บุคคลากรทั้งหลาย ของรัฐ หรือหมายถึง จุดรวมของอำนาจอธิปไตย คือผู้ที่ประกอบอาชีพโดยการใช้แรงงานในฐานะผู้รับจ้างวาน โดยรัฐ เพื่อปฎิบัติหน้าที่และธุรการต่างๆ ที่บัญญัติอยู่ใน รธน. และกฎหมายประกอบนั้นๆ ในสถานะสัญญาว่าจ้าง เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าทดแทนสำหรับการดำรงชีพจากรัฐในฐานะผู้จ้างวาน ที่นำมาจากทรัพย์สินแผ่นดิน หรือเป็นทรัพย์สินส่วนรวมของประชาชนทั้งหลาย อันก็ไม่มีความแตกต่างใดๆ กับผู้รับจ้างวานตามธุรกิจเอกชนทั้งหลาย ที่มีกรอบผลงานเพื่อแรกเปลี่ยนกับค่าตอบแทนเป็นคุณ หรือเป็นโทษตามลักษณะผิดสัญญาทั้งสองฝ่ายที่เป็นคู่สัญญา ตามข้อกำหนดในสัญญาจ้างวานนั้นๆ และอย่างสูงที่สุดก็คือ การบอกเลิกสัญญาว่าจ้าง ครับ
แต่จากการปลูกฝังความคิดที่มาจากอดีตในยุคสมัยดึกดำบรรพ์ อันที่ความรู้สึกเข้าใจในวิชาการด้านบริหารอำนาจอธิปไตยของปวงชนในสังคมที่ยังไม่เป็นรูปธรรมเสมอภาค หรือโครงร่างประชาธิปไตย จึงจำเป็นต้องอาศัย ความเชื่อ ในระบบแบ่งชั้นวรรณะเป็นเสมือนจารีตประเพณีของสังคมนั้นๆ หรือที่เรียกกันว่า “ปิรามิตโมเด็ล” หรือ “ทฤษฎีน้ำตก” นั่นเอง ความหมายของรัฐ ก็คือภาพรวมของสังคม ที่มีสิทธิการใช้อำนาจอธิปไตยตามระดับชั้นวรรณะของบุคคลนั้นๆในสังคม ฉนั้น จนท.รัฐ ในยุคนี้ คือผู้มีอำนาจหน้าที่เพื่อปกป้องและรักษาไว้ซึ่งสิทธิอำนาจของบุคคลตามระดับชั้นวรรณะนั้นๆ อันจากผลงานและซื่อสัตย์จะมีเฉพาะต่อผู้จ้างวานเท่านั้น และก็จะเป็นผลให้ได้รับค่าตอบแทนต่างๆ ตามเห็นสมควรของผู้จ้างวาน ซึ่งในกรณีด้านตรงกันข้ามก็อาจจะถูกทำโทษโดยไม่จำกัดขอบเขตุได้เช่นกัน ครับ
บุคคลากร ที่มีสถานะภาพ จนท.รัฐ ในยุคปัจจุบัน ที่มีลักษณะบริหารอำนาจอธิปไตยของสังคม อันที่เรียกกันว่า”ระบอบประชาธิปไตย” นั้นมีความจำเป็นที่ต้องปรับความรู้สึกเข้าใจพื้นฐานของตัวเอง ถึงสถานะการเป็นผู้รับจ้างวาน โดยผู้จ้างวานมิใช่ตัวบุคคล แต่เป็นประชาชนทั้งหลายในสังคม อันเป็นเหตุผลสำคัญหรือที่มา ของการปฎิบัติหน้าที่ อย่างสุจริตและเที่ยงธรรมเสมอภาค ต่อผู้จ้างวานทั้งหลาย และไม่สามารถเพื่อเฉพาะตามระดับชั้นวรรณะของบุคคลนั้นๆ หรือกับผลประโยชน์ต่อตัวเองตามลักษณะเดิมในอดีตได้อีกต่อไป เพราะลักษณะการใช้แรงงานมิได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ แต่เป็นข้อผูกพันที่ระบุอยู่ในสัญญาจ้างวาน หรือ รธน. และกฏหมายประกอบนั้นๆ ที่เป็นข้อกำหนด ระหว่างผลงานและค่าตอบแทน นั่นเอง ครับ
จากปรากฎการณ์ในการถูกยึด “อำนาจอธิปไตย” หน้าที่หลักของ จนท.รัฐ ทั้งหลายก็คือ การปกป้อง ความคงอยู่ของสังคม หรือของรัฐ ที่มี รธน. และกฎหมายประกอบ อันเป็น ข้อผูกพันธ์ในสัญญาจ้างวาน การยอมรับการหมดสภาพของ รธน. และกฎหมายประกอบ ไม่เพียงแต่เป็นลักษณะผิดสัญญาจ้างวานที่ต้องมีการพิจารณาให้โทษตามสถานะผิดสัญญาหรือละเว้นการกระทำตามข้อตกลงในสัญญาจ้างวานเท่านั้น ยังเป็นการจำกัดสิทธิในการได้รับค่าตอบแทนที่ระบุเอาไว้ในสัญญาจ้างวานนั้นๆ โดยปริยายอีกด้วย ในเมื่อสถานะภาพ ของสัญญาจ้างวานหมดสิ้นลงความชอบธรรมในการใช้แรงงานโดยปฎิบัติหน้าที่ตามข้อตกลงก็จะสิ้นสุดลงตามไปด้วย ฉนั้นการปฎิบัติหน้าที่นั้นๆ ของ จนท.รัฐ จำต้องตกอยู่ในสถานะ “แอบอ้าง” และการยึดรับค่าตอบแทนนั้นๆ ก็เป็นลักษณะของการ “ฉ้อโกงโดยจงใจ” ตามกฎหมายอาญา อันไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ การที่ละเว้นการกระทำในลักษณะนี้ ของ จนท.รัฐ คือเครื่องมือสำคัญสูงสุด ที่ทำให้สังคมประชาธิปไตย ไม่สามารถมีการถูกยึด “อำนาจอธิปไตย” ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่า ผู้เข้ายึดนั้นๆ จะมีพิกัดความสามารถในระดับใดๆ ก็ตาม ครับ
สาเหตุที่บังเกิดความสำเหร็จของการยึดอำนาจอธิปไตย ผู้ยึดมีเหตุผลสมควรของเขา แต่เป็นข้อต้องห้ามที่บัญญัติเอาไว้ใน รธน. และกฎหมายประกอบ อย่างแน่ชัด เช่นเดียวกับการละเลยในหน้าที่ หรือเป็นส่วนร่วมในการยึดอำนาจ ของ จนท.ทั้งหลาย อันมีความจำเป็นเมื่อโอกาศอำนวยที่จะต้องมีการสอบสวนและพิจารณาความผิดโดยกระบวนการยุติธรรมในอนาคต ส่วนสำคัญในแง่ของการปฎิรูป ก็คือ การปฎิรูปความรู้สึกเข้าใจกับตัวเองถึงสถานะภาพการเป็น จนท.รัฐ ในฐานะผู้ใช้แรงงานรับจ้างวาน ที่สมควรยึดพันธะผูกพันอยู่กับการ “ให้บริการตามเจตนารมณ์” ของปวงชนในสังคม อันที่มีสถานะภาพเป็นผู้จ้างวาน โดยเป็นข้อบัญญัติอยู่ใน รธน.และกฎหมายประกอบ นั้นๆ ไม่ใช่ จาก “ความเชื่อหรือจากจารีตประเพณี” เป็นเจตนารมณ์ของสังคมตามลักษณะอดีตกาล ครับ
ภาพรวมของ จนท.รัฐ ตามรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย
แต่จากการปลูกฝังความคิดที่มาจากอดีตในยุคสมัยดึกดำบรรพ์ อันที่ความรู้สึกเข้าใจในวิชาการด้านบริหารอำนาจอธิปไตยของปวงชนในสังคมที่ยังไม่เป็นรูปธรรมเสมอภาค หรือโครงร่างประชาธิปไตย จึงจำเป็นต้องอาศัย ความเชื่อ ในระบบแบ่งชั้นวรรณะเป็นเสมือนจารีตประเพณีของสังคมนั้นๆ หรือที่เรียกกันว่า “ปิรามิตโมเด็ล” หรือ “ทฤษฎีน้ำตก” นั่นเอง ความหมายของรัฐ ก็คือภาพรวมของสังคม ที่มีสิทธิการใช้อำนาจอธิปไตยตามระดับชั้นวรรณะของบุคคลนั้นๆในสังคม ฉนั้น จนท.รัฐ ในยุคนี้ คือผู้มีอำนาจหน้าที่เพื่อปกป้องและรักษาไว้ซึ่งสิทธิอำนาจของบุคคลตามระดับชั้นวรรณะนั้นๆ อันจากผลงานและซื่อสัตย์จะมีเฉพาะต่อผู้จ้างวานเท่านั้น และก็จะเป็นผลให้ได้รับค่าตอบแทนต่างๆ ตามเห็นสมควรของผู้จ้างวาน ซึ่งในกรณีด้านตรงกันข้ามก็อาจจะถูกทำโทษโดยไม่จำกัดขอบเขตุได้เช่นกัน ครับ
บุคคลากร ที่มีสถานะภาพ จนท.รัฐ ในยุคปัจจุบัน ที่มีลักษณะบริหารอำนาจอธิปไตยของสังคม อันที่เรียกกันว่า”ระบอบประชาธิปไตย” นั้นมีความจำเป็นที่ต้องปรับความรู้สึกเข้าใจพื้นฐานของตัวเอง ถึงสถานะการเป็นผู้รับจ้างวาน โดยผู้จ้างวานมิใช่ตัวบุคคล แต่เป็นประชาชนทั้งหลายในสังคม อันเป็นเหตุผลสำคัญหรือที่มา ของการปฎิบัติหน้าที่ อย่างสุจริตและเที่ยงธรรมเสมอภาค ต่อผู้จ้างวานทั้งหลาย และไม่สามารถเพื่อเฉพาะตามระดับชั้นวรรณะของบุคคลนั้นๆ หรือกับผลประโยชน์ต่อตัวเองตามลักษณะเดิมในอดีตได้อีกต่อไป เพราะลักษณะการใช้แรงงานมิได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ แต่เป็นข้อผูกพันที่ระบุอยู่ในสัญญาจ้างวาน หรือ รธน. และกฏหมายประกอบนั้นๆ ที่เป็นข้อกำหนด ระหว่างผลงานและค่าตอบแทน นั่นเอง ครับ
จากปรากฎการณ์ในการถูกยึด “อำนาจอธิปไตย” หน้าที่หลักของ จนท.รัฐ ทั้งหลายก็คือ การปกป้อง ความคงอยู่ของสังคม หรือของรัฐ ที่มี รธน. และกฎหมายประกอบ อันเป็น ข้อผูกพันธ์ในสัญญาจ้างวาน การยอมรับการหมดสภาพของ รธน. และกฎหมายประกอบ ไม่เพียงแต่เป็นลักษณะผิดสัญญาจ้างวานที่ต้องมีการพิจารณาให้โทษตามสถานะผิดสัญญาหรือละเว้นการกระทำตามข้อตกลงในสัญญาจ้างวานเท่านั้น ยังเป็นการจำกัดสิทธิในการได้รับค่าตอบแทนที่ระบุเอาไว้ในสัญญาจ้างวานนั้นๆ โดยปริยายอีกด้วย ในเมื่อสถานะภาพ ของสัญญาจ้างวานหมดสิ้นลงความชอบธรรมในการใช้แรงงานโดยปฎิบัติหน้าที่ตามข้อตกลงก็จะสิ้นสุดลงตามไปด้วย ฉนั้นการปฎิบัติหน้าที่นั้นๆ ของ จนท.รัฐ จำต้องตกอยู่ในสถานะ “แอบอ้าง” และการยึดรับค่าตอบแทนนั้นๆ ก็เป็นลักษณะของการ “ฉ้อโกงโดยจงใจ” ตามกฎหมายอาญา อันไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ การที่ละเว้นการกระทำในลักษณะนี้ ของ จนท.รัฐ คือเครื่องมือสำคัญสูงสุด ที่ทำให้สังคมประชาธิปไตย ไม่สามารถมีการถูกยึด “อำนาจอธิปไตย” ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่า ผู้เข้ายึดนั้นๆ จะมีพิกัดความสามารถในระดับใดๆ ก็ตาม ครับ
สาเหตุที่บังเกิดความสำเหร็จของการยึดอำนาจอธิปไตย ผู้ยึดมีเหตุผลสมควรของเขา แต่เป็นข้อต้องห้ามที่บัญญัติเอาไว้ใน รธน. และกฎหมายประกอบ อย่างแน่ชัด เช่นเดียวกับการละเลยในหน้าที่ หรือเป็นส่วนร่วมในการยึดอำนาจ ของ จนท.ทั้งหลาย อันมีความจำเป็นเมื่อโอกาศอำนวยที่จะต้องมีการสอบสวนและพิจารณาความผิดโดยกระบวนการยุติธรรมในอนาคต ส่วนสำคัญในแง่ของการปฎิรูป ก็คือ การปฎิรูปความรู้สึกเข้าใจกับตัวเองถึงสถานะภาพการเป็น จนท.รัฐ ในฐานะผู้ใช้แรงงานรับจ้างวาน ที่สมควรยึดพันธะผูกพันอยู่กับการ “ให้บริการตามเจตนารมณ์” ของปวงชนในสังคม อันที่มีสถานะภาพเป็นผู้จ้างวาน โดยเป็นข้อบัญญัติอยู่ใน รธน.และกฎหมายประกอบ นั้นๆ ไม่ใช่ จาก “ความเชื่อหรือจากจารีตประเพณี” เป็นเจตนารมณ์ของสังคมตามลักษณะอดีตกาล ครับ