ผมเคยสงสัยตัวเองว่าบางครั้งทำไมตนเองเป็นคนรู้สึกไวต่อความรู้สึก (sensitive) ง่ายจัง เวลาที่ได้เจอะเจอเรื่องราวที่น่าสงสารหรือน่าประทับใจของสิ่งต่างๆรอบตัว ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมแบบควบคุมไม่ค่อยจะได้ แต่ก็ไม่ขนาดร้องฟูมฟายเหมือนเด็กๆ บางครั้งก็แอบปาดน้ำตาเพราะเกรงว่าจะอายคนอื่นๆที่ไม่รู้จัก
จากเหตุการณ์หลายๆครั้งนั้น ผมได้มีโอกาสถามอาจารย์ของผมว่าเป็นความแปลกประหลาด หรือเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือเปล่าที่เราเป็นคนที่ไวต่อความรู้สึกมากเกินไป คำตอบที่ได้รับ นอกจากจะไม่มีใครว่าเราผิดปกติแล้ว ยังได้รับคำตอบที่ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจไม่น้อยว่า นี่คือพรสวรรค์ของเราเองที่ถูกสร้างมา การเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่น เศร้าใจเป็น สงสารเป็น แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของจิตใจของคนคนนั้น ซึ่งคงมาจากพื้นฐานการเลี้ยงดูในวัยเด็กด้วย ช่างเป็น คำตอบที่มองโลกในแง่บวกมากเลยครับ
จากคำตอบวันนั้นทำให้มีความคิดเรื่องพรสวรรค์ทางความรู้สึกของตนเองและใครอีกหลายๆคนที่มีลักษณะเดียวกันเหมือนผม ว่าน่าจะมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง เพราะคนที่จิตใจอ่อนไหวหรือไวต่อความรู้สึก ไม่ใช่คนที่คิดร้ายกับใคร แต่คนที่คิดไม่ดีทำสิ่งไม่ดีนั้น เราน่าจะเรียกคนเหล่านั้นว่าเป็น คนที่มีจิตใจอ่อนแอต่างหากใช่ไหมครับ
ใครบ้างที่มี...จิตอ่อนไหว...ใจไวต่อความรู้สึก
หากจะพูดคำว่าไวต่อความรู้สึกแล้วนั้นมีอีกคำที่น่าจะมาทดแทนกันได้บ้าง คือคำว่าเป็นคนจิตใจอ่อนไหวง่าย ซึ่งมองผ่านๆคำนี้จะให้ความรู้สึกเป็นลบ แต่ถ้ามองเหมือนการเป็นคนไวต่อความรู้สึก ความหมายก็จะออกไปในเชิงบวกได้เช่นเดียวกัน ซึ่งที่มาที่ไปคงจะแตกต่างกันดังนี้คือ
คนที่มาจากครอบครัวที่เป็นคนเมตตา อ่อนโยนทางจิตใจ มักปลูกฝังความคิดเรื่องการเป็นคนขี้สงสารและใส่ใจในความยากลำบากของผู้อื่น คนประเภทนี้ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีคุณธรรมจริยธรรมดี เห็นแก่ประโยชน์ของเพื่อนร่วมโลกเป็นหลัก แต่ก็อาจจะมีข้อเสียคือ บางครั้งจะกลายเป็นคนแบกปัญหาของคนอื่นไว้หมด อาจทำให้จิตใจตนเองย่ำแย่ลงไปได้ มัวแต่สงสารและคอยช่วยเหลือคนอื่นจนลืมดูแลตนเอง
คนที่ถูกฝึกหรือคนที่ทำงานในแวดวงที่ต้องใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่นอย่างละเอียดอ่อน ซึ่งมักจะพบได้บ่อยๆในคนที่ทำงานในแวดวงสาธารณสุข ที่ต้องสัมผัสและดูแลผู้ป่วยที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ คนในกลุ่มนี้จะเป็นคนที่สามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ให้เกิดความเข้าอกเข้าใจและเห็นใจคนอื่นอยู่เสมอ ซึ่งคนเหล่านี้ส่วนใหญ่สามารถที่จะแยกแยะบทบาทของตนเองได้เป็น มีขอบเขตของความเห็นอกเห็นใจ ไม่สับสนในความรู้สึกเพราะไปทำตัวสนิทสนมกับผู้ใช้บริการจนบทบาทไม่ชัดเจน จึงมีคำที่ใช้ว่า empathy คือ เข้าอกเข้าใจ สงสารเขา แต่ไม่ได้อินในความรู้สึกเหมือนเขา ซึ่งต่างจากคำว่า sympathy คือ เอาอารมณ์ตนเองเข้าไปปะปนกับความรู้สึกของคนอื่นมากเกินไป จนอาจจะเสียบทบาทของผู้ให้การช่วยเหลือ เผลอๆ อาจจะพากันลงเหวไปทั้งคู่ คงไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน
กลุ่มที่สาม ส่วนใหญ่ที่เป็นคนอ่อนไหวทางอารมณ์มาก สิ่งต้องระวังคือ การเจ็บป่วยเป็นโรคทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า พอรับฟังเรื่องราวของใครหรือคิดอยากจะช่วยเหลือเขา ก็อาจจะมีอารมณ์ร่วมมากเกินที่ควรจะเป็น โดยเอาความเจ็บป่วยซึมเศร้าของตัวเองไปปะปน
กับเหตุการณ์รอบๆตัว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ของตนเองและรอบๆตัวเลวร้ายลงไปได้อย่างง่ายดาย ข้อนี้ก็เช่นเดียวกันอาจจะเข้าข่าย “เตี้ยอุ้มค่อม” ไปเสียอีกต่างหาก การช่วยเหลือคนอื่น สงสารคนอื่น ในขณะที่ตนเองมีสภาพจิตใจที่ไม่เข้มแข็ง คงจะเป็นการเปล่าประโยชน์
คนประเภทเสแสร้งว่าตนเป็นคนขี้สงสารคนอื่น มักจะบีบน้ำตาหรือดราม่าเพื่อเรียกร้องให้คนสงสารหรือเห็นใจหรืออาจจะเพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง เช่น ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเป็นคนมีจิตใจอ่อนโยน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้แก่ตนเอง หรือเพื่อหลอกลวงเอาเงินทองจากคนที่มองแล้วว่าสามารถหลอกล่อได้ด้วยความน่าสงสารของตนเอง ประเภทนี้ถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่น่าคบหาสมาคม
คนประเภทไหนที่จิตใจอ่อนแอ ขาดความจริงใจ ความเห็นใจและรักเพื่อนมนุษย์ เรียกง่ายๆคือ ขาดคุณธรรมจริยธรรม รักตัวเองมากเกินไปจนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักวิธีการแก้ปัญหาแบบคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ มักใช้ความรุนแรงกลบเกลื่อนความอ่อนแอของตนเอง ชอบหาทางลัดหรือสูตรสำเร็จในการแก้ปัญหา บางครั้งก็ชอบแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
เราจะมีวิธีฝึกตนเองอย่างไรให้เป็นคนอ่อนไหวแต่ใจไม่อ่อนแอ...
การเป็นคนอ่อนไหวในที่นี้ผมหมายถึง การมีจิตใจที่อ่อนโยน รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ใครจะเป็นก็ได้ แต่หากคุณมีลูกเล็กๆที่กำลังเติบโต ก็ยังไม่สายที่จะฝึกให้พวกเขารู้จักการมีเมตตาต่อคน สัตว์และต้นไม้ที่อยู่รอบๆตัว การทำตัวให้เป็นแบบอย่างให้เห็น คงดีกว่าการพร่ำสอนไปเรื่อยๆ นั่นหมายถึงคุณเองก็ต้องเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนเป็นพื้นฐานมาก่อนแล้ว หากคนในบ้านเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบใช้ความรุนแรง ขาดเมตตาธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ สัตว์และต้นไม้ ก็คงยากที่จะสอนใครให้เจริญรอยตามสิ่งเหล่านี้ได้
หลายคนถามว่า จะเริ่มสอนลูกตั้งแต่อายุเท่าไร คำตอบคือ เมื่อลูกเริ่มจำความได้ เริ่มสื่อสารได้ ไม่ต้องรอให้โตเป็นวัยรุ่นก็ได้ หลักการคือ ยิ่งอายุน้อยเท่าไรยิ่งสอนและฝึกฝนได้ง่ายกว่า การสอนให้ลูกเป็นคนอ่อนโยน เป็นพื้นฐานของการฝึกฝนเรื่องคุณธรรมจริยธรรมประเภทหนึ่งเหมือนกัน
การเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหว อ่อนโยนต่อผู้อื่น เปรียบเสมือนการมีจุดเริ่มต้นที่ดีของการทำความดี เพราะคนที่จิตใจอ่อนโยนจะมีโอกาสทำความดีและเข้าถึงความดีได้อย่างแท้จริง ส่วนคนที่ขาดความจริงใจ คนที่สร้างภาพให้ดูดี คนเหล่านี้ทำสิ่งต่างๆที่คิดว่าดี (จากมุมมองของตนเอง) ทั้งชีวิตก็ไม่มีวันได้ความดีกลับมา เมื่อนั้นบุญกุศลก็ไม่บังเกิด และที่สำคัญคือไม่เกิดประโยชน์ต่อคนอื่นแต่อย่างใด
คนอ่อนไหวแต่ใจอ่อนโยน ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสิ่งใด คนอ่อนแอต่างหากที่นอกจากไม่ต่อสู้เพื่อตัวเองแล้ว ยังใช้วิธีการที่ไม่ดีกลบเกลื่อนความอ่อนแอของตนเองอีกต่างหากใช่ไหมครับ.
เชิญอ่านบทความนี้ครับผม
จากเหตุการณ์หลายๆครั้งนั้น ผมได้มีโอกาสถามอาจารย์ของผมว่าเป็นความแปลกประหลาด หรือเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือเปล่าที่เราเป็นคนที่ไวต่อความรู้สึกมากเกินไป คำตอบที่ได้รับ นอกจากจะไม่มีใครว่าเราผิดปกติแล้ว ยังได้รับคำตอบที่ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจไม่น้อยว่า นี่คือพรสวรรค์ของเราเองที่ถูกสร้างมา การเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่น เศร้าใจเป็น สงสารเป็น แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของจิตใจของคนคนนั้น ซึ่งคงมาจากพื้นฐานการเลี้ยงดูในวัยเด็กด้วย ช่างเป็น คำตอบที่มองโลกในแง่บวกมากเลยครับ
จากคำตอบวันนั้นทำให้มีความคิดเรื่องพรสวรรค์ทางความรู้สึกของตนเองและใครอีกหลายๆคนที่มีลักษณะเดียวกันเหมือนผม ว่าน่าจะมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง เพราะคนที่จิตใจอ่อนไหวหรือไวต่อความรู้สึก ไม่ใช่คนที่คิดร้ายกับใคร แต่คนที่คิดไม่ดีทำสิ่งไม่ดีนั้น เราน่าจะเรียกคนเหล่านั้นว่าเป็น คนที่มีจิตใจอ่อนแอต่างหากใช่ไหมครับ
ใครบ้างที่มี...จิตอ่อนไหว...ใจไวต่อความรู้สึก
หากจะพูดคำว่าไวต่อความรู้สึกแล้วนั้นมีอีกคำที่น่าจะมาทดแทนกันได้บ้าง คือคำว่าเป็นคนจิตใจอ่อนไหวง่าย ซึ่งมองผ่านๆคำนี้จะให้ความรู้สึกเป็นลบ แต่ถ้ามองเหมือนการเป็นคนไวต่อความรู้สึก ความหมายก็จะออกไปในเชิงบวกได้เช่นเดียวกัน ซึ่งที่มาที่ไปคงจะแตกต่างกันดังนี้คือ
คนที่มาจากครอบครัวที่เป็นคนเมตตา อ่อนโยนทางจิตใจ มักปลูกฝังความคิดเรื่องการเป็นคนขี้สงสารและใส่ใจในความยากลำบากของผู้อื่น คนประเภทนี้ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีคุณธรรมจริยธรรมดี เห็นแก่ประโยชน์ของเพื่อนร่วมโลกเป็นหลัก แต่ก็อาจจะมีข้อเสียคือ บางครั้งจะกลายเป็นคนแบกปัญหาของคนอื่นไว้หมด อาจทำให้จิตใจตนเองย่ำแย่ลงไปได้ มัวแต่สงสารและคอยช่วยเหลือคนอื่นจนลืมดูแลตนเอง
คนที่ถูกฝึกหรือคนที่ทำงานในแวดวงที่ต้องใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่นอย่างละเอียดอ่อน ซึ่งมักจะพบได้บ่อยๆในคนที่ทำงานในแวดวงสาธารณสุข ที่ต้องสัมผัสและดูแลผู้ป่วยที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ คนในกลุ่มนี้จะเป็นคนที่สามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ให้เกิดความเข้าอกเข้าใจและเห็นใจคนอื่นอยู่เสมอ ซึ่งคนเหล่านี้ส่วนใหญ่สามารถที่จะแยกแยะบทบาทของตนเองได้เป็น มีขอบเขตของความเห็นอกเห็นใจ ไม่สับสนในความรู้สึกเพราะไปทำตัวสนิทสนมกับผู้ใช้บริการจนบทบาทไม่ชัดเจน จึงมีคำที่ใช้ว่า empathy คือ เข้าอกเข้าใจ สงสารเขา แต่ไม่ได้อินในความรู้สึกเหมือนเขา ซึ่งต่างจากคำว่า sympathy คือ เอาอารมณ์ตนเองเข้าไปปะปนกับความรู้สึกของคนอื่นมากเกินไป จนอาจจะเสียบทบาทของผู้ให้การช่วยเหลือ เผลอๆ อาจจะพากันลงเหวไปทั้งคู่ คงไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน
กลุ่มที่สาม ส่วนใหญ่ที่เป็นคนอ่อนไหวทางอารมณ์มาก สิ่งต้องระวังคือ การเจ็บป่วยเป็นโรคทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า พอรับฟังเรื่องราวของใครหรือคิดอยากจะช่วยเหลือเขา ก็อาจจะมีอารมณ์ร่วมมากเกินที่ควรจะเป็น โดยเอาความเจ็บป่วยซึมเศร้าของตัวเองไปปะปน
กับเหตุการณ์รอบๆตัว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ของตนเองและรอบๆตัวเลวร้ายลงไปได้อย่างง่ายดาย ข้อนี้ก็เช่นเดียวกันอาจจะเข้าข่าย “เตี้ยอุ้มค่อม” ไปเสียอีกต่างหาก การช่วยเหลือคนอื่น สงสารคนอื่น ในขณะที่ตนเองมีสภาพจิตใจที่ไม่เข้มแข็ง คงจะเป็นการเปล่าประโยชน์
คนประเภทเสแสร้งว่าตนเป็นคนขี้สงสารคนอื่น มักจะบีบน้ำตาหรือดราม่าเพื่อเรียกร้องให้คนสงสารหรือเห็นใจหรืออาจจะเพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง เช่น ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเป็นคนมีจิตใจอ่อนโยน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้แก่ตนเอง หรือเพื่อหลอกลวงเอาเงินทองจากคนที่มองแล้วว่าสามารถหลอกล่อได้ด้วยความน่าสงสารของตนเอง ประเภทนี้ถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่น่าคบหาสมาคม
คนประเภทไหนที่จิตใจอ่อนแอ ขาดความจริงใจ ความเห็นใจและรักเพื่อนมนุษย์ เรียกง่ายๆคือ ขาดคุณธรรมจริยธรรม รักตัวเองมากเกินไปจนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักวิธีการแก้ปัญหาแบบคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ มักใช้ความรุนแรงกลบเกลื่อนความอ่อนแอของตนเอง ชอบหาทางลัดหรือสูตรสำเร็จในการแก้ปัญหา บางครั้งก็ชอบแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
เราจะมีวิธีฝึกตนเองอย่างไรให้เป็นคนอ่อนไหวแต่ใจไม่อ่อนแอ...
การเป็นคนอ่อนไหวในที่นี้ผมหมายถึง การมีจิตใจที่อ่อนโยน รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ใครจะเป็นก็ได้ แต่หากคุณมีลูกเล็กๆที่กำลังเติบโต ก็ยังไม่สายที่จะฝึกให้พวกเขารู้จักการมีเมตตาต่อคน สัตว์และต้นไม้ที่อยู่รอบๆตัว การทำตัวให้เป็นแบบอย่างให้เห็น คงดีกว่าการพร่ำสอนไปเรื่อยๆ นั่นหมายถึงคุณเองก็ต้องเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนเป็นพื้นฐานมาก่อนแล้ว หากคนในบ้านเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบใช้ความรุนแรง ขาดเมตตาธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ สัตว์และต้นไม้ ก็คงยากที่จะสอนใครให้เจริญรอยตามสิ่งเหล่านี้ได้
หลายคนถามว่า จะเริ่มสอนลูกตั้งแต่อายุเท่าไร คำตอบคือ เมื่อลูกเริ่มจำความได้ เริ่มสื่อสารได้ ไม่ต้องรอให้โตเป็นวัยรุ่นก็ได้ หลักการคือ ยิ่งอายุน้อยเท่าไรยิ่งสอนและฝึกฝนได้ง่ายกว่า การสอนให้ลูกเป็นคนอ่อนโยน เป็นพื้นฐานของการฝึกฝนเรื่องคุณธรรมจริยธรรมประเภทหนึ่งเหมือนกัน
การเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหว อ่อนโยนต่อผู้อื่น เปรียบเสมือนการมีจุดเริ่มต้นที่ดีของการทำความดี เพราะคนที่จิตใจอ่อนโยนจะมีโอกาสทำความดีและเข้าถึงความดีได้อย่างแท้จริง ส่วนคนที่ขาดความจริงใจ คนที่สร้างภาพให้ดูดี คนเหล่านี้ทำสิ่งต่างๆที่คิดว่าดี (จากมุมมองของตนเอง) ทั้งชีวิตก็ไม่มีวันได้ความดีกลับมา เมื่อนั้นบุญกุศลก็ไม่บังเกิด และที่สำคัญคือไม่เกิดประโยชน์ต่อคนอื่นแต่อย่างใด
คนอ่อนไหวแต่ใจอ่อนโยน ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสิ่งใด คนอ่อนแอต่างหากที่นอกจากไม่ต่อสู้เพื่อตัวเองแล้ว ยังใช้วิธีการที่ไม่ดีกลบเกลื่อนความอ่อนแอของตนเองอีกต่างหากใช่ไหมครับ.