# แง้ม..มุมชีวิตนักขาย # กับงานสบายๆ ที่ใครหลายคนเข้าใจ (ผิด)

#แง้มมุมชีวิตนักขาย
กับงานสบายๆ ที่ใครหลายคนเข้าใจ (ผิด)
จากกระทู้ต้นเรื่อง https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10207256749398612&set=a.2520825661551.141139.1280591163&type=1

#สละเวลาน้อยนิดลองอ่านดูครับ #ถ้าชอบแชร์กันเยอะๆนะครับ

ปล.กระทู้นี้ไม่เหมาะยิ่งนักกับพวกนั่งโต๊ะหัวโบ

********************************
อาชีพนักขาย พนักงานขาย เซลล์แมน (หรือขี้ข้า ในบางมุม) แล้วแต่จะเรียก เป็นหนึ่งอาชีพที่หนีไม่พ้นการเจรา งานขาย ตัวเลข และความกดดันขั้นสูง ที่หนีไม่พ้นเลยคือ #ความเครียด
ปกติแล้วลำพังการทำงานมักต้องอยู่ภายในความกดดัน รวมถึงปัญหาสารพันจากลูกค้า ถูกบีบคั้นจากหน้าที่ ที่ออกกฎกันมาชัดเจนภายในองค์กร ก็ว่าเป็นความเครียดที่หนักอยู่แล้ว (เข้าใจครับว่าทุกอาชีพเครียดหมด) แต่อย่าเลยครับ อย่าได้มาเพ่งเล็งกันนักหนาเลย ว่าอาชีพนักขายอย่างเราๆ เป็นงานสบาย รายได้ดี นั่งๆ นอนๆ กลับบ้านอย่างไว เดินช้อปปิ้งสวยๆ ก็มียอดขายลอยมานั้น #การถูกมองแบบนั้นผมกลับเครียดยิ่งกว่า!!!

คุณรุ้กันหรือไม่ครับว่า กว่าจะได้ยอดขาย
เหล่านั้นที่นอนลอยๆ มาให้ทุกเดือน แบบที่คุณเห็นกัน มันแลกกับอะไรมาบ้าง แลกกับการต่อรอง แลกเปลี่ยนทางธุรกิจกับอะไรมาบ้าง ผมต้องลงทุนเหนื่อยอะไรไปบ้างกว่าจะได้มันมา ภายใต้ความสบายเปลือกนอกที่คุณมองนั้น มันมาจาก การที่ต้องขับรถ วันละเป็นร้อยๆ กิโล แบกหอบของขึ้นลงตึก ตึกแล้วตึกเล่า เดินตากแดดอาบเหงื่อต่างน้ำ #กูร้อนมั้ยไม่ต้องบรรยายเนอะ #ฝนตกล่ะโรงงานไม่มีที่ร่มกูก็เละไง พอไปถึงก็พูด พูด พูด ขาย ขาย ขาย บางทีหอบของเดินเป็นกิโล กูมีเวลาพูดขาย 10 นาที (โธ่ยิ้ม!!! อุฟส์ เผลอตัว) ทานข้าวก็ไม่ค่อยตรงเวลานัก ทุกอย่างต้องถูกบีบรัดด้วยเวลาเข้าพบที่จำกัด แม้ขนาดกูจะลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อน ลาตายใดๆก็ตาม กูยังต้องรับโทรศัพท์เลย #เข้าใจกูบ้างว่ากูลา ใครจะช่วยงานแทนยังไม่มี ต้องทำเองอยู่ดีแล้วจะมีวันลาให้กูทำไมวะ แถมถ้าปิดเครื่อง ด่ากูอีกแหนะ !!!!!! อี ยิ้มยย (อุ้ย เสียงใครนึกในใจ ผมได้ยินนะ) สิ่งเหล่านี้ มันไม่ง่ายเลยนะครับกับคนที่ใช้ชีวิตแบบนี้ในทุกๆวัน (พอกูปิดยอดได้มายาวๆ สบายๆิบ้าง ก็ว่ากูไม่ทำงานยอดลอยๆมาทุกเดือน #กูล่ะเพลียกะ)

แต่ผมก็ไม่ขอยกเมฆหรอกครับว่า ที่ผมกล่าวมาถูกต้องทั้งหมด ในบางทีความเป็นจริงคือ ลูกค้าบางรายก็เปลี่ยนสเปคไม่ได้ จำยอมต้องซื้อ หรือหาที่อื่นไม่ได้แล้วราคานี้ ก็คงไม่เถียง (เว้นแต่เซลล์ที่วันๆก็ไม่ทำมาหา-จริงๆ งานไม่ทำ ไม่รับสายลูกค้า รอจะขายแต่ของเก่าๆ- ของใหม่ไม่หา ของเก่าก็ไม่รักษา -แค่เงินเดือนก็เพียงพอแล้วกับชีวิตนี้ อันนั้นเชิญรุมด่าแบบไร้เยื่อใยได้เลย เพราะกูก็เบื่อปลาเน่าหนอนทำเหม็นไปทั้งกลุ่ม)

แต่ชีวิตนักขายจะมาเกาะกินแต่ของเก่า ก็คงมิใช่ เพราะรายได้หลักของเรามาจาก "ค่าคอมมิชชั่น" ดังนั้นก็ต้องไปหาลูกค้าอยู่ดี มันหนีไม่พ้นอยู่แล้ว และกว่าจะไปเจาะหาทางขายของได้แต่ละอย่างเพิ่มเข้าไปก็ยากหนักหนา ฝ่าฟันราคา ทั้งสเปค กับคู่แข่งในตลาด ต้องคอยพะเน้าพะนอ แบกของไปหลายรอบ ช่างเจรจากับลูกค้าให้พึงพอใจในสินค้าตนกว่าจะได้มาซึ่ง "ใบสั่งซื้อ" แต่ละใบ แต่ยังนะครับ ใช่ความสุขจะจบลงเพียงเท่านี้ ช้าก่อน ยังมีมหากาฬย์ รออยู่อีกเพียบ ต้องมาลุ้นต่ออีก จะส่งของทันไหม ของมาเมื่อไหร่ ราคาปรับไหม ขายแล้วจะเก็บตังค์ได้ไหมฯลฯ พอปัญหาเกิดมา ใครกันล่ะหน้าด่านแรกของการเจอคำด่า (กูไง!!!!ไอ้ควาย) ส่งไม่ทันก็โดนด่า จะเอาอะไรเร่งด่วนก็ต้องจำยอมทนทำให้ทั้งๆที่งานตัวเองก็ล้นมือ ส่งของเก็บตังไม่ได้ ใครทำอะไรไม่ได้ขี้เยี่ยวไม่ออกสิ่งแรกที่คุณจะนึกถึงหรอ #ก็กูไงเซลล์สบายๆของพวกคุณ แถมงานมีปัญหาไม่ฟังห่าอะไร เอะอะห่าหอกอะไรนิดหน่อยก็หักตังกูซ้ำอีก หักจนเงินจะไม่เหลือพอค่าโบทอกซ์หน้ากูอยู่แล้ว!

นักขาย อาชีพนี้ไม่ได้วิเศษสบายเลิศเลอ อย่างที่หลายท่านเข้าใจนะครับ #อย่าได้โปรดเข้าใจผิด ไม่ใช่อาชีพที่นั่งๆ นอนๆ ที่บ้าน อย่างที่ใครหลายๆ คนมักเข้าใจ แล้วเงินจะลอยมากระแทกบนใบหน้า วันนึงต้องเช็คเมลล์ อ่าน ตอบ ทำราคา แก้ปัญหาตามหน้าที่ของเซลล์ รองรับสารพัดอารมย์ลูกค้าร้อยแปดพันเก้า ลูกท่านหลานเธอ ยิ่งใหญ่อลังการกันมาจากไหนไม่รู้ รีบกันยิ้มแต่ซื้อของร้อยกว่าบาท #ยิ้ม แถมให้กูไปส่งด้วย ด่วน เอาวันนี้ เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้กูจะเลิกซื้อ วีนๆๆๆๆ กูจะฟ้องๆๆๆ (คิดในใจ ถ้ากูอยู่ใกล้ตอนกำลังโทรศัพท์ กูจะเอากระทะฟาดจังๆ บนกะบาลของพลันเสียเดี๋ยวนั้น แต่ในความเป็นจริง #ได้ค้าบบบ #ไปส่งให้เลยคร้าบบบ)

จึงเห็นกันได้ว่า #อาชีพนักขาย ถ้าพวกคุณๆ เองเห็นว่าสบายจัง ง่ายมาก เดี๋ยวเงินก็มา ยอดขายก็มาเรื่อยๆ ได้เงินเยอะ วันๆ เอะอะกลับบ้าน ถ้าอย่างนั้น "#มาเป็นเองสิ" มามั้ย?? มาลองทำดูสักเดือนสองเดือน (ถ้าบริษัทประเมินศักยภาพคนอย่างคุณนะว่าผ่านสามารถทำได้) แต่ทำให้ได้แบบที่กูทำไว้นะ เคยบ่นอะไรไว้ ลองมาทำดู จะได้พิจารณาดูว่าใช่หรือไม่กับสิ่งที่คิดไว้ อย่าเอะอะก็เซลล์สบาย ว่างงาน กลับบ้านเร็ว มีเวลาเหลือ
ที่กูเหลือ เพราะงานกูเสร็จ ปัญหากูจบ (ถ้าไม่จบค่อยมาตามด่า) ผมค่อนข้างมั่นใจคับ คนแทบจะทั้ง100% เค้าสมัครมาในอาชีพนี้ ทุกคนต้องอยากมีรายได้ที่ดี มีช่องว่างของเวลาที่อิสระเสรี บนพื้นฐานของการทำงานได้ขายของเป็น และแก้ปัญหาลูกค้าได้ฉับไว คล่องแคล้ว ประสานงานกับฝ่ายต่างๆในองค์กรได้ดี ได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูล
ดังนั้นถ้าตัวคุณเองเป็นหนึ่งในองค์กร และลำพังปัญหาจากลูกค้า จากงาน ก็หนักพอแล้ว ก็ช่วยๆ เกื้อกูลกันบ้างกับคนในองค์กร กับเซลล์ มันไม่ได้ยากไปหรอกครับ แต่ห่า ยิ้มอะไรๆทุกอย่างที่พวกคุณทำกันไม่ได้ ไม่อยากจะทำเพราะกลัว #กัวกันเหลือเกินว่ากูจะสบาย สุดท้ายก็หน้าที่กูหมดนั่นละ ทำเองหน้าที่ใครหน้าที่มัน!!!!
(นี่ยังไม่รวมหน้าที่ส่งของ เก็บเช็ค ตามหนี้ ตามหนี้ และอื่นๆ ที่ยิ้มงงงง!!!หน้าที่กูทั้งนั้น)

เอ๊ะ!!!!! แล้วไอ้ที่องค์กรเค้าพากันจะสร้างกิจกรรม ให้รักกันสามัคคีกันเพื่อสร้างภาพหรอวะ กูงง ตอนออกไปเที่ยว เย้วๆๆๆ กอดคอรักกัน ถ่ายรูป โพสท์ท่า แต่พอทำงาน #งานค่ะ #หน้าที่ครับ ถ้าคนในกันเองไม่คิดจะช่วยเหลือกัน ก็พังตั้งแต่เริ่มคิดจะขายของลูกค้าแล้ว
#กูก็ช่วยแล้วไงแล้ววันๆพวกทำอะไรกันล่ะ
(เอ๊ะ เสียงใครลอยมาฟระ)....... ไม่ใส่ใจ!!!! .......
เอาเป็นว่า ถ้าคิดว่าผมทำงานสบาย คุณก็ลาออกกันมา แล้วไปสมัครเป็นเซลล์กันซะ (มาร่วมประสบการณ์สบายๆด้วยกัน ผมจะนำทางสบายแก่คุณเอง) เพราะถ้าคุณได้สมัครงานเข้ามาในตำแหน่งที่คุณเองก็เต็มใจจะทำแล้ว ก็อย่ามองงานของคนอื่นสบาย หรือ หนักหนากว่าของตัวเองนักเรย (เพราะถ้ากูทำได้กูคงเป็น CEO ไปแล้ว) แต่ละคนเลือกจะสมัครงานตามแต่ที่ตนถนัด หรือเท่าที่ศักยภาพคุณถึงพอ และทุกคนก็ล้วนต่างมีวัตถุประสงค์ มีเป้าหมายแตกต่างกัน

ดังนั้น ยอมรับกับมันซะบ้าง ปรับเลือกมองมุมใหม่ๆบ้าง เปิดรับมันบ้างครับสมองอะ อย่าเอาแต่จมดิ่งกับความเชื่อเดิมๆ ผูกใจแต่กับสิ่งเดิมๆ ปีนี้สมัยนี้ยุคนี้เค้าไปไกลกันแล้ว หัดเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆตามกระแสให้ทันโลกบ้าง เผื่อความเครียดในจิตใจมันจะทุเลา อย่าเอาชนะกันด้วยการไม่ช่วยเหลือกันเลยคับ เอาเวลาเหล่านั้นมาช่วยกันเพิ่มยอดขาย ทำยอดให้ถึงเป้าหมาย ร่วมมือกันทำงาน ได้เงินกันไปถ้วนหน้า มากบ้างน้อยบ้าง (ก็ตามตำแหน่งที่คุณอยู่) อยากให้รู้ครับว่า คนทำงานเซลล์ ความเครียดจากลูกค้าก็มากพอแล้ว อย่าให้ต้องมาคอยนั่งเล้าหลือกันเองในองค์กรเลย เชื่อผมเถอะ เอาชนะกันไปก็ไม่ได้อะไร.......

สุดท้ายนี้ อีกเรื่องที่อยากจะเอ่ยถึง "#วันหนักวันเบา" ไม่ใช่เรื่องขี้เยี่ยวนะครับ อย่าเข้าใจผิด วันหนักวันเบาก็อาทิ เช่น "#วันหนัก" ก็เป็นมหากาฬย์ที่ใครก็ไม่อยากพานพบ วันที่เราทำงานในแต่ละวัน วันที่ที่ปัญหามารุมเร้าสารพัน ยิ้มอะไรนักหนาไม่รู้ โทรคุยกันเป็นร้อยๆสาย แก้ไขปัญหายุ่งกันไปทุกฝ่าย ตาจิกกันแทบจะถลนออกจากเบ้า รถก็ติดยิ้ม อะไรก็ด่วนยิ้มทุกเรื่อง (พอนึกภาพกันออกใช่มั้ย)

;ที่นี้มาดู "#วันเบา" กันครับ วันที่ทำงานชิวๆ จิบน้ำชาเคล้าขนมกรุบกรอบ เม้ามอยขี้ฟันกระจัดกระจายกันอย่างสนุกสนาน ลูกค้าสบายหูมาก งานราบรื่นด้วยดี แต่จะเห็นว่าวันหนักและวันเบามันก็ไม่ได้มีมาทุกๆวันหรอก เซลล์ก็เช่นกันครับ บางวันงานเอกสารน้อย งานไม่มีปัญหามาก ลูกค้าให้เข้าพบน้อย คุยเสร็จเร็วปิดจ๊อบไว รถไม่ติด ขับชิวๆ ออฟฟิศลูกค้าก็ติดๆกัน สบายๆ แบบนี้งานก็เสร็จเร็ว แล้วพองานเสร็จจะให้พวกกู เอ๊ย ให้พวกเราไปไหนกันละครับ ก็เป็นงานที่จบลงวันนั้น ใครขยันมากหน่อยก็เร่งเคลียร์งานของวันรุ่งขึ้น ผมเองก็ทำอยู่เป็นประจำ และสอนสิ่งดีๆเหล่านี้ให้กับคนรุ่นใหม่ๆอยู่เสมอ แต่บางคนก็ไม่มีอะไรจะทำ ก็ไม่จำเป็นจะต้องกลับไปนั่งออฟฟิศนิครับ กฎไม่ได้บังคับไว้แบบนั้น
อาชีพนี้ก็ชัดเจนว่าคนเข้ามาคือ ชอบตรงเวลาว่างที่ได้มาหลังงานเลิก มากน้อยต่างกันไปตามงานแต่ละวัน บางวันก็ช้อปปิ้ง ไปเดินหาอะไรกิน ไปกินไอติม ไปทำธุระประปรังอื่นๆ ตามแต่ละคน หรือบางคนไม่มีก็เข้าบ้านพักผ่อนให้พร้อมลุยวันถัดไป ซึ่งก็อยู่บนพื้นฐานของคำว่า งานจบแล้วในวันนั้นๆ (ส่วนใครงาน ยิ้ม งานพัง ไม่ทำงาน อันนั้นไปรุมได้เรย ช่วยด่าเผื่อผมด้วย) แต่ใช่ว่างานเลิก เข้าบ้านจะไม่รับสายลูกค้า จะไม่ทำงานต่อ เมื่อมีงานที่ต้องสะสาง เมื่ออาชีพนักขายคือหน้าที่ เงินที่ผมได้มา มาจากการขาย ผมก็ต้องทำครับ ลูกค้าโทรมาก็ต้องรับสาย หรือโทรกลับ และแก้ปัญหาต่างๆ ให้อยู่บ่อยครั้ง แม้จะหมดงานในวันเหล่านั้นแล้วก็ตาม มันหมดสมัยไปแล้วครับกับชีวิตเซลล์เบาสบายเหมือนโซฟี บินกลับบ้านทุกวัน งานการไม่ทำ วันเบาวันหนักมันคละกันครับ ใช่ว่าชีวิตจะมีแต่วันเบาเสียที่ไหนกันเล่า...... โธ่!!!

ดังนั้นขอเถอะครับ เลิกระบบความคิดเหล่านั่นไปเสียทีเถอะครับ ไม่มีงานของใครสบายกว่างานของใครหรอก เพียงแต่รูปแบบของหน้าที่งานมันแตกต่างกัน อลุ่มอล่วยให้กันบ้าง เข้าใจและเคารพในสถานภาพของกันและกันบ้าง
ผมเชื่อนะครับว่าองค์กรทุกองค์กรที่มีฝ่ายขายเป็นองค์ประกอบหลักจะน่าอยู่ขึ้นกว่านี้เยอะถ้าทุกคนแค่ "ปรับมุมมองใหม่"

#จากใจผู้เขียน
เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็น ส่วนบุคคลของผม มิต้องการกล่าววิจารณ์ หรือล่วงเกินอาชีพอื่นใด โปรดใช้วิจารณญาณเท่าที่คุณจะพึงมี พิจารณาเอาเองนะครับ ว่าคุณเองเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านี้หรือไม่ และขออภัยหากข้อความนี้ไปเสียดแทงเข้ากลางอกใคร แต่ถ้าใช่ก็ขอให้คุณควรเข้าใจว่า #ถึงเวลาเปลี่ยนมุมมองใหม่ได้แล้ว ชีวิตจะสนุกขึ้นอีกเยอะครับ

**********************************
เซลล์แมนคนหนึ่ง เรียบเรียง
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่