คนทุกคนมีต่าง "ความไฝ่ฝันในชีวิต" ที่ต่างกันออกไป !!!
คำถามชวนคิดช่วงที่ 1 : "คุณคิดว่าต้นทุนของความฝันคุณคืออะไร" ?
***คำเตือน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ : กระทู้และบทความนี้ อาจไม่เหมาะกับคนโลกสวย(ที่ไม่มองความเป็นจริงร่วมด้วย) อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ "มีความสุขจากการใช้เงิน" อาจไม่เหมาะกับคนที่ "ใช้เงินซื้อหาความสุข" และผู้คนที่ "มีภาระรับผิดชอบ (การเป็นลูก การเป็นสามี/ภรรยา การเป็นพ่อแม่) ที่หนักมากๆ"
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และวิภาควิจารณ์อย่างมีสติพร้อมการไตร่ตรอง อ่านเพื่อเป็นวิทยาทานทางความคิดก็ได้นะ ไม่ต้องมาดราม่าใส่ มันก็แค่อีกหนึ่งแนวคิดของเราและอีกหลายๆคนที่เราได้ไปนั่งพูดคุยเพื่อของข้อมูลและแนวคิดมา***
...สืบเนื่องจากที่เราเองก็มีความฝัน และก็เริ่มเกิดความทุกข์ใจที่ในวันนี้ยังไม่ได้ทำอย่างที่ฝันไว้
แถมไอ่สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เริ่มแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้สร้าง "ความสุขทางใจที่ยั่งยืน" ให้กับชีวิตในอนาคตต่อไปแน่ๆ
เราจึงเริ่มคิดมองหางานใหม่ ที่คงจะฉีกจากจุดเดิมที่เคยทำอยู่ ซึ่งก็ออกแนวพนักงานออฟฟิตทั่วไป แต่ก็ต่อนข้างที่จะมีอิสระนิดหน่อย
และเราก็คิดอีกว่า "หากจะหางานใหม่ จะต้องได้งานที่สร้างความสุขในชีวิต และเข้าใกล้กับความใฝ่ฝันให้มากที่สุด"
เราเริ่มมองหางานที่เป็นไปได้ที่จะเป็นงานที่หวังไว้ โดยที่มีต้นทุนคือ ความชอบ ความฝีฝัน ความถนัด(เล็กๆน้อยๆจากที่เคยทำมาบ้าง)
แต่ต้นทุนที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราอยากทำคือ "เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำมัน" แม้จะเหนื่อย แม้จะท้อ แม้จะล้มเหลวบ้าง
แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่หากเราย้อมเวลากลับไปได้ เราไม่เคยคิดที่จะกลับไปแก้ไขมัน
...แต่แล้วฝันนั้นก็สลายไปในพริบตา เมื่อมีคนหนึ่งคนเข้ามา บอกกับเราว่า "
สิ่งที่เอ็งจะทำนั้น มันต้องมีต้นทุนนะเว้ย" !!!
ต้นทุนของความฝัน มันไม่ใช่เพราะ เรามีความฝันที่จะทำอย่างนั้น ไม่ใช่หรือฟร๊ะ ??
ในตอนแรกนั้น เราก็เข้าใจว่า "ต้นทุน" ที่หมายถึง คงเป็นเรื่องของเงินทอง ซึ่งถามว่ามีมั้ย มี !! แต่ น้อยนัก -,-
เราจึงพยายามหาข้มมูล ว่าหากเราจะออกไปทำอะไรสักอย่าง ที่เป็นงานที่สร้างได้ทั้งเงินและความสุข มันต้องมีต้นทุนอะไรบ้าง
สิ่งที่อยากทำมันต้องใช้อะไรประกอบสร้างขึ้นมาบ้าง เพราะชีวิตนี้มีเพียงแค่ครั้งเดียว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้
คำถามชวนคิดช่วงที่ 2 : หากมองไปอีก 10 ปีข้างหน้า คุณคิดว่าคุณจะทำอะไร อยู่ตรงไหน แบบไหน อย่างไร ??
คำถามนี้สะกิดต่อมความคิดของเรามาก และมีผลต่อกระบวนการความคิดหลากหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่สะกิดต่อมมากกว่านั้นคือ
"ในอีก 10 ข้างหน้า ตรูยังคงไม่มีความสุขแบบนี้อีกหรอ" ?
เอาหล่ะ มาพักฟังสิ่งที่หน้าสนใจกันสักครู่...
"หากทุกคนตั้งคำถามว่าทำทำไม แต่ฉันจะตั้งคำถามว่าทำไมไม่ทำ"
...เดี๋ยวจิมาต่อนะแจ๊ะ
มาต่อแระ...
ความจริงไม่เคยทำร้ายใคร แต่ความจริงจะทำร้ายแค่คน 2 ประเภท
1. คนที่ไม่ยอมรับความจริง
2. คนที่พูดความจริงนั้นออกมา
...ในวันที่ความรู้สึกกังวลนั้นสุมอก ในวันที่งานที่ทำอยู่เริ่มบั่นทอนรอยยิ้ม ในวันที่ก่อนนอนทุกคืนเฝ้าคิดถึงแต่สิ่งที่อยากจะทำ
ในวันที่ "ความจริงได้ปรากฎ"
ในครั้งแรกที่เราได้ฟังเพลง YOLO หลายคนอาจรู้สึกหึกเหิม มีไฟ อยากออกไปทำในสิ่งที่อยากจะทำ แต่กลับเรา "มันเศร้ายิ่งนัก"
เพราะหลังจากที่ได้ศึกษาหาข้อมูลมาสักระยะ พร้อมกับการที่ประเมินตนเองไปด้วย กลับพบว่า "ขืนออกไปทำเอาดื้อๆตอนนี้ ทำไปก็ล้มเหลวเปล่าๆ" เพราะเราไม่มี "ต้นทุน" เพียงพอเลย ไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่ว่าถอนใจที่จะทำ แต่กลับเป็น เราไม่มี...
1. ต้นทุนด้านความชำนานในการประกอบอาชีพนั้นเพียงพอ และ 2.หนำซ้ำยังขาดแรงพลักดันจากคนใกล้ตัว
อันอย่างที่ 2 นั่นคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่ควรมี แต่เรื่องนี้มันเป็นภาระของแต่ละคน แต่เราเชื่อว่า "หากเราทำมันออกมาให้ดี มั่นคง และก้าวหน้า พวกเขาคงยอมรับได้ในสักวัน" แต่ย้ำๆนะย้ำ ต้องได้ดี เพราะต้องดูแลเขาให้ได้ด้วย
อ่ะมาต่อที่ต้นทุนอันที่ 1 เราพิจารณาตัวเองแล้วว่ายังคงไม่พร้อมที่จะออกไปทำ (ไม่ได้คิดเองเออเองเน้อ ก็มีปรึกษาพูดคุย ทดลองทำดูแล้ว) ณ ตอนนี้ สิ่งที่ทำได้คือ ทนอยู่กับสิ่งที่มอบเงินในใช้ในการต่อชีวิตเพื่อความฝัน แต่ก็ใช่ว่าวันๆจะหายใจเข้าออกทิ้งไป ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่า "อีก 5 ปี 10 ปี ครูต้องไม่นั่งอยู่ ณ เก้าอี้ทำงานตัวเดิม ทนทำงานเดิมๆที่ทำอยู่นี้แน่ๆ" สิ่งที่เราหาทางออกให้กับตัวเองนั้นคือ ฝึกฝนตนเอง ศึกษาให้มากขึ้น หาแนวทางอื่นๆที่เข้าใกล้ความฝันเพื่อความสุขให้มากที่สุด และหาโอกาศทำสิ่งนั้นให้บ่อยที่สุด แม้มันจะล้มเหลวบ่อยก็ตาม (นั่นเพราะ ช่วงหลังมาทำไปพร้อมกับการยึดติดที่ว่า "มันต้องออกมาดีที่สุด") นั่นคือสิ่งที่เราทำ...แต่แล้วก็มีคำถามที่ทำให้เราต้องคิดอีกครั้ง !!
คำถามชวนคิดช่วงที่ 3 : ทำเมิงไม่รีบทำว่ะ ไม่ออกไปทำก็ไม่มีทางรู้หรอก จะรอไปถึงเมื่อไหร่ ?
ผู้มอบคำถามนี้ได้ยกตัวอย่างผู้ประสบผลสำเร็จมากมายให้กับเรา ไม่ว่าจะนักธุระกิจหนุ่มไฟแรง นักดนตรีที่โด่งดัง ศิลปินอื่นๆที่มีความอินดี้ แสดงตนว่า "เริ่มแรกก็ทำมาด้วยความไม่มี ทำมัน ทำลงไป ทำอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวมันก็ต้องได้ดี" !!
แต่เห้ยยยย พี่ !! ไอ่พวกที่พี่ว่ามาอ่ะ บ้านมันรวยอยู่เป็นทุนอยู่แล้วนะ !!
ไม่เชื่อไปหาอ่านดูได้ครับ ทุกอย่างมันมีต้นทุน เค้าต้องมีท่อน้ำเลี้ยงสำหรับความฝัน อาจจะที่บ้านพอมีทุน หรือมีความเก่งฉลาดเป็นทุน หรือมีแรงพลักดันที่ดีเป็นทุน มันต้องมีสักอย่างแหละ มันไม่มีอะไรสร้างมาจากความฟรีหรอก ไม่มีอะไรได้มาฟรี และไอ่ที่เสียไปก็ไม่ได้เสียไปฟรีๆ
...เรื่องนี้เป็นอะไรที่บั่นทอนความฝันของใครหลายคนมากก็จริง แต่ก็อยากให้มองความจริงที่ควรยอมรับ
เราได้เห็น ได้อ่าน ได้ศึกษา ได้พูดคุย กับคนมากมาย (เพราะงานที่ทำอยู่ต้องออกไปคุยกับคนเยอะ) และโดยตัวเราเองก็ชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับคน จึงทำให้ได้เห็นปัญหาของ "การลงทุน" แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ ทุกการลงทุนที่ล้มเหลว
อาจจะเกิดจากการดำเนินการที่ล้มเหลว แต่นั่นก็เพราะ "ต้นทุนในการจะทำสิ่นนั้นมีน้อยเกินพอที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ"
อาจจะเกิดจากเมื่อได้ลงมือทำไปจริงๆแล้วกลับพบว่า "นั่นไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องการจะทำจริงๆ"
แต่สิ่ง ไม่ว่าคุณจะล้มเหลวเพราะแบบไหน อยากจะทำอะไร ทำไปเถอะครับ ถ้าสิ่งที่คุณทำอยู่นั้น "ไม่สร้างภาระและปัญหาให้กับใคร"
มันอาจจะสร้างภาระพร้อมปัญหาให้ตัวคุณเอง แต่นั่นคือหนึ่งในขั้นตอนของการพิสูจน์ ว่าคุณมีต้นทุนพอที่จะแลกกับผลกำไรแล้วหรือยัง
กระทู้นี้เกิดจากแรงบรรดาลใจหลายๆอย่างจากหลายๆคน
เกิดจากความอยากที่จะออกไปทำอะไรสักอย่าง เพื่อเงินพร้อมเพื่อตนเอง แต่กลับมีคนอยากให้ใส่ชุดสีกากีทำงาน 8 โมง ออก 4 โมงเย็น
เกิดจากความอยากที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่กลับขาดเงินทุนพร้อมยังมีภาระหนี้สิน
เกิดจากความอยากที่จะไปโลดแล่นในวงการศิลปิน แต่กลับมีฝีมือไม่เข้าตากรรมการแถมยังปิดกั้นเสียงวิภาควิจารณ์จากผู้ชม
หากคุณมีความฝัน จงพยายามทำมันให้ดีที่สุด แต่ควรชัดเจนว่า "ความฝันของคุณ จริงๆแล้วมันคืออะไร"
และกระทู้นี้เหมือนเป็นแรงใจให้ตัวเอง เพราะทุกวันนี้เราก็ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ แต่ใกล้แล้วแหละ
เราเชื่ออยู่อย่างหนึ่งนะ "คนเราถ้าไม่เคยล้ม ก็ไม่รู้หรอกว่าความเจ็บมันเป็นอย่างไร และก็ไม่มีวันรู้ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ต้องล้มลงอีก"
แต่ความผิดพล้าดในชีวิต ไม่ใช้ความผิดตลอดชีวิต สิ่งที่ผิดหวังมา ล้มเหลวมา ล้วนสร้างประสบการณ์ หากเปิดมุมมอง มองดูให้หลายๆแง่คิด เราว่าทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่ดี
"ยิ้มได้ หัวใจสดชื่นไว้ หัวใจจะได้ไม่ห่อเหี่ยว"

วันนี้คงมาสะกิดต่อมแนวคิดให้ผู้อ่านเพียงเท่านี้...
แต่หากคุณกำลังจะลงมือทำอะไรสักอย่าง อย่าลืมถามตัวเองว่า
"คุณมีต้นทุนเพียงพอหรือยัง"
ขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิต
และโปรดใช้ชีวิตกันอย่างมีสติ
นำชวด
ก่อนจะไปทำตามความฝัน "คุณมีต้นทุนหรือยัง" ???
คำถามชวนคิดช่วงที่ 1 : "คุณคิดว่าต้นทุนของความฝันคุณคืออะไร" ?
***คำเตือน[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้***
...สืบเนื่องจากที่เราเองก็มีความฝัน และก็เริ่มเกิดความทุกข์ใจที่ในวันนี้ยังไม่ได้ทำอย่างที่ฝันไว้
แถมไอ่สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เริ่มแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้สร้าง "ความสุขทางใจที่ยั่งยืน" ให้กับชีวิตในอนาคตต่อไปแน่ๆ
เราจึงเริ่มคิดมองหางานใหม่ ที่คงจะฉีกจากจุดเดิมที่เคยทำอยู่ ซึ่งก็ออกแนวพนักงานออฟฟิตทั่วไป แต่ก็ต่อนข้างที่จะมีอิสระนิดหน่อย
และเราก็คิดอีกว่า "หากจะหางานใหม่ จะต้องได้งานที่สร้างความสุขในชีวิต และเข้าใกล้กับความใฝ่ฝันให้มากที่สุด"
เราเริ่มมองหางานที่เป็นไปได้ที่จะเป็นงานที่หวังไว้ โดยที่มีต้นทุนคือ ความชอบ ความฝีฝัน ความถนัด(เล็กๆน้อยๆจากที่เคยทำมาบ้าง)
แต่ต้นทุนที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราอยากทำคือ "เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำมัน" แม้จะเหนื่อย แม้จะท้อ แม้จะล้มเหลวบ้าง
แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่หากเราย้อมเวลากลับไปได้ เราไม่เคยคิดที่จะกลับไปแก้ไขมัน
...แต่แล้วฝันนั้นก็สลายไปในพริบตา เมื่อมีคนหนึ่งคนเข้ามา บอกกับเราว่า "สิ่งที่เอ็งจะทำนั้น มันต้องมีต้นทุนนะเว้ย" !!!
ต้นทุนของความฝัน มันไม่ใช่เพราะ เรามีความฝันที่จะทำอย่างนั้น ไม่ใช่หรือฟร๊ะ ??
ในตอนแรกนั้น เราก็เข้าใจว่า "ต้นทุน" ที่หมายถึง คงเป็นเรื่องของเงินทอง ซึ่งถามว่ามีมั้ย มี !! แต่ น้อยนัก -,-
เราจึงพยายามหาข้มมูล ว่าหากเราจะออกไปทำอะไรสักอย่าง ที่เป็นงานที่สร้างได้ทั้งเงินและความสุข มันต้องมีต้นทุนอะไรบ้าง
สิ่งที่อยากทำมันต้องใช้อะไรประกอบสร้างขึ้นมาบ้าง เพราะชีวิตนี้มีเพียงแค่ครั้งเดียว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้
คำถามชวนคิดช่วงที่ 2 : หากมองไปอีก 10 ปีข้างหน้า คุณคิดว่าคุณจะทำอะไร อยู่ตรงไหน แบบไหน อย่างไร ??
คำถามนี้สะกิดต่อมความคิดของเรามาก และมีผลต่อกระบวนการความคิดหลากหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่สะกิดต่อมมากกว่านั้นคือ
"ในอีก 10 ข้างหน้า ตรูยังคงไม่มีความสุขแบบนี้อีกหรอ" ?
เอาหล่ะ มาพักฟังสิ่งที่หน้าสนใจกันสักครู่...
"หากทุกคนตั้งคำถามว่าทำทำไม แต่ฉันจะตั้งคำถามว่าทำไมไม่ทำ"
มาต่อแระ...
ความจริงไม่เคยทำร้ายใคร แต่ความจริงจะทำร้ายแค่คน 2 ประเภท
1. คนที่ไม่ยอมรับความจริง
2. คนที่พูดความจริงนั้นออกมา
...ในวันที่ความรู้สึกกังวลนั้นสุมอก ในวันที่งานที่ทำอยู่เริ่มบั่นทอนรอยยิ้ม ในวันที่ก่อนนอนทุกคืนเฝ้าคิดถึงแต่สิ่งที่อยากจะทำ
ในวันที่ "ความจริงได้ปรากฎ"
ในครั้งแรกที่เราได้ฟังเพลง YOLO หลายคนอาจรู้สึกหึกเหิม มีไฟ อยากออกไปทำในสิ่งที่อยากจะทำ แต่กลับเรา "มันเศร้ายิ่งนัก"
เพราะหลังจากที่ได้ศึกษาหาข้อมูลมาสักระยะ พร้อมกับการที่ประเมินตนเองไปด้วย กลับพบว่า "ขืนออกไปทำเอาดื้อๆตอนนี้ ทำไปก็ล้มเหลวเปล่าๆ" เพราะเราไม่มี "ต้นทุน" เพียงพอเลย ไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่ว่าถอนใจที่จะทำ แต่กลับเป็น เราไม่มี...
1. ต้นทุนด้านความชำนานในการประกอบอาชีพนั้นเพียงพอ และ 2.หนำซ้ำยังขาดแรงพลักดันจากคนใกล้ตัว
อันอย่างที่ 2 นั่นคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่ควรมี แต่เรื่องนี้มันเป็นภาระของแต่ละคน แต่เราเชื่อว่า "หากเราทำมันออกมาให้ดี มั่นคง และก้าวหน้า พวกเขาคงยอมรับได้ในสักวัน" แต่ย้ำๆนะย้ำ ต้องได้ดี เพราะต้องดูแลเขาให้ได้ด้วย
อ่ะมาต่อที่ต้นทุนอันที่ 1 เราพิจารณาตัวเองแล้วว่ายังคงไม่พร้อมที่จะออกไปทำ (ไม่ได้คิดเองเออเองเน้อ ก็มีปรึกษาพูดคุย ทดลองทำดูแล้ว) ณ ตอนนี้ สิ่งที่ทำได้คือ ทนอยู่กับสิ่งที่มอบเงินในใช้ในการต่อชีวิตเพื่อความฝัน แต่ก็ใช่ว่าวันๆจะหายใจเข้าออกทิ้งไป ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่า "อีก 5 ปี 10 ปี ครูต้องไม่นั่งอยู่ ณ เก้าอี้ทำงานตัวเดิม ทนทำงานเดิมๆที่ทำอยู่นี้แน่ๆ" สิ่งที่เราหาทางออกให้กับตัวเองนั้นคือ ฝึกฝนตนเอง ศึกษาให้มากขึ้น หาแนวทางอื่นๆที่เข้าใกล้ความฝันเพื่อความสุขให้มากที่สุด และหาโอกาศทำสิ่งนั้นให้บ่อยที่สุด แม้มันจะล้มเหลวบ่อยก็ตาม (นั่นเพราะ ช่วงหลังมาทำไปพร้อมกับการยึดติดที่ว่า "มันต้องออกมาดีที่สุด") นั่นคือสิ่งที่เราทำ...แต่แล้วก็มีคำถามที่ทำให้เราต้องคิดอีกครั้ง !!
คำถามชวนคิดช่วงที่ 3 : ทำเมิงไม่รีบทำว่ะ ไม่ออกไปทำก็ไม่มีทางรู้หรอก จะรอไปถึงเมื่อไหร่ ?
ผู้มอบคำถามนี้ได้ยกตัวอย่างผู้ประสบผลสำเร็จมากมายให้กับเรา ไม่ว่าจะนักธุระกิจหนุ่มไฟแรง นักดนตรีที่โด่งดัง ศิลปินอื่นๆที่มีความอินดี้ แสดงตนว่า "เริ่มแรกก็ทำมาด้วยความไม่มี ทำมัน ทำลงไป ทำอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวมันก็ต้องได้ดี" !!
แต่เห้ยยยย พี่ !! ไอ่พวกที่พี่ว่ามาอ่ะ บ้านมันรวยอยู่เป็นทุนอยู่แล้วนะ !!
ไม่เชื่อไปหาอ่านดูได้ครับ ทุกอย่างมันมีต้นทุน เค้าต้องมีท่อน้ำเลี้ยงสำหรับความฝัน อาจจะที่บ้านพอมีทุน หรือมีความเก่งฉลาดเป็นทุน หรือมีแรงพลักดันที่ดีเป็นทุน มันต้องมีสักอย่างแหละ มันไม่มีอะไรสร้างมาจากความฟรีหรอก ไม่มีอะไรได้มาฟรี และไอ่ที่เสียไปก็ไม่ได้เสียไปฟรีๆ
...เรื่องนี้เป็นอะไรที่บั่นทอนความฝันของใครหลายคนมากก็จริง แต่ก็อยากให้มองความจริงที่ควรยอมรับ
เราได้เห็น ได้อ่าน ได้ศึกษา ได้พูดคุย กับคนมากมาย (เพราะงานที่ทำอยู่ต้องออกไปคุยกับคนเยอะ) และโดยตัวเราเองก็ชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับคน จึงทำให้ได้เห็นปัญหาของ "การลงทุน" แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ ทุกการลงทุนที่ล้มเหลว
อาจจะเกิดจากการดำเนินการที่ล้มเหลว แต่นั่นก็เพราะ "ต้นทุนในการจะทำสิ่นนั้นมีน้อยเกินพอที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ"
อาจจะเกิดจากเมื่อได้ลงมือทำไปจริงๆแล้วกลับพบว่า "นั่นไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องการจะทำจริงๆ"
แต่สิ่ง ไม่ว่าคุณจะล้มเหลวเพราะแบบไหน อยากจะทำอะไร ทำไปเถอะครับ ถ้าสิ่งที่คุณทำอยู่นั้น "ไม่สร้างภาระและปัญหาให้กับใคร"
มันอาจจะสร้างภาระพร้อมปัญหาให้ตัวคุณเอง แต่นั่นคือหนึ่งในขั้นตอนของการพิสูจน์ ว่าคุณมีต้นทุนพอที่จะแลกกับผลกำไรแล้วหรือยัง
กระทู้นี้เกิดจากแรงบรรดาลใจหลายๆอย่างจากหลายๆคน
เกิดจากความอยากที่จะออกไปทำอะไรสักอย่าง เพื่อเงินพร้อมเพื่อตนเอง แต่กลับมีคนอยากให้ใส่ชุดสีกากีทำงาน 8 โมง ออก 4 โมงเย็น
เกิดจากความอยากที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่กลับขาดเงินทุนพร้อมยังมีภาระหนี้สิน
เกิดจากความอยากที่จะไปโลดแล่นในวงการศิลปิน แต่กลับมีฝีมือไม่เข้าตากรรมการแถมยังปิดกั้นเสียงวิภาควิจารณ์จากผู้ชม
หากคุณมีความฝัน จงพยายามทำมันให้ดีที่สุด แต่ควรชัดเจนว่า "ความฝันของคุณ จริงๆแล้วมันคืออะไร"
และกระทู้นี้เหมือนเป็นแรงใจให้ตัวเอง เพราะทุกวันนี้เราก็ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ แต่ใกล้แล้วแหละ
เราเชื่ออยู่อย่างหนึ่งนะ "คนเราถ้าไม่เคยล้ม ก็ไม่รู้หรอกว่าความเจ็บมันเป็นอย่างไร และก็ไม่มีวันรู้ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ต้องล้มลงอีก"
แต่ความผิดพล้าดในชีวิต ไม่ใช้ความผิดตลอดชีวิต สิ่งที่ผิดหวังมา ล้มเหลวมา ล้วนสร้างประสบการณ์ หากเปิดมุมมอง มองดูให้หลายๆแง่คิด เราว่าทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่ดี
"ยิ้มได้ หัวใจสดชื่นไว้ หัวใจจะได้ไม่ห่อเหี่ยว"
วันนี้คงมาสะกิดต่อมแนวคิดให้ผู้อ่านเพียงเท่านี้...
และโปรดใช้ชีวิตกันอย่างมีสติ