่ยนแปลง การตัดแบ่ง จัดวรรคตอน หรือเน้นข้อความบางข้อความ ในเรื่องสั้นของนักเขียนแต่ละท่าน เพื่อให้อ่านง่าย น่าอ่าน ตามแต่จะเห็นสมควร แต่รับรองว่าจะไม่เปลี่ยนคำพูดใดๆโดยเด็ดขาด (แต่ถ้าเขียนคำใดผิด จะแก้ให้)
เรื่องที่ 14 นี้ เห็นชื่อเรื่องก็คิดว่ามาแนวเรื่องจีน ยุทธภพกำลังภายใน แต่พิฆาตใจ ต้องมีเรื่องความรักตามธีมของเกม จะเป็นเช่นไร มีฉากบู๊ดวลเพลงดาบหรือเพลงกระบี่หรือพลังวรยุทธกันไหม เรื่องราวความรักของจอมยุทธจะออกมาแนวไหน เชิญเสพหาความสำราญกันเลยครับ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ท่านปู่ เราจะหยุดพักที่นี่รึ” เสียงเด็กเสื้อผ้าหน้าตามอมแมม เห็นแต่แววตาโตแจ่มใสเอ่ยขึ้น
ชายชราผมขาวหนวดยาวเป็นสีเงินยวง หากแต่แววตากล้าวาววับมิหวาดหวั่น เขาก้มมองหลานน้อยที่เริ่มจะเข้าสู่วัยแรกรุ่น
“ใช่ ข้ามีเด็กน้อยเยี่ยงเจ้า พึงระวังระไวไม่คล่องตัวนัก” คิ้วเข้มสวยขมวดเข้าหากันคล้ายคิด
“เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องว่าแล้ว ไปๆหาอะไรกิน หาที่พักดีกว่านะ” ผู้เฒ่าดึงมือเด็กน้อยเดินเข้าโรงเตี๊ยม พลางมองหลานอย่างพอใจ กว่าจะแต่งให้มอมแมมเป็นเด็กชายเพื่อไม่มีใครสนใจ...ยากแท้
“ท่านปู่เยี่ยมยุทธปานนี้ ไยกลัวผู้ใดเล่า” ดวงตาโตจ้องมองคล้ายรอคำตอบ
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าเพิ่งย่างออกจากรวงรังไม่นาน หารู้ไม่ว่า ทุกที่ มีเรื่องราวเดือดร้อนฆ่าฟันกันมากมาย”
“ข้าอยู่กับท่านปู่ มิกลัวสิ่งใดดอก ท่านสอนวิชาเข็มมรณะ อีกทั้งหมัดมวยให้ข้า”
“เอาเถอะ กินๆซะเจ้า พูดมากนัก”
เด็กน้อยค้อนให้ผู้เฒ่า หากแต่เจอสายตาเข้มมองมาอย่างตำหนิ
“ข้าขอโทษ ท่านปู่ ข้าลืมตัว”
ท่านปู่ส่ายหน้าพลางคีบชิ้นหมูให้ อะไรพอปกปิดได้ แต่ความเป็นสาวรุ่นนี่ซิยากนัก...ผู้เฒ่าถอนใจแผ่วเบา
“
หยูเวย เจ้าเล่าเรียนมากๆไว้ เก็บความรู้และฝีมือ เบิกตาเฝ้ามองสิ่งรอบๆ อย่าชะล่าใจและโอหัง บนฟ้าอันกว้างไกล ผู้กล้าเหนือผู้กล้ามีมากมายนัก เจ้าจำคำปู่ไว้”
หยูเวยพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ชายชราดึงหมวกฟางลงต่ำ พลางเหลือบแลไปรอบๆ เสียงพูดคุยกระทบโสตชัดเจน
“พี่ใหญ่ ข้าได้ยินนาม
เทพกระบี่พิฆาตใจ...จอมยุทธระบือนามที่เพิ่งเหยียบย่างเข้ายุทธภพ ข้าหาเชื่อไม่ ท่านว่าเช่นใด” เสียงชายร่างใหญ่ศีรษะโล้น คิ้วดกโก่ง ตาเล็กยาวดูก้าวร้าว เอ่ยถาม
ไป่ฉาง...ร้อยหมัดร้อยวา
“ข้าจะรู้มั๊ย
ไห่หง (ทะเลคลั่ง) เราเดินทางไปที่ไหนๆสามพี่น้อง เจ้าไม่รู้ ข้าไม่รู้แล้วข้าจะไปถามผู้ใด เหลวไหล”
“หึหึ! ข้า
เฉียงหลิง (ระฆังมรณะ) หูตาว่องไว ไยเลยมิรู้ได้ แต่ข้าจำได้ อาจารย์เราเคยกล่าวว่า ตำราเทพกระบี่พิฆาตใจสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงแม้มันตกอยู่กับผู้ใด ยากยิ่งที่จะฝึกปรือสำเร็จได้”
นักพรตพันมือหรือท่านปู่ ดึงแขนหยูเวยที่เคลื่อนเข้าใกล้สามพี่น้องอย่างอยากรู้
สองปู่หลานกลับเข้าห้องพักแคบๆ เขาวางห่อผ้าลงหันมาทางหยูเวย
“เจ้าเปิดหูเปิดตาให้รู้ให้เห็น ไม่ใช่เข้าไปยืนฟัง ช่างไม่ระวังตัวเลย”
หยูเวยก้มหน้าย่นจมูกฟังคำสอนสั่งจากผู้เฒ่า ทั้งคู่ทิ้งตัวลงนอน...ไม่นานเด็กน้อยก็หลับ
นักพรตพันมือก่ายหน้าผาก ลืมตาค้างในความมืด ใจยังครุ่นคิดกับคำของสามจอมยุทธ ตำราเทพกระบี่ฯ ทรงอานุภาพนัก เขาจำได้ว่าเคยประมือกับผู้สูงวัยที่ฝึกตำราเทพกระบี่ฯ ในช่วงวัยคึกคะนองแทบเอาชีวิตไม่รอด ช่วงนั้นผู้คนซึ่งหวังครอบครองสุดยอดตำรานี้พากันล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แล้วไม่นาน ทั้งจอมยุทธและตำรากลับเงียบหายไปในดงไพร
“ท่านปู่ๆ รอข้าด้วย” เสียงเด็กน้อยดังไล่หลังนักพรตพันมือ ที่ก้าวย่างว่องไว้ดั่งนกเหิน
“ข้าสอนเจ้าแล้ว เจ้าว่าเจ้าเก่งนัก ตามมาให้เร็ว” ผู้เฒ่าดูครื้นเครงท่ามกลางป่าไผ่ในยามอรุณรุ่ง
“ปลุกข้าตั้งแต่ไม่สว่าง แถมเดินไม่รอข้าเลย เฮ้ย!”
เสียงบ่นพลันเงียบงัน ผู้เฒ่าชะงักนิ่ง หูฟังสรรพเสียง ดวงตากวาดมองรอบๆอย่างว่องไว ดึงมือหยูเวยเข้าประชิดตัว ผู้เฒ่าหันกลับมาตามเสียงแผ่วเบาเบื้องหลัง ดวงตาไร้ความหวั่นไหว
“เจ้าหนุ่ม ติดตามข้ามาด้วยเหตุใด”
“ข้าเพียงผ่านไปบนเส้นทางเดียวกับท่านอาวุโส หามีสิ่งใดไม่”
เส้นผมดำสลวยปรกลงบังใบหน้าด้านข้าง มองเห็นหน้าไม่ถนัดนัก เสื้อผ้ารัดกุมสีหม่น สะพายกระบี่แม้อยู่ในปลอกยังทอประกายกล้าเล็ดลอดให้เห็น
แววตาอาวุโสระทึกแวบขึ้นและจางไป กลับเปล่งเสียงหัวเราะก้อง
“ฮะฮะฮะฮา นับเป็นวาสนาข้าที่ได้พบจอมยุทธเทพกระบี่ฯ”
นักพรตโน้มตัวลงเล็กน้อย
“มิกล้าๆ ผู้น้อยขอคารวะท่านนักพรตพันมือ สิ่งใดข้าทำโดยมิบังควร โปรดช่วยชี้แนะด้วย” ชายหนุ่มท่าทางสง่าใบหน้าหล่อเหลาประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
“น้อยคนนักที่ยังจำข้าได้ แต่เจ้าเพียงสบตาก็รู้ เจ้าทำตัวดั่งต้นหลิว...หึหึ!”
ท่าทีและรูปโฉมจอมยุทธหนุ่ม ดูเป็นที่ถูกใจนักพรต หยูเวยเคลื่อนตัวหลบไปด้านหลังท่านปู่ ดวงตาโตจ้องมองผู้กล้าอย่างหวั่นๆ
“เจ้าเด็กน้อย ข้าไม่เคยระรานใครก่อน อย่าได้กลัวเลย”
“ใครว่าข้ากลัวเจ้า ปากดีนัก” เด็กน้อยในวัยแรกรุ่นเอ่ยอย่างมีโทสะ มิเพียงนั้นกระโดดเข้าใกล้ผู้แปลกหน้า เข็มเล็กบางดีดใส่ไร้สุ้มเสียงดั่งผึ้งบิน
เทพกระบี่ไพล่มือซ้ายใช้มือขวาเพียงข้างเดียวปกป้องว่องไวดุจสายฟ้า หยูเวยตีลังกาสูงตลบไปด้านหลังพลันปล่อยหมัดเข้าปะทะหลังของจอมยุทธหนุ่ม เขาเอี้ยวตัวหลบคล่องแคล่ว รู้สึกถึงพลังหมัดของเด็กน้อย
“หยุด” เสียงตวาดกังวานเข้มของนักพรตพันมือ พลางกระโดดเข้าขวาง
เทพกระบี่...ต้าซานลดมือลง หากแต่หยูเวยซึ่งปล่อยหมัดออกอีกครั้ง ยั้งมือมิทันเข้ากลางอกจอมยุทธหนุ่มด้วยเสียงทึบหนักฟังน่ากลัว แม้เทพกระบี่เดินพลังเพื่อลดแรงปะทะทันทีก็ยังเซไปหลายก้าว
ท่านปู่โกรธนักในความวู่วามของหลาน พลันยกมือตบฉาดลงบนใบหน้าหยูเวย
“ท่านนักพรตหยุดเถอะ ข้ามิได้บาดเจ็บ เขาคงวู่วามด้วยความเป็นเด็ก”
ใบหน้าท่านปู่เรียบเย็นดวงตาวาวโรจน์ จนหยูเวยหนาวเข้าไปถึงกระดูก ด้วยรู้ดีว่าผิดนี้ต้องโดนลงโทษ
มิทันได้ชำระความ เทพกระบี่เซเล็กน้อย ใบหน้าขาวเริ่มซีดลง
นักพรตตรงเข้าพยุง พาเข้าไปยังกระท่อมร้างเบื้องหน้า เมื่อนั่งลงเขาส่งเม็ดยาสีดำให้
“ยานี้จะช่วยบรรเทาและเพิ่มแรงให้แก่ท่าน กินก่อนแล้วจึงเดินลมปราณ”
หยูเวยนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่หน้ากระท่อม...มองหน้าผู้เป็นปู่น้ำตาร่วง
“ท่านปู่ๆ ข้าผิดไปแล้ว”
“นั่งที่นี่จนสว่าง ความผิดเจ้าไว้คุยกันพรุ่งนี้”
เขาหันหลังให้ ใบหน้าหันไปที่ประตูกระท่อม แลเห็นแสงเทียนซัดส่ายสลัวๆในกระท่อมผ่านรอยแยกกระท่อมร้าง ไม่ทันละสายตา นักพรตพันมือถึงกับตะลึงเมื่อปรากฏพลังสว่างเปล่งประกายรอบตัวผู้บาดเจ็บ
“โอ้! ต้าซาน เจ้าหนุ่มนี่ยังฝึกพลังอัคคีอีกด้วย เจ้าเป็นใครกันนะ ถึงได้วิชานี้มาจากศิษย์พี่ข้า” คิดพลางดูหวั่นไหว มิใช่หวาดกลัวแต่น่าอัศจรรย์ จอมยุทธหนุ่มอายุยังน้อยนัก แต่วิชาหาได้อ่อนด้อยไม่
นักพรตพันมือลุกขึ้นมาลากหลานสาวไปใกล้ที่แคร่เก่าๆหน้ากระท่อมพลางชี้ไปที่แสงสว่างในกระท่อม เสียงกระซิบแผ่วแต่เน้นทุกคำพูด
“เจ้าเกือบตายแล้ว ความคะนองเป็นเด็ก หาใช้ความคิดไม่ คนที่เจ้าปะมือเป็นผู้เยี่ยมยุทธ เขาเพียงหลบหลีก เจ้าเอาความอำมหิตมาจากที่ใด ข้ามิเคยสอนสั่ง”
หยูเวยแววตาหวาดหวั่น ทั้งรู้ว่าท่านปู่โกรธนางยิ่งนักและผู้กล้าที่เห็นดูน่ากลัวยิ่งนัก...ยังมีอีกมากมายที่ตนยังต้องเรียนรู้ การบุ่มบ่ามจึงไม่บังควร โชคดีเท่าไรมิตายคามือเทพกระบี่พิฆาตใจ
ความเงียบเข้าครอบงำ...นักพรตหลับตาลงนั่งนิ่ง หลานสาวกลิ้งหลับอยู่ข้างแคร่
จวนจะสว่างแล้ว หยูเวยตื่นเช้ากว่าผู้ใด ด้วยระหว่างทางเห็นธารน้ำใส หยูเวยต้องการอาบน้ำชำระตัวก่อนผู้ใดตื่น
ความสดชื่นจากสายน้ำในเวลาสลัวๆในยามเช้าช่างชื่นใจนัก หยูเวยว่ายวนดั่งมัจฉาน้อยโดยหารู้ตัวไม่ว่ามีผู้เฝ้ามองอย่างเงียบเชียบ
ดวงตาคมกริบมองเห็นภาพเบื้องหน้าชัดเจน...
อ้า เจ้าเด็กน้อยมากฝีมือ มันเป็นดรุณีแรกแย้ม ผมสลวยดำขลับสยายดั่งสาหร่ายส่ายไหวในสายธาร ผิวขาวดั่งหยกมณี ปทุมถันงดงามยิ่ง ต้าซาน...เทพกระบี่ผ่านอิสตรีมานักแล้ว แต่ไฉนดรุณีแรกรุ่นนี้งามจับใจยิ่งนัก
หัวใจกระตุกวูบ สั่นระทึกหวั่นไหว เทพกระบี่รีบผันตัวกลับเงียบเบาดุจสายลม ชายหนุ่มกลัวยิ่งนักว่าใจตนจะคิดฟุ้งซ่านยากเกินควบคุม
“หยูเวยๆ เจ้าเด็กนี่ไปไหนนะหายไปเช่นนี้ได้อย่างไร” ท่าทางห่วงใย และปั่นป่วนด้วยความโมโห
“ข้าอยู่นี่ท่านปู่” หน้าใสผ่อง ผมยาวถูกมุ่นเก็บเข้าไปในหมวกผ้าเก่าๆ
“ข้าเหม็นสาบตัวเอง พอได้เห็นลำธาร และยังมืดอยู่ ข้าเลยลงไปอาบน้ำน่ะ”
นักพรตผู้เฒ่าถอนใจยาวอย่างห่วงใย ยิ่งโตหลานสาวยิ่งสดสวยดั่งบุปผางามยามอรุณรุ่ง
“แม้เจ้าระวังเพียงใดก็จงอย่าได้ประมาท ทุกที่ผู้คนดุจสัตว์ร้ายกระหายเลือดและกาม เจ้าเข้าใจมั๊ย” เสียงหนักแต่เรียบเย็น
หยูเวยรู้ว่าท่านปู่เป็นห่วงเพียงใด และด้วยความกลัวจึงโกรธหลานสาวนัก
“ข้าจะระวังให้มากขึ้น อภัยให้ข้าด้วยเถอะ”
“เอาหละๆ เราไปดูท่านจอมยุทธว่าเป็นเช่นใด”
เทพกระบี่กลับมาถึงก่อน เขาแสร้งเอนตัวลงนอนเงียบ
“เจ้าอย่าลงมือกับผู้บริสุทธิ์ หรือผู้ใดที่มิได้ทำอะไรแก่เจ้าเช่นนี้อีก เว้นเพียงเจ้าต้องป้องกันตัวเอง นี่นับว่าโชคดีที่จอมยุทธมีพลังเยี่ยมยอด หาไม่แล้ว เขาคงบาดเจ็บสาหัสแน่แท้ เจ้าฝึกปรือพลัง กับความเป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่เคยประมือผู้ใด เจ้ามิรู้หรอกว่าพลังหมัดเจ้าทรงอานุภาพไม่น้อยทีเดียว ที่ข้าบอกมิใช่ให้เจ้าโอ้อวดโอหัง แต่จำไว้ เข้าใจนะ” เสียงเบาๆของปู่หลาน
เทพกระบี่พลิกกายพลางลืมตาขึ้น แสงตะวันลอดเข้ามาส่องบนใบหน้าที่ดูปกติแล้ว
“ท่านนักพรต ผู้น้อยขออภัยที่นอนจนสายเยี่ยงนี้”
“ไม่หรอก ท่านบาดเจ็บ สมควรพักผ่อน ดีแล้วๆ ข้ามาดูว่าท่านรู้สึกปกติแล้วหรือไม่”
“ข้าดีขึ้นมากทีเดียว”
“เทพกระบี่...ท่านพักต่อเถอะ เราจะไปหุงต้มอาหาร เราพอมีเสบียงเหลือบ้าง รอไม่นานก็จะได้ร่วมวงกันกินอาหารสักมื้อนะ”
“ข้าขออภัยท่านพี่ ข้าเป็นเด็กไร้ปัญญาจึงลงมือกับท่าน ขอท่านโปรดอภัยด้วย” หยูเวยคุกเข่าก้มศีรษะลงต่ำ
จอมยุทธหนุ่มเผลอตัวจับเด็กสาวขึ้นแล้วรีบหดมือหนี
“เอาเถอะ ข้าเข้าใจดี มาๆ กินข้าวแล้วจะได้เดินทาง”
ทีท่าหาได้รอดสายตานักพรตไม่ เขาขมวดคิ้วแต่มิเข้าใจอันใด
“เก็บของแล้วออกเดินทางเถอะ” ผู้เฒ่ากล่าวกับหลานน้อย
“ท่านนักพรต ข้าคงต้องขออำลาก่อน ท่านขึ้นเหนือ ส่วนข้าจะต้องไปอีกเมืองหนึ่ง หากมีวาสนา เราย่อมกลับมาพบเจอกันอีก”

(มีต่อครับ)
⭐️🌟 💖 ถุงมือนักเขียน (ครึ่งหลัง) เรื่องที่ 14 "เทพกระบี่พิฆาตใจ" โดย "ถุงมือจอมยุทธ" ครับ 💖 🌟⭐️
ผ่านพ้น 48 ชั่วโมง (สองวัน) ไปแล้ว สำหรับการพักเบรคของกรรมการ เพราะฉะนั้น ได้เวลาลุย "ครึ่งหลัง" ของเกมถุงมือนักเขียนกันต่อครับ...
ย้ำอีกครั้ง สำหรับกฏกติกา ในส่วนที่เกี่ยวกับงานเขียนของทุกท่านที่เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้นะครับ ว่า กรรมการ อาจจัดการ เปลี่ยนแปลง การตัดแบ่ง จัดวรรคตอน หรือเน้นข้อความบางข้อความ ในเรื่องสั้นของนักเขียนแต่ละท่าน เพื่อให้อ่านง่าย น่าอ่าน ตามแต่จะเห็นสมควร แต่รับรองว่าจะไม่เปลี่ยนคำพูดใดๆโดยเด็ดขาด (แต่ถ้าเขียนคำใดผิด จะแก้ให้)
เรื่องที่ 14 นี้ เห็นชื่อเรื่องก็คิดว่ามาแนวเรื่องจีน ยุทธภพกำลังภายใน แต่พิฆาตใจ ต้องมีเรื่องความรักตามธีมของเกม จะเป็นเช่นไร มีฉากบู๊ดวลเพลงดาบหรือเพลงกระบี่หรือพลังวรยุทธกันไหม เรื่องราวความรักของจอมยุทธจะออกมาแนวไหน เชิญเสพหาความสำราญกันเลยครับ
“ท่านปู่ เราจะหยุดพักที่นี่รึ” เสียงเด็กเสื้อผ้าหน้าตามอมแมม เห็นแต่แววตาโตแจ่มใสเอ่ยขึ้น
ชายชราผมขาวหนวดยาวเป็นสีเงินยวง หากแต่แววตากล้าวาววับมิหวาดหวั่น เขาก้มมองหลานน้อยที่เริ่มจะเข้าสู่วัยแรกรุ่น
“ใช่ ข้ามีเด็กน้อยเยี่ยงเจ้า พึงระวังระไวไม่คล่องตัวนัก” คิ้วเข้มสวยขมวดเข้าหากันคล้ายคิด
“เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องว่าแล้ว ไปๆหาอะไรกิน หาที่พักดีกว่านะ” ผู้เฒ่าดึงมือเด็กน้อยเดินเข้าโรงเตี๊ยม พลางมองหลานอย่างพอใจ กว่าจะแต่งให้มอมแมมเป็นเด็กชายเพื่อไม่มีใครสนใจ...ยากแท้
“ท่านปู่เยี่ยมยุทธปานนี้ ไยกลัวผู้ใดเล่า” ดวงตาโตจ้องมองคล้ายรอคำตอบ
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าเพิ่งย่างออกจากรวงรังไม่นาน หารู้ไม่ว่า ทุกที่ มีเรื่องราวเดือดร้อนฆ่าฟันกันมากมาย”
“ข้าอยู่กับท่านปู่ มิกลัวสิ่งใดดอก ท่านสอนวิชาเข็มมรณะ อีกทั้งหมัดมวยให้ข้า”
“เอาเถอะ กินๆซะเจ้า พูดมากนัก”
เด็กน้อยค้อนให้ผู้เฒ่า หากแต่เจอสายตาเข้มมองมาอย่างตำหนิ
“ข้าขอโทษ ท่านปู่ ข้าลืมตัว”
ท่านปู่ส่ายหน้าพลางคีบชิ้นหมูให้ อะไรพอปกปิดได้ แต่ความเป็นสาวรุ่นนี่ซิยากนัก...ผู้เฒ่าถอนใจแผ่วเบา
“หยูเวย เจ้าเล่าเรียนมากๆไว้ เก็บความรู้และฝีมือ เบิกตาเฝ้ามองสิ่งรอบๆ อย่าชะล่าใจและโอหัง บนฟ้าอันกว้างไกล ผู้กล้าเหนือผู้กล้ามีมากมายนัก เจ้าจำคำปู่ไว้”
หยูเวยพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ชายชราดึงหมวกฟางลงต่ำ พลางเหลือบแลไปรอบๆ เสียงพูดคุยกระทบโสตชัดเจน
“พี่ใหญ่ ข้าได้ยินนาม เทพกระบี่พิฆาตใจ...จอมยุทธระบือนามที่เพิ่งเหยียบย่างเข้ายุทธภพ ข้าหาเชื่อไม่ ท่านว่าเช่นใด” เสียงชายร่างใหญ่ศีรษะโล้น คิ้วดกโก่ง ตาเล็กยาวดูก้าวร้าว เอ่ยถามไป่ฉาง...ร้อยหมัดร้อยวา
“ข้าจะรู้มั๊ย ไห่หง (ทะเลคลั่ง) เราเดินทางไปที่ไหนๆสามพี่น้อง เจ้าไม่รู้ ข้าไม่รู้แล้วข้าจะไปถามผู้ใด เหลวไหล”
“หึหึ! ข้าเฉียงหลิง (ระฆังมรณะ) หูตาว่องไว ไยเลยมิรู้ได้ แต่ข้าจำได้ อาจารย์เราเคยกล่าวว่า ตำราเทพกระบี่พิฆาตใจสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงแม้มันตกอยู่กับผู้ใด ยากยิ่งที่จะฝึกปรือสำเร็จได้”
นักพรตพันมือหรือท่านปู่ ดึงแขนหยูเวยที่เคลื่อนเข้าใกล้สามพี่น้องอย่างอยากรู้
สองปู่หลานกลับเข้าห้องพักแคบๆ เขาวางห่อผ้าลงหันมาทางหยูเวย
“เจ้าเปิดหูเปิดตาให้รู้ให้เห็น ไม่ใช่เข้าไปยืนฟัง ช่างไม่ระวังตัวเลย”
หยูเวยก้มหน้าย่นจมูกฟังคำสอนสั่งจากผู้เฒ่า ทั้งคู่ทิ้งตัวลงนอน...ไม่นานเด็กน้อยก็หลับ
นักพรตพันมือก่ายหน้าผาก ลืมตาค้างในความมืด ใจยังครุ่นคิดกับคำของสามจอมยุทธ ตำราเทพกระบี่ฯ ทรงอานุภาพนัก เขาจำได้ว่าเคยประมือกับผู้สูงวัยที่ฝึกตำราเทพกระบี่ฯ ในช่วงวัยคึกคะนองแทบเอาชีวิตไม่รอด ช่วงนั้นผู้คนซึ่งหวังครอบครองสุดยอดตำรานี้พากันล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แล้วไม่นาน ทั้งจอมยุทธและตำรากลับเงียบหายไปในดงไพร
“ท่านปู่ๆ รอข้าด้วย” เสียงเด็กน้อยดังไล่หลังนักพรตพันมือ ที่ก้าวย่างว่องไว้ดั่งนกเหิน
“ข้าสอนเจ้าแล้ว เจ้าว่าเจ้าเก่งนัก ตามมาให้เร็ว” ผู้เฒ่าดูครื้นเครงท่ามกลางป่าไผ่ในยามอรุณรุ่ง
“ปลุกข้าตั้งแต่ไม่สว่าง แถมเดินไม่รอข้าเลย เฮ้ย!”
เสียงบ่นพลันเงียบงัน ผู้เฒ่าชะงักนิ่ง หูฟังสรรพเสียง ดวงตากวาดมองรอบๆอย่างว่องไว ดึงมือหยูเวยเข้าประชิดตัว ผู้เฒ่าหันกลับมาตามเสียงแผ่วเบาเบื้องหลัง ดวงตาไร้ความหวั่นไหว
“เจ้าหนุ่ม ติดตามข้ามาด้วยเหตุใด”
“ข้าเพียงผ่านไปบนเส้นทางเดียวกับท่านอาวุโส หามีสิ่งใดไม่”
เส้นผมดำสลวยปรกลงบังใบหน้าด้านข้าง มองเห็นหน้าไม่ถนัดนัก เสื้อผ้ารัดกุมสีหม่น สะพายกระบี่แม้อยู่ในปลอกยังทอประกายกล้าเล็ดลอดให้เห็น
แววตาอาวุโสระทึกแวบขึ้นและจางไป กลับเปล่งเสียงหัวเราะก้อง
“ฮะฮะฮะฮา นับเป็นวาสนาข้าที่ได้พบจอมยุทธเทพกระบี่ฯ”
นักพรตโน้มตัวลงเล็กน้อย
“มิกล้าๆ ผู้น้อยขอคารวะท่านนักพรตพันมือ สิ่งใดข้าทำโดยมิบังควร โปรดช่วยชี้แนะด้วย” ชายหนุ่มท่าทางสง่าใบหน้าหล่อเหลาประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
“น้อยคนนักที่ยังจำข้าได้ แต่เจ้าเพียงสบตาก็รู้ เจ้าทำตัวดั่งต้นหลิว...หึหึ!”
ท่าทีและรูปโฉมจอมยุทธหนุ่ม ดูเป็นที่ถูกใจนักพรต หยูเวยเคลื่อนตัวหลบไปด้านหลังท่านปู่ ดวงตาโตจ้องมองผู้กล้าอย่างหวั่นๆ
“เจ้าเด็กน้อย ข้าไม่เคยระรานใครก่อน อย่าได้กลัวเลย”
“ใครว่าข้ากลัวเจ้า ปากดีนัก” เด็กน้อยในวัยแรกรุ่นเอ่ยอย่างมีโทสะ มิเพียงนั้นกระโดดเข้าใกล้ผู้แปลกหน้า เข็มเล็กบางดีดใส่ไร้สุ้มเสียงดั่งผึ้งบิน
เทพกระบี่ไพล่มือซ้ายใช้มือขวาเพียงข้างเดียวปกป้องว่องไวดุจสายฟ้า หยูเวยตีลังกาสูงตลบไปด้านหลังพลันปล่อยหมัดเข้าปะทะหลังของจอมยุทธหนุ่ม เขาเอี้ยวตัวหลบคล่องแคล่ว รู้สึกถึงพลังหมัดของเด็กน้อย
“หยุด” เสียงตวาดกังวานเข้มของนักพรตพันมือ พลางกระโดดเข้าขวาง
เทพกระบี่...ต้าซานลดมือลง หากแต่หยูเวยซึ่งปล่อยหมัดออกอีกครั้ง ยั้งมือมิทันเข้ากลางอกจอมยุทธหนุ่มด้วยเสียงทึบหนักฟังน่ากลัว แม้เทพกระบี่เดินพลังเพื่อลดแรงปะทะทันทีก็ยังเซไปหลายก้าว
ท่านปู่โกรธนักในความวู่วามของหลาน พลันยกมือตบฉาดลงบนใบหน้าหยูเวย
“ท่านนักพรตหยุดเถอะ ข้ามิได้บาดเจ็บ เขาคงวู่วามด้วยความเป็นเด็ก”
ใบหน้าท่านปู่เรียบเย็นดวงตาวาวโรจน์ จนหยูเวยหนาวเข้าไปถึงกระดูก ด้วยรู้ดีว่าผิดนี้ต้องโดนลงโทษ
มิทันได้ชำระความ เทพกระบี่เซเล็กน้อย ใบหน้าขาวเริ่มซีดลง
นักพรตตรงเข้าพยุง พาเข้าไปยังกระท่อมร้างเบื้องหน้า เมื่อนั่งลงเขาส่งเม็ดยาสีดำให้
“ยานี้จะช่วยบรรเทาและเพิ่มแรงให้แก่ท่าน กินก่อนแล้วจึงเดินลมปราณ”
หยูเวยนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่หน้ากระท่อม...มองหน้าผู้เป็นปู่น้ำตาร่วง
“ท่านปู่ๆ ข้าผิดไปแล้ว”
“นั่งที่นี่จนสว่าง ความผิดเจ้าไว้คุยกันพรุ่งนี้”
เขาหันหลังให้ ใบหน้าหันไปที่ประตูกระท่อม แลเห็นแสงเทียนซัดส่ายสลัวๆในกระท่อมผ่านรอยแยกกระท่อมร้าง ไม่ทันละสายตา นักพรตพันมือถึงกับตะลึงเมื่อปรากฏพลังสว่างเปล่งประกายรอบตัวผู้บาดเจ็บ
“โอ้! ต้าซาน เจ้าหนุ่มนี่ยังฝึกพลังอัคคีอีกด้วย เจ้าเป็นใครกันนะ ถึงได้วิชานี้มาจากศิษย์พี่ข้า” คิดพลางดูหวั่นไหว มิใช่หวาดกลัวแต่น่าอัศจรรย์ จอมยุทธหนุ่มอายุยังน้อยนัก แต่วิชาหาได้อ่อนด้อยไม่
นักพรตพันมือลุกขึ้นมาลากหลานสาวไปใกล้ที่แคร่เก่าๆหน้ากระท่อมพลางชี้ไปที่แสงสว่างในกระท่อม เสียงกระซิบแผ่วแต่เน้นทุกคำพูด
“เจ้าเกือบตายแล้ว ความคะนองเป็นเด็ก หาใช้ความคิดไม่ คนที่เจ้าปะมือเป็นผู้เยี่ยมยุทธ เขาเพียงหลบหลีก เจ้าเอาความอำมหิตมาจากที่ใด ข้ามิเคยสอนสั่ง”
หยูเวยแววตาหวาดหวั่น ทั้งรู้ว่าท่านปู่โกรธนางยิ่งนักและผู้กล้าที่เห็นดูน่ากลัวยิ่งนัก...ยังมีอีกมากมายที่ตนยังต้องเรียนรู้ การบุ่มบ่ามจึงไม่บังควร โชคดีเท่าไรมิตายคามือเทพกระบี่พิฆาตใจ
ความเงียบเข้าครอบงำ...นักพรตหลับตาลงนั่งนิ่ง หลานสาวกลิ้งหลับอยู่ข้างแคร่
จวนจะสว่างแล้ว หยูเวยตื่นเช้ากว่าผู้ใด ด้วยระหว่างทางเห็นธารน้ำใส หยูเวยต้องการอาบน้ำชำระตัวก่อนผู้ใดตื่น
ความสดชื่นจากสายน้ำในเวลาสลัวๆในยามเช้าช่างชื่นใจนัก หยูเวยว่ายวนดั่งมัจฉาน้อยโดยหารู้ตัวไม่ว่ามีผู้เฝ้ามองอย่างเงียบเชียบ
ดวงตาคมกริบมองเห็นภาพเบื้องหน้าชัดเจน...อ้า เจ้าเด็กน้อยมากฝีมือ มันเป็นดรุณีแรกแย้ม ผมสลวยดำขลับสยายดั่งสาหร่ายส่ายไหวในสายธาร ผิวขาวดั่งหยกมณี ปทุมถันงดงามยิ่ง ต้าซาน...เทพกระบี่ผ่านอิสตรีมานักแล้ว แต่ไฉนดรุณีแรกรุ่นนี้งามจับใจยิ่งนัก
หัวใจกระตุกวูบ สั่นระทึกหวั่นไหว เทพกระบี่รีบผันตัวกลับเงียบเบาดุจสายลม ชายหนุ่มกลัวยิ่งนักว่าใจตนจะคิดฟุ้งซ่านยากเกินควบคุม
“หยูเวยๆ เจ้าเด็กนี่ไปไหนนะหายไปเช่นนี้ได้อย่างไร” ท่าทางห่วงใย และปั่นป่วนด้วยความโมโห
“ข้าอยู่นี่ท่านปู่” หน้าใสผ่อง ผมยาวถูกมุ่นเก็บเข้าไปในหมวกผ้าเก่าๆ
“ข้าเหม็นสาบตัวเอง พอได้เห็นลำธาร และยังมืดอยู่ ข้าเลยลงไปอาบน้ำน่ะ”
นักพรตผู้เฒ่าถอนใจยาวอย่างห่วงใย ยิ่งโตหลานสาวยิ่งสดสวยดั่งบุปผางามยามอรุณรุ่ง
“แม้เจ้าระวังเพียงใดก็จงอย่าได้ประมาท ทุกที่ผู้คนดุจสัตว์ร้ายกระหายเลือดและกาม เจ้าเข้าใจมั๊ย” เสียงหนักแต่เรียบเย็น
หยูเวยรู้ว่าท่านปู่เป็นห่วงเพียงใด และด้วยความกลัวจึงโกรธหลานสาวนัก
“ข้าจะระวังให้มากขึ้น อภัยให้ข้าด้วยเถอะ”
“เอาหละๆ เราไปดูท่านจอมยุทธว่าเป็นเช่นใด”
เทพกระบี่กลับมาถึงก่อน เขาแสร้งเอนตัวลงนอนเงียบ
“เจ้าอย่าลงมือกับผู้บริสุทธิ์ หรือผู้ใดที่มิได้ทำอะไรแก่เจ้าเช่นนี้อีก เว้นเพียงเจ้าต้องป้องกันตัวเอง นี่นับว่าโชคดีที่จอมยุทธมีพลังเยี่ยมยอด หาไม่แล้ว เขาคงบาดเจ็บสาหัสแน่แท้ เจ้าฝึกปรือพลัง กับความเป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่เคยประมือผู้ใด เจ้ามิรู้หรอกว่าพลังหมัดเจ้าทรงอานุภาพไม่น้อยทีเดียว ที่ข้าบอกมิใช่ให้เจ้าโอ้อวดโอหัง แต่จำไว้ เข้าใจนะ” เสียงเบาๆของปู่หลาน
เทพกระบี่พลิกกายพลางลืมตาขึ้น แสงตะวันลอดเข้ามาส่องบนใบหน้าที่ดูปกติแล้ว
“ท่านนักพรต ผู้น้อยขออภัยที่นอนจนสายเยี่ยงนี้”
“ไม่หรอก ท่านบาดเจ็บ สมควรพักผ่อน ดีแล้วๆ ข้ามาดูว่าท่านรู้สึกปกติแล้วหรือไม่”
“ข้าดีขึ้นมากทีเดียว”
“เทพกระบี่...ท่านพักต่อเถอะ เราจะไปหุงต้มอาหาร เราพอมีเสบียงเหลือบ้าง รอไม่นานก็จะได้ร่วมวงกันกินอาหารสักมื้อนะ”
“ข้าขออภัยท่านพี่ ข้าเป็นเด็กไร้ปัญญาจึงลงมือกับท่าน ขอท่านโปรดอภัยด้วย” หยูเวยคุกเข่าก้มศีรษะลงต่ำ
จอมยุทธหนุ่มเผลอตัวจับเด็กสาวขึ้นแล้วรีบหดมือหนี
“เอาเถอะ ข้าเข้าใจดี มาๆ กินข้าวแล้วจะได้เดินทาง”
ทีท่าหาได้รอดสายตานักพรตไม่ เขาขมวดคิ้วแต่มิเข้าใจอันใด
“เก็บของแล้วออกเดินทางเถอะ” ผู้เฒ่ากล่าวกับหลานน้อย
“ท่านนักพรต ข้าคงต้องขออำลาก่อน ท่านขึ้นเหนือ ส่วนข้าจะต้องไปอีกเมืองหนึ่ง หากมีวาสนา เราย่อมกลับมาพบเจอกันอีก”
(มีต่อครับ)