เป็นที่รู้กันว่า ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ความรัก หรือปัญหาความขัดแย้งในสังคมทั้งหลาย สาเหตุหลักเกิดจากการสื่อสารและการฟังที่ไม่ดี
น่าแปลกที่หลายคนคิดว่า การฟัง เป็นเรื่องง่ายๆ เพราะเป็นความสามารถตามธรรมชาติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ทั้งๆที่ "การฟัง กับ การได้ยิน" นั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก
การฟังที่แท้จริง ต้องอาศัย “สติ” และการ “เอาใจใส่” ส่วนการได้ยิน เกิดขึ้นเองที่หู โดยเราไม่ต้องพยายามอะไร เราสามารถได้ยิน โดยที่ไม่เข้าใจในเรื่องๆนั้นเลย หรือแม้กระทั่งในการสนทนาในชีวิตประจำวัน หากไม่ได้ตระหนักรู้และสังเกตตัวเอง เราก็อาจจะไม่ได้ฟังอีกฝ่ายจริงๆ
ใครที่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ฟังเก่งอยู่แล้ว หรือคิดว่าการฟังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ ลองอ่านบทความนี้แล้วพิจารณาดูว่าได้ตกหลุมพรางของการฟัง ทั้ง 4 ข้อนี้บ้างไหม
1.ฟัง แล้วคิดตาม
หลายคนมักจะคิดว่า การฟังที่ดีต้องคิดตามไปด้วย จะได้เข้าใจได้ดีขึ้น อันที่จริงการคิดก็ไม่ผิด แต่หลายครั้งที่ฟัง เรามักเผลอ “คิดไปดักหน้า” หมายถึง คิดวิเคราะห์ไปล่วงหน้าแล้ว ว่าคนพูดจะพูดอะไรต่อไป ถ้าเป็นเรา ในสถานการณ์นี้จะทำอย่างไรดี เตรียมคำแนะนำ หาทางออก ไว้ให้เค้าเสร็จสรรพ โดยที่ไม่รู้เลยว่า ขณะที่เราคิดมโนไปนั้น ก็ได้พลาดสิ่งที่เค้าต้องการสื่อสารอย่างแท้จริงไป ส่วนบางคนก็ขี้สงสัย เมื่อฟังไม่ทันไร ก็ชอบตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกต หรือออกความคิดเห็นส่วนตัว จนกระทั่งผู้พูด ไม่ได้พูดสิ่งที่เค้าต้องการเลย
Tips: ฟังด้วยความว่างอย่างมีสติรู้ตัว ไม่ขัด ไม่แทรก ปล่อยให้ผู้พูด พูดจนจบ แล้วหากมีคำถามจึงสอบถามทีหลัง ไม่ด่วนให้คำแนะนำหากคนพูดไม่ได้ร้องขอ
2.ฟัง แล้วอิน
ข้อนี้คนเซนซีทิฟหรือใจอ่อนมักจะเป็น นั่นคือ เมื่อมีเพื่อนหรือคนใกล้ชิดมาระบายความทุกข์ให้ฟัง เราก็จะจมไปกับเรื่องราว อารมณ์ก็จะเอ่อขึ้นมาแบบท่วมท้น อินไปกับเรื่องนั้น หากมีประสบการณ์ใกล้เคียง ทำให้เราย้อนนึกถึงอดีต เรายิ่งจมดิ่งไปกับเรื่องของตัวเอง จนไม่ได้รับฟังอย่างแท้จริง
การที่เรามีอารมณ์ร่วม และแสดงความเห็นอกเห็นใจในการฟัง ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่หลายๆครั้ง อาการอินของเรา หากมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า โกรธ เกลียดที่เกิดขึ้น อารมณ์ที่รุนแรงเหล่านี้ย่อมจะมาบดบังการฟัง และครอบครองพื้นที่ในใจ จนเราละเลยผู้พูดนั่นเอง
Tips: เมื่อรู้สึกเกิดอารมณ์ร่วมอย่างมากในการฟัง ให้กลับมาระลึกรู้ อยู่กับลมหายใจเข้าและออก หรือรับรู้ถึงการเต้นของหัวใจเรา แยกแยะว่า เราสามารถรับฟังเค้าได้ แสดงความเห็นใจคนข้างหน้าได้ มองเห็นความทุกข์ของเรื่องราวนั้นว่าเป็นอดีต ที่แยกจากคนพูด และเราก็ฟังได้โดยที่ไม่ต้องไปเป็นความทุกข์เสียเอง
3.ฟัง แบบใจลอย
หลังจากฟังอีกฝ่ายพูดจบ หากไม่ได้สรุปประเด็นในการสนทนา หรือทวนความให้แน่ใจว่าเข้าใจตรงกัน ก็จะแทบไม่รู้ตัวเลยว่า เรามีการฟังที่ดีไหม ฟังได้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามประเด็นที่อีกฝ่ายต้องการสื่อสารไหม เพราะบางคนมักจะบอกกับตัวเองว่าสมาธิสั้น ใครพูดนานๆจะไม่เข้าใจ แต่ปรากฎคนๆนั้น สามารถเล่นเกมหรือแชทได้นานๆ คำว่าสมาธิสั้นนั้น อาจจะดูเป็นเพียงข้ออ้างในการฟังเกินไป
คนที่ใจลอยบ่อยๆเมื่อต้องฟังนั้น หากลองวิเคราะห์หาสาเหตุ เป็นไปได้ 2 กรณี คือ 1. ไม่สนใจคนที่พูด 2. ไม่สนใจในเรื่องๆนั้น ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ หากแม้ยังนั่งฟังอยู่ กริยาดูเหมือนว่าฟัง แต่หากสังเกตด้วยการมองตา ก็จะรู้เลยว่า ใจเค้าไม่ได้อยู่กับตัวแล้ว และหากถามถึงเรื่องราวที่เพิ่งคุยกันไป เค้าจะรีบบอกปัดว่าเข้าใจ แต่ไม่สามารถจับประเด็นได้เลย
Tips: ในกรณีนี้ อยู่ที่ “ความพร้อม” ในการฟัง หากเราเป็นผู้พูด เมื่อจับสัญญาณว่าอีกฝ่ายใจลอย ก็ควรหยุดพูด ไม่ใช่พูดต่อไปเรื่อยๆเพราะคงเหนื่อยเปล่า อาจจะสอบถามว่า เค้ามีอะไรในใจหรือเปล่า หากเราเป็นคนฟัง ที่ไม่สนใจจะสนทนาในเรื่องนั้น ก็ควรบอกอีกฝ่ายไปตรงๆว่าเราติดธุระอะไรอยู่ การทำทีว่าฟัง แต่ไม่ได้ฟังนั้น จะสร้างความรู้สึกแย่ให้กับผู้พูดอย่างมาก
4.ฟัง แบบมีธงในใจ
กรณีสุดท้าย เป็นการฟังที่หากไม่สังเกตให้ดี ก็จะมองไม่เห็นตัวเองเช่นกัน เป็น เพราะมักจะคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าผู้พูด หรือรู้อยู่แล้วว่าจะคนพูดจะพูดอะไรต่อ ทำให้เพียงเริ่มบทสนทนาได้ไม่นาน ก็จะปิดการฟังไป เพราะได้ตัดสินและมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดต่อไปอย่างไร ก็จะไม่ได้เข้าไปในใจเลย รอเพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะพูดจบ ตัวเองจะได้โอกาสพูดบ้าง หรือบางทีก็ขัดขึ้นมากลางทางเลย แล้วรีบด่วนชี้แจง โดยที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้พูด
หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่า บางครั้งไม่อยากรอให้อีกฝ่ายพูดจบ เพราะคิดว่าไม่จำเป็น ในเมื่อเรามีคำตอบที่ชัดเจนในใจอยู่แล้ว แต่หากลองคิดให้ดี ในแต่ละครั้งสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปตามบริบทและเวลา การรีบด่วนตัดสินนั้นย่อมมาจากข้อมูลเก่าที่เรารับรู้ในอดีตเท่านั้น เราจึงอาจพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด เพราะไม่ได้รับฟังจนจบนั่นเอง
Tips: เมื่อรู้สึกอึดอัด ไม่อยากฟัง ให้พิจารณาว่าเรากำลังตัดสินหรือมีธงในใจอยู่แล้วใช่ไหม ถ้าหากใช่ ให้ลอง “ห้อยแขวนคำตัดสิน” นั้นๆไปก่อน แล้วกลับมามีสติอยู่กับการฟังใหม่อีกครั้ง พยายามรับฟังให้ลึกซึ้งกว่าเนื้อความ ให้ลึกลงไปถึงอารมณ์ ความเชื่อ มุมมองของผู้พูด ก็จะทำให้เราเข้าใจผู้พูดได้ดีขึ้น
หลุมพรางในการฟังทั้ง 4 ประการ ทำให้เรารู้ว่า การฟัง เป็นทักษะที่เราต้องฝึกฝน และมีความเข้าใจ การสื่อสารที่ดีจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีคนพูดและมีคนรับฟัง หากเราสนใจฝึกฝนแต่ทักษะการพูด ละเลยฝึกทักษะการฟัง ทำให้การสื่อสารขาดความสมดุล และจะส่งผลกระทบไปถึงประสิทธิภาพการทำงาน การเป็นผู้นำ มีปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัว ครอบครัว ด้วยอย่างแน่นอน
เรียบเรียงโดย “เรือรบ” ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการสื่อสารและการฟัง
อ้างอิงเนื้อหาจากหนังสือ "เอนหลังฟัง: ศิลปะการฟังอย่างลึกซึ้ง" โดย ภินท์ ภารดาม สนพ. สวนเงินมีมา
ที่มาบทความจาก
http://learninghubthailand.com/4failure-listening.html
4 หลุมพราง ที่บ่งบอกว่าเรายัง "ฟังไม่เป็น"
น่าแปลกที่หลายคนคิดว่า การฟัง เป็นเรื่องง่ายๆ เพราะเป็นความสามารถตามธรรมชาติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ทั้งๆที่ "การฟัง กับ การได้ยิน" นั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก
การฟังที่แท้จริง ต้องอาศัย “สติ” และการ “เอาใจใส่” ส่วนการได้ยิน เกิดขึ้นเองที่หู โดยเราไม่ต้องพยายามอะไร เราสามารถได้ยิน โดยที่ไม่เข้าใจในเรื่องๆนั้นเลย หรือแม้กระทั่งในการสนทนาในชีวิตประจำวัน หากไม่ได้ตระหนักรู้และสังเกตตัวเอง เราก็อาจจะไม่ได้ฟังอีกฝ่ายจริงๆ
ใครที่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ฟังเก่งอยู่แล้ว หรือคิดว่าการฟังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ ลองอ่านบทความนี้แล้วพิจารณาดูว่าได้ตกหลุมพรางของการฟัง ทั้ง 4 ข้อนี้บ้างไหม
1.ฟัง แล้วคิดตาม
หลายคนมักจะคิดว่า การฟังที่ดีต้องคิดตามไปด้วย จะได้เข้าใจได้ดีขึ้น อันที่จริงการคิดก็ไม่ผิด แต่หลายครั้งที่ฟัง เรามักเผลอ “คิดไปดักหน้า” หมายถึง คิดวิเคราะห์ไปล่วงหน้าแล้ว ว่าคนพูดจะพูดอะไรต่อไป ถ้าเป็นเรา ในสถานการณ์นี้จะทำอย่างไรดี เตรียมคำแนะนำ หาทางออก ไว้ให้เค้าเสร็จสรรพ โดยที่ไม่รู้เลยว่า ขณะที่เราคิดมโนไปนั้น ก็ได้พลาดสิ่งที่เค้าต้องการสื่อสารอย่างแท้จริงไป ส่วนบางคนก็ขี้สงสัย เมื่อฟังไม่ทันไร ก็ชอบตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกต หรือออกความคิดเห็นส่วนตัว จนกระทั่งผู้พูด ไม่ได้พูดสิ่งที่เค้าต้องการเลย
Tips: ฟังด้วยความว่างอย่างมีสติรู้ตัว ไม่ขัด ไม่แทรก ปล่อยให้ผู้พูด พูดจนจบ แล้วหากมีคำถามจึงสอบถามทีหลัง ไม่ด่วนให้คำแนะนำหากคนพูดไม่ได้ร้องขอ
2.ฟัง แล้วอิน
ข้อนี้คนเซนซีทิฟหรือใจอ่อนมักจะเป็น นั่นคือ เมื่อมีเพื่อนหรือคนใกล้ชิดมาระบายความทุกข์ให้ฟัง เราก็จะจมไปกับเรื่องราว อารมณ์ก็จะเอ่อขึ้นมาแบบท่วมท้น อินไปกับเรื่องนั้น หากมีประสบการณ์ใกล้เคียง ทำให้เราย้อนนึกถึงอดีต เรายิ่งจมดิ่งไปกับเรื่องของตัวเอง จนไม่ได้รับฟังอย่างแท้จริง
การที่เรามีอารมณ์ร่วม และแสดงความเห็นอกเห็นใจในการฟัง ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่หลายๆครั้ง อาการอินของเรา หากมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า โกรธ เกลียดที่เกิดขึ้น อารมณ์ที่รุนแรงเหล่านี้ย่อมจะมาบดบังการฟัง และครอบครองพื้นที่ในใจ จนเราละเลยผู้พูดนั่นเอง
Tips: เมื่อรู้สึกเกิดอารมณ์ร่วมอย่างมากในการฟัง ให้กลับมาระลึกรู้ อยู่กับลมหายใจเข้าและออก หรือรับรู้ถึงการเต้นของหัวใจเรา แยกแยะว่า เราสามารถรับฟังเค้าได้ แสดงความเห็นใจคนข้างหน้าได้ มองเห็นความทุกข์ของเรื่องราวนั้นว่าเป็นอดีต ที่แยกจากคนพูด และเราก็ฟังได้โดยที่ไม่ต้องไปเป็นความทุกข์เสียเอง
3.ฟัง แบบใจลอย
หลังจากฟังอีกฝ่ายพูดจบ หากไม่ได้สรุปประเด็นในการสนทนา หรือทวนความให้แน่ใจว่าเข้าใจตรงกัน ก็จะแทบไม่รู้ตัวเลยว่า เรามีการฟังที่ดีไหม ฟังได้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามประเด็นที่อีกฝ่ายต้องการสื่อสารไหม เพราะบางคนมักจะบอกกับตัวเองว่าสมาธิสั้น ใครพูดนานๆจะไม่เข้าใจ แต่ปรากฎคนๆนั้น สามารถเล่นเกมหรือแชทได้นานๆ คำว่าสมาธิสั้นนั้น อาจจะดูเป็นเพียงข้ออ้างในการฟังเกินไป
คนที่ใจลอยบ่อยๆเมื่อต้องฟังนั้น หากลองวิเคราะห์หาสาเหตุ เป็นไปได้ 2 กรณี คือ 1. ไม่สนใจคนที่พูด 2. ไม่สนใจในเรื่องๆนั้น ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ หากแม้ยังนั่งฟังอยู่ กริยาดูเหมือนว่าฟัง แต่หากสังเกตด้วยการมองตา ก็จะรู้เลยว่า ใจเค้าไม่ได้อยู่กับตัวแล้ว และหากถามถึงเรื่องราวที่เพิ่งคุยกันไป เค้าจะรีบบอกปัดว่าเข้าใจ แต่ไม่สามารถจับประเด็นได้เลย
Tips: ในกรณีนี้ อยู่ที่ “ความพร้อม” ในการฟัง หากเราเป็นผู้พูด เมื่อจับสัญญาณว่าอีกฝ่ายใจลอย ก็ควรหยุดพูด ไม่ใช่พูดต่อไปเรื่อยๆเพราะคงเหนื่อยเปล่า อาจจะสอบถามว่า เค้ามีอะไรในใจหรือเปล่า หากเราเป็นคนฟัง ที่ไม่สนใจจะสนทนาในเรื่องนั้น ก็ควรบอกอีกฝ่ายไปตรงๆว่าเราติดธุระอะไรอยู่ การทำทีว่าฟัง แต่ไม่ได้ฟังนั้น จะสร้างความรู้สึกแย่ให้กับผู้พูดอย่างมาก
4.ฟัง แบบมีธงในใจ
กรณีสุดท้าย เป็นการฟังที่หากไม่สังเกตให้ดี ก็จะมองไม่เห็นตัวเองเช่นกัน เป็น เพราะมักจะคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าผู้พูด หรือรู้อยู่แล้วว่าจะคนพูดจะพูดอะไรต่อ ทำให้เพียงเริ่มบทสนทนาได้ไม่นาน ก็จะปิดการฟังไป เพราะได้ตัดสินและมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดต่อไปอย่างไร ก็จะไม่ได้เข้าไปในใจเลย รอเพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะพูดจบ ตัวเองจะได้โอกาสพูดบ้าง หรือบางทีก็ขัดขึ้นมากลางทางเลย แล้วรีบด่วนชี้แจง โดยที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้พูด
หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่า บางครั้งไม่อยากรอให้อีกฝ่ายพูดจบ เพราะคิดว่าไม่จำเป็น ในเมื่อเรามีคำตอบที่ชัดเจนในใจอยู่แล้ว แต่หากลองคิดให้ดี ในแต่ละครั้งสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปตามบริบทและเวลา การรีบด่วนตัดสินนั้นย่อมมาจากข้อมูลเก่าที่เรารับรู้ในอดีตเท่านั้น เราจึงอาจพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด เพราะไม่ได้รับฟังจนจบนั่นเอง
Tips: เมื่อรู้สึกอึดอัด ไม่อยากฟัง ให้พิจารณาว่าเรากำลังตัดสินหรือมีธงในใจอยู่แล้วใช่ไหม ถ้าหากใช่ ให้ลอง “ห้อยแขวนคำตัดสิน” นั้นๆไปก่อน แล้วกลับมามีสติอยู่กับการฟังใหม่อีกครั้ง พยายามรับฟังให้ลึกซึ้งกว่าเนื้อความ ให้ลึกลงไปถึงอารมณ์ ความเชื่อ มุมมองของผู้พูด ก็จะทำให้เราเข้าใจผู้พูดได้ดีขึ้น
หลุมพรางในการฟังทั้ง 4 ประการ ทำให้เรารู้ว่า การฟัง เป็นทักษะที่เราต้องฝึกฝน และมีความเข้าใจ การสื่อสารที่ดีจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีคนพูดและมีคนรับฟัง หากเราสนใจฝึกฝนแต่ทักษะการพูด ละเลยฝึกทักษะการฟัง ทำให้การสื่อสารขาดความสมดุล และจะส่งผลกระทบไปถึงประสิทธิภาพการทำงาน การเป็นผู้นำ มีปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัว ครอบครัว ด้วยอย่างแน่นอน
เรียบเรียงโดย “เรือรบ” ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการสื่อสารและการฟัง
อ้างอิงเนื้อหาจากหนังสือ "เอนหลังฟัง: ศิลปะการฟังอย่างลึกซึ้ง" โดย ภินท์ ภารดาม สนพ. สวนเงินมีมา
ที่มาบทความจาก http://learninghubthailand.com/4failure-listening.html