ตาม รธน.๕๐ หมวด ๑๓ ม.๖๘ ในวรรคแรก บัญญัติเอาไว้ว่า “บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้”
หมายถึง... สัญญาประชาคมที่ได้รับความชอบธรรมโดยคู่สัญญาทั้งหลายโดยประชามติฉบับนี้ จะยกเลิกด้วยวิธีการหรือลักษณะใด ที่ไม่อยู่ในกรอบวิถีทางที่บัญญัติเอาไว้ “มิได้”
ตาม รธน.๕๐ หมวด ๑ ม.๖ บัญญัติเอาไว้ว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”
หมายถึง... การใช้ข้อกำหนดใดๆ ที่มิได้บัญญัติเอาไว้ (ขัดหรือแย้ง) ใน รธน. ฉบับนี้ ขาดความชอบธรรมในสภาพ ของ สัญญาประชาคมที่เป็น “ข้อตกลงผูกพัน” โดยประชามติของคู่สัญญาทั้งหลาย
ตาม รธน.๕๐ หมวด ๕ ม.๗๗ บัญญัติเอาไว้ว่า “รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อการพัฒนาประเทศ”
หมายถึง... รัฐ ก็คือ บุคคลากร ของรัฐ ทั้งหลายในฐานะผู้รับจ้างวาน ให้ปฎิบัติหน้าที่ตาม ข้อกำหนดของ รธน. ในฐานะผู้จ้างวาน และโดยมีสิทธิที่ “ได้รับค่าจ้างวานเป็นค่าทดแทน” จากคู่สัญญาทั้งหลาย
ในเมื่อมีการประกาศ “เลิกบังคับใช้” รธน.๕๐ โดยมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติ สิ่งแรกที่ผู้รับจ้างวาน ต้องตรวจสอบก็คือ ความชอบธรรมของสัญญาหรือข้อผูกพันธ์ในสัญญาจ้างวาน เพราะถ้ายึดว่า ข้อผูกพันธ์นั้นๆ หมดสภาพไปด้วย อันเสมือนกับการบอกเลิกสัญญาจ้างวาน อันก็หมดพันธะที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างวานและเรียกร้องค่าตอบแทนตามสัญญา (รธน.) ฉบับนี้ การดำรงค์และปฎิบัติหน้าที่ก็มีความจำเป็นกับการทำสัญญาจ้างวานและสิทธิเรียกค่าตอบแทนกับผู้จ้างวานใหม่ และถ้ายึดว่า ข้อผูกพันธ์นั้นๆ ยังไม่สามารถหมดสภาพจากการบอกเลิกจากผู้มิใช่เป็นคู่สัญญา หรือ ตาม รธน. การปฎิบัติหน้าที่เพื่อผู้จ้างวานอื่น ก็ขาดสิทธิทั้งปวงในการรับค่าตอบแทนใดๆ จากผู้จ้างวานเดิมโดยปริยาย ครับ
การรับค่าตอบแทนจากผู้จ้างวานแต่สนองด้วยผลงานที่มิได้อยู่ในกรอบสัญญาจ้างวาน เป็นการกระทำต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายแพ่งในกรณีผิดสัญญา เป็นพื้นฐาน และการรับค่าตอบแทนโดยมิได้ตามสัญญาจ้างวานเป็นลักษณะทุจจริตฉ้อโกงต้องห้ามในกฎหมายอาญาอาญา ส่วนการกระทำใดๆ เพื่อให้ผลของการ “เลิกบังคับใช้” บรรลุผลหรือสนับสนุนโดยการตอบสนองผู้อื่นใดที่มิมีความชอบธรรมตามสัญญาจ้างวาน ก็ยังจะส่อถึง ลักษณะผู้ร่วมสมคบคิดร่วมกระทำในกฎหมายอาญาอีกด้วย เพราะการกระทำตาม ข้อห้ามใน รธน.๕๐ หมวด ๑๓ ม.๖๘ จะมาไม่ถึงจุดนี้ได้อย่างแน่นอน ถ้าไม่ได้รับการสมรู้ร่วมคิดร่วมกระทำจากผู้ที่อยู่ในพันธะผูกพันธ์เป็นผู้รับจ้างวานของ รธน.๕๐ ครับ
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาผ่านนานเท่าไรกับการประกาศ “เลิกบังคับใช้” รธน.๕๐ ที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติเอาไว้ ไม่เพียงแต่ความชอบธรรมสมบูรณ์ของ รธน.๕๐ และสัญญาจ้างวานนั้นๆ ยังคงดำรงค์อยู่เท่านั้น การกระทำหรือร่วมกระทำในข้อต้องห้ามจะเพื่มขอบเขตุ “ต่างกรรมต่างวาระ” ติดตามผู้กระทำและผู้ร่วมกระทำหรือสมรู้ร่วมคิด ตามไปด้วย สมมุติว่า มีประชามติยอมรับ รธน.ฉบับใหม่ และมีบทนิรโทษกรรม ต่อการกระทำต่อ รธน.๕๐ บัญญัติเอาไว้ก็ตาม จะไม่มีผลทางกฏหมายได้ถ้า รธน.๕๐ ยังมิได้ยุติลงโดยวิถีทางที่บัญญัติเอาไว้ ครับ
จุดประเด็นสำคัญต่อสถานะการณ์ปัจจุบัน คือแนวคิดถึง ผู้รับจ้างวาน (จนท.รัฐ) ทั้งหลายเวลาผ่านมานานพอสมควรหรือไม่ ที่ควรสำหรวจถึง "ความถูกต้อง" ในแง่กฎหมายกับข้อสัญญาผูกพันธ์ที่ทำไว้กับผู้จ้างวานทั้งหลายผ่านสัญญาประชาคม เพราะตัวเองก็เป็นคู่สัญญาคนหนึ่งเช่นกัน และ รธน.๕๐ ยังเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศหรือไม่ ถูกใหมครับ
อีกมุมมองหนึ่ง …เราหมุนเวียนมาสู่จุดนี้เพราะอะไร...
หมายถึง... สัญญาประชาคมที่ได้รับความชอบธรรมโดยคู่สัญญาทั้งหลายโดยประชามติฉบับนี้ จะยกเลิกด้วยวิธีการหรือลักษณะใด ที่ไม่อยู่ในกรอบวิถีทางที่บัญญัติเอาไว้ “มิได้”
ตาม รธน.๕๐ หมวด ๑ ม.๖ บัญญัติเอาไว้ว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”
หมายถึง... การใช้ข้อกำหนดใดๆ ที่มิได้บัญญัติเอาไว้ (ขัดหรือแย้ง) ใน รธน. ฉบับนี้ ขาดความชอบธรรมในสภาพ ของ สัญญาประชาคมที่เป็น “ข้อตกลงผูกพัน” โดยประชามติของคู่สัญญาทั้งหลาย
ตาม รธน.๕๐ หมวด ๕ ม.๗๗ บัญญัติเอาไว้ว่า “รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อการพัฒนาประเทศ”
หมายถึง... รัฐ ก็คือ บุคคลากร ของรัฐ ทั้งหลายในฐานะผู้รับจ้างวาน ให้ปฎิบัติหน้าที่ตาม ข้อกำหนดของ รธน. ในฐานะผู้จ้างวาน และโดยมีสิทธิที่ “ได้รับค่าจ้างวานเป็นค่าทดแทน” จากคู่สัญญาทั้งหลาย
ในเมื่อมีการประกาศ “เลิกบังคับใช้” รธน.๕๐ โดยมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติ สิ่งแรกที่ผู้รับจ้างวาน ต้องตรวจสอบก็คือ ความชอบธรรมของสัญญาหรือข้อผูกพันธ์ในสัญญาจ้างวาน เพราะถ้ายึดว่า ข้อผูกพันธ์นั้นๆ หมดสภาพไปด้วย อันเสมือนกับการบอกเลิกสัญญาจ้างวาน อันก็หมดพันธะที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างวานและเรียกร้องค่าตอบแทนตามสัญญา (รธน.) ฉบับนี้ การดำรงค์และปฎิบัติหน้าที่ก็มีความจำเป็นกับการทำสัญญาจ้างวานและสิทธิเรียกค่าตอบแทนกับผู้จ้างวานใหม่ และถ้ายึดว่า ข้อผูกพันธ์นั้นๆ ยังไม่สามารถหมดสภาพจากการบอกเลิกจากผู้มิใช่เป็นคู่สัญญา หรือ ตาม รธน. การปฎิบัติหน้าที่เพื่อผู้จ้างวานอื่น ก็ขาดสิทธิทั้งปวงในการรับค่าตอบแทนใดๆ จากผู้จ้างวานเดิมโดยปริยาย ครับ
การรับค่าตอบแทนจากผู้จ้างวานแต่สนองด้วยผลงานที่มิได้อยู่ในกรอบสัญญาจ้างวาน เป็นการกระทำต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายแพ่งในกรณีผิดสัญญา เป็นพื้นฐาน และการรับค่าตอบแทนโดยมิได้ตามสัญญาจ้างวานเป็นลักษณะทุจจริตฉ้อโกงต้องห้ามในกฎหมายอาญาอาญา ส่วนการกระทำใดๆ เพื่อให้ผลของการ “เลิกบังคับใช้” บรรลุผลหรือสนับสนุนโดยการตอบสนองผู้อื่นใดที่มิมีความชอบธรรมตามสัญญาจ้างวาน ก็ยังจะส่อถึง ลักษณะผู้ร่วมสมคบคิดร่วมกระทำในกฎหมายอาญาอีกด้วย เพราะการกระทำตาม ข้อห้ามใน รธน.๕๐ หมวด ๑๓ ม.๖๘ จะมาไม่ถึงจุดนี้ได้อย่างแน่นอน ถ้าไม่ได้รับการสมรู้ร่วมคิดร่วมกระทำจากผู้ที่อยู่ในพันธะผูกพันธ์เป็นผู้รับจ้างวานของ รธน.๕๐ ครับ
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาผ่านนานเท่าไรกับการประกาศ “เลิกบังคับใช้” รธน.๕๐ ที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติเอาไว้ ไม่เพียงแต่ความชอบธรรมสมบูรณ์ของ รธน.๕๐ และสัญญาจ้างวานนั้นๆ ยังคงดำรงค์อยู่เท่านั้น การกระทำหรือร่วมกระทำในข้อต้องห้ามจะเพื่มขอบเขตุ “ต่างกรรมต่างวาระ” ติดตามผู้กระทำและผู้ร่วมกระทำหรือสมรู้ร่วมคิด ตามไปด้วย สมมุติว่า มีประชามติยอมรับ รธน.ฉบับใหม่ และมีบทนิรโทษกรรม ต่อการกระทำต่อ รธน.๕๐ บัญญัติเอาไว้ก็ตาม จะไม่มีผลทางกฏหมายได้ถ้า รธน.๕๐ ยังมิได้ยุติลงโดยวิถีทางที่บัญญัติเอาไว้ ครับ
จุดประเด็นสำคัญต่อสถานะการณ์ปัจจุบัน คือแนวคิดถึง ผู้รับจ้างวาน (จนท.รัฐ) ทั้งหลายเวลาผ่านมานานพอสมควรหรือไม่ ที่ควรสำหรวจถึง "ความถูกต้อง" ในแง่กฎหมายกับข้อสัญญาผูกพันธ์ที่ทำไว้กับผู้จ้างวานทั้งหลายผ่านสัญญาประชาคม เพราะตัวเองก็เป็นคู่สัญญาคนหนึ่งเช่นกัน และ รธน.๕๐ ยังเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศหรือไม่ ถูกใหมครับ