ดูแค่การเกิดดับยังถือว่าหยาบ - หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน

::: ดูแค่การเกิดดับยังถือว่าหยาบ :::

"... ผ่านมาแล้ว ๒๕๕๕ ปีจวบจนปัจจุบันนี้ ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ใช่เป็นของเก่าคร่ำครึ ยังเป็นของสดของใหม่อยู่นั่นเอง เพียงแต่ว่า เราเป็นผู้ที่ว่าไม่รู้จักการเฉลียว หรือการสังเกตทางด้านการประพฤติการปฏิบัติของตนเท่านั้นเอง เราขาดการสังเกตนั่นเอง ถ้ามีการสังเกตแล้วเราจะทราบทันทีเลยว่า นี้กิเลสเกิด นี้กิเลสดับ นี้ธรรมเกิด นี้ธรรมดับ นี้สิ่งนี้มี นี้สิ่งนี้ไป เมื่อสังเกตอยู่เรื่อยๆ ที่เค้าเรียกว่า เห็นการเกิดดับนั่นเอง แต่การเห็นการเกิดดับก็เป็นของเหมือนกับว่า เป็นของเป็นคำพูดเฉพาะๆ เฉยๆ คือดูแต่เกิดดูแต่ดับ ดูแต่เกิดดูแต่ดับ แต่การสังเกตนี้ไม่ไช่ดูการเกิดการดับเท่านั้น คือดูเหตุอีกต่างหาก ว่ามันดับเพราะอะไร มันเกิดเพราะอะไร ดูการแค่เกิดแค่ดับเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็น "มรรค" นะ

เหมือนกับว่าทหารมันยืนดูคนเข้าคนออกประตูเมืองก็ยืนดูอย่างนั้น มันไม่ได้สาวหาว่าคนนี้มาจากไหน และเข้าไปจะเข้าไปทำอะไรอย่างนี้เรียกว่าดูการเกิดดับ นี้ยังถือว่าหยาบ ยังไม่ถือว่าละเอียด การปฏิบัติแบบมรรคที่มีความละเอียดลออนั้น ก็คือการสังเกต คนนี้มาทำอะไรหนอ นี่คือการสังเกต เข้าไปแล้วเค้าเอาอะไรออกมามั้ยหนอ นี่เรียกว่าสังเกต อาการสังเกตนี้แหละ ให้หัดสังเกตจิตใจของตนเป็นสำคัญที่สุดนะ ไม่ต้องไปสังเกตอย่างอื่น เรื่องร่างกายไม่ต้องสังเกตมาก สังเกตที่จิตก่อน หัดสังเกตจิตใจเราตอนนี้อารมณ์เป็นอะไรหนอ อารมณ์โกรธ อารมณ์เกลียด อารมณ์ลุ่ม อารมณ์หลง อะไรที่มันเข้ามา ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ที่ทำให้ใจของเรามันแกว่ง มันเหวี่ยงไป ให้สังเกตดูว่า ทำไมมันถึงแกว่งทำไมมันถึงเหวี่ยง เหวี่ยงไปทางความสุขก็มี เหวี่ยงไปทางความทุกข์ก็มี แกว่งไปตามเรื่องราววุ่นวายฟุ้งซ่านหงุดหงิดก็มี สิ่งเหล่านี้ต้องสังเกตดูและหาดูว่ามันเกิดจากอะไร ถ้าจิตเราแกว่งจริง ถ้าจิตเราขุ่นจริงถ้าจิตเราทุกข์จริง ถ้าจิตเราสุขจริง เวลาสุขเกิดแล้วสุขดับ ทำไมจิตไม่ดับไปด้วย เวลาทุกข์เกิดขึ้นที่จิตว่าเราเป็นทุกข์ ว่าจิตเป็นทุกข์ เวลาทุกข์ดับทำไมจิตเราไม่ดับไปด้วย ถ้าเราเป็นทุกข์ เวลาทุกข์ดับ ทำไมตัวเราไม่ดับไปด้วย ถ้าทุกข์เป็นเรา ทำไมทุกข์หายไปแล้วทำไมตัวเราไม่หายไปด้วย แสดงว่าทุกข์ไม่ใช่ตัวเรา ทุกข์ไม่ใช่ร่างกายเรา

ทุกข์ไม่ใช่จิต ถ้าทุกข์เป็นจิต ทุกข์ดับไปจิตต้องดับไปด้วยสิ มันจะมาอยู่อย่างนี้ได้ยังไง อย่างนี้เรียกว่าสังเกต มันละเอียดกว่าคำว่าดูการเกิดดับเท่านั้น เพราะฉะนั้นคำว่าสังเกตนี้ มันหมายถึง สัมปชัญญะ คือความรู้ตัว แต่ความรู้ตัวตัวนี้ไม่ใช่รู้ตัวกาย มันเป็นการรู้ตัวจิต และการสังเกตบ่อยๆจะทำให้เกิดปัญญา นี่ มัน เป็นมรรคเพราะแก้ เข้าไปแก้เข้าไปค้นหาสมุทัย ได้แก่เหตุอะไรมันทำให้เกิดอันนี้ ทำไมมันทำให้ทุกข์ ทำไมมันทำให้สุข นี่เข้าไปค้น หาในจิตในใจของเรา ไม่ต้องไปหาที่อื่น เพราะเหตุมันมาจากที่นี่ มาจากจิตใจของเรานี่เอง..."

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่อง ฝึกสังเกตุจิตใจตน
โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน

จาก https://www.facebook.com/kubajaophet

ปล.ศึกษาเทียบเคียงจิตตานุสสติปัฏฐานนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่