บทที่1 เพียงเพราะอยากจะเห็นหน้า
เมื่อครั้งที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว ตอนที่ผมกับเขาเป็นเพียงแค่เพื่อนที่ไม่สนิดกัน ตอนที่อะไรๆในตอนนั้นชั่งดูสดใสไปหมด ตอนที่แสงแดดส่องผ่านใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ลงมากระทบบนเสื้อยีนส์ของผม ขณะที่ผมกำลังก้มหน้ามองดูโทรศัพย์เพื่อตามหาสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ที่ผมกำลังจะไปนั้น
ไม่มีใครรู้เลยว่ามันคือที่ได ผมเองก็ไม่รู้ แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้... เพราะมันคือการมาหาโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า..
ผมเดินต่อไปอีกสักพัก จากนั้นก็หยุดอยู่กับที่ เงยหน้ามองไปทางด้านซ้ายมือ แสงแดดที่ส่องทะแยงเข้ามาในตาทำให้ผมต้องหยุดหันไปมอง
เมื่อจ้องมองอยู่ชั่วครู่ ก็รู้ว่านั่น คือรูปปั้นที่สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ ที่ดึงให้ผมไปสนใจนั่นเอง มันดูคล้ายกับว่าเป็นผูเขาเหล็กที่โพล่ขึ้นมาจากพื้นดิน แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆก็ทำให้รู้ว่า
นั่นคือรูปปั้นที่จำลองมาจาก รูปน้ำที่กำลังเดือด
ผมยืนมองอยู่สักผักก็เดินต่อไป ตรงจุดที่ผมยืนอยู่นั้นเป็นจุดศูนกลางของสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสถาณีรถไฟที่ผมเดินลงมามากนัก ด้วยความร้อนที่สะท้อนผ่านรูปปั้นแล้วทำให้ผมต้อง
เดินต่อไป หาที่หลบแดดให้เย็นกว่านี้ เมื่อเข้ามาในร่มก็รู้สึกถึงลมที่พัดผ่านได้ทันที ผมเก็บโทรศัพย์ไส่กระเป๋า และหยิบขวดน้ำที่เอาติดตัวมาด้วยขึ้นมาดื่มเพื่อแก้กระหาย
มันช่วยได้ไม่มากนัก เพราะน้ำในขวดเหลือเพียงไม่กี่หยด และด้วยอากาศที่ร้อนจนขนาดน้ำที่ผมดื่มยังร้อนไปด้วย ทำให้ผมหยุดการเดินตามแผนที่
และเปลี่ยนไปหาน้ำเย็นๆดื่มแทน จากนั้นไม่นาน บรรยากาศรอบข้างที่มีเพียงต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้สวยสดในช่วงปลายรฤดูร้อน ศ.ส. 2013 ก็ค่อยๆเปลี่ยนเข้าสู่ฉากป่าคอนกรีด มีเพียงป้ายโฆษณาอณุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้เห็นเป็นหย่อมๆเท่านั้นเอง
เมื่อเดินผ่านทางม้าลายได้สักพัก ผมก็ต้องหยุดอยู้กับที่อีกครั้ง
เพราะรู้สึกผิดปกติที่ขาข้างขวา มันเหมือนมีอะไรมาจับที่กระเป๋ากางเกง ตรงที่ผมเก็บโทรศัพย์ไว้ ตรวจสอบดูก็พบว่าไม่ได้มีอะไรหน้าตกใจเลย แต่ด้วยเสียงรบกวนจากรถที่วิ่งผ่านไปมา บวกกับการที่ผมปิดเสียงโทรศัพย์ไว้
ทำให้ผมรับโทรศัพไม่ทัน
มีอยู่สองสายที่ผมไม่ได้รับ บวกกับข้อความอีกหนึ่งข้อความ..
ผมเปิดอ่านข้อความและได้ใจความว่า....
โปรดติดตามตอนต่อไป..
ฟีดแบคตามสบายเลยนะครับ
ถ้าเพียงแต่
เมื่อครั้งที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว ตอนที่ผมกับเขาเป็นเพียงแค่เพื่อนที่ไม่สนิดกัน ตอนที่อะไรๆในตอนนั้นชั่งดูสดใสไปหมด ตอนที่แสงแดดส่องผ่านใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ลงมากระทบบนเสื้อยีนส์ของผม ขณะที่ผมกำลังก้มหน้ามองดูโทรศัพย์เพื่อตามหาสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ที่ผมกำลังจะไปนั้น
ไม่มีใครรู้เลยว่ามันคือที่ได ผมเองก็ไม่รู้ แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้... เพราะมันคือการมาหาโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า..
ผมเดินต่อไปอีกสักพัก จากนั้นก็หยุดอยู่กับที่ เงยหน้ามองไปทางด้านซ้ายมือ แสงแดดที่ส่องทะแยงเข้ามาในตาทำให้ผมต้องหยุดหันไปมอง
เมื่อจ้องมองอยู่ชั่วครู่ ก็รู้ว่านั่น คือรูปปั้นที่สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ ที่ดึงให้ผมไปสนใจนั่นเอง มันดูคล้ายกับว่าเป็นผูเขาเหล็กที่โพล่ขึ้นมาจากพื้นดิน แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆก็ทำให้รู้ว่า
นั่นคือรูปปั้นที่จำลองมาจาก รูปน้ำที่กำลังเดือด
ผมยืนมองอยู่สักผักก็เดินต่อไป ตรงจุดที่ผมยืนอยู่นั้นเป็นจุดศูนกลางของสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสถาณีรถไฟที่ผมเดินลงมามากนัก ด้วยความร้อนที่สะท้อนผ่านรูปปั้นแล้วทำให้ผมต้อง
เดินต่อไป หาที่หลบแดดให้เย็นกว่านี้ เมื่อเข้ามาในร่มก็รู้สึกถึงลมที่พัดผ่านได้ทันที ผมเก็บโทรศัพย์ไส่กระเป๋า และหยิบขวดน้ำที่เอาติดตัวมาด้วยขึ้นมาดื่มเพื่อแก้กระหาย
มันช่วยได้ไม่มากนัก เพราะน้ำในขวดเหลือเพียงไม่กี่หยด และด้วยอากาศที่ร้อนจนขนาดน้ำที่ผมดื่มยังร้อนไปด้วย ทำให้ผมหยุดการเดินตามแผนที่
และเปลี่ยนไปหาน้ำเย็นๆดื่มแทน จากนั้นไม่นาน บรรยากาศรอบข้างที่มีเพียงต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้สวยสดในช่วงปลายรฤดูร้อน ศ.ส. 2013 ก็ค่อยๆเปลี่ยนเข้าสู่ฉากป่าคอนกรีด มีเพียงป้ายโฆษณาอณุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้เห็นเป็นหย่อมๆเท่านั้นเอง
เมื่อเดินผ่านทางม้าลายได้สักพัก ผมก็ต้องหยุดอยู้กับที่อีกครั้ง
เพราะรู้สึกผิดปกติที่ขาข้างขวา มันเหมือนมีอะไรมาจับที่กระเป๋ากางเกง ตรงที่ผมเก็บโทรศัพย์ไว้ ตรวจสอบดูก็พบว่าไม่ได้มีอะไรหน้าตกใจเลย แต่ด้วยเสียงรบกวนจากรถที่วิ่งผ่านไปมา บวกกับการที่ผมปิดเสียงโทรศัพย์ไว้
ทำให้ผมรับโทรศัพไม่ทัน
มีอยู่สองสายที่ผมไม่ได้รับ บวกกับข้อความอีกหนึ่งข้อความ..
ผมเปิดอ่านข้อความและได้ใจความว่า....
โปรดติดตามตอนต่อไป..
ฟีดแบคตามสบายเลยนะครับ