มาหยัง หมายถึง การละหมาดของชาวมุสลิม โดยคำว่า "มาหยัง" เป็นภาษามลายูสำเนียงใต้ในสงขลา และพัทลุง ซึ่งผมได้ยินได้ฟังมากับหู (และอาจรวมถึงจังหวัดอื่นๆ ของภาคใต้ด้วยหรือไม่ อันนี้ไม่แน่ใจครับ) หากจะไปละหมาด คนแถวนั่นจะพูดว่าไปมาหยัง และวันออกบวชจากการถือศีลอด หรือวันอีฎิลฟิตริ หรือวันฮารีรายอ ที่ผ่านมา (17 กรกฎาคม) เป็นครั้งแรกที่ชีวิตที่ผมได้มาหยัง เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ อิ่มเอมความสุข จนต้องขอบันทึกและเล่าสู่กันฟัง
แม่ผมเป็นมุสลิม แต่พ่อผมเป็นพุทธ ส่วนผมถูกเลี้ยงแบบพุทธตั้งแต่เด็ก ผ่านการบวชเรียน และไม่เคยเข้าร่วมหรือรับรู้ศาสนพิธีของอิสลามเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากตั้งแต่สมัยเรียนจบ ก็ทำงานอยู่เมืองหลวง ทำให้ไม่เคยมีโอกาสอยู่บ้านกับแม่ในเวลาแบบนี้เลย แต่เมื่อปีที่ก่อน ผมย้ายหนีจาก กทม กลับมาบ้าน ปีนี้ผมจึงมีโอกาสได้เห็นแม่ถือศีลอดและ "มาหยัง" ในวันออกบวช ทุกๆ เช้ามืด ในช่วงเดือนบวช ผมจะได้ยินเสียงแม่ตื่นมาหุงหาอาหาร กินก่อนพระทิตย์ขึ้นและกินอีกครั้งตอนพระอาทิตย์ตก (แล้วแต่เวลาในแต่ละวัน) ผมพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย เพราะมีอาหารการกินสมบูรณ์แทบทุกมื้อ (ปกติแม่จะซื้อแกงถุงตลอด มีช่วงถือศีลอดนี่แหละที่แม่ขยันทำกับข้าวทุกมื้อ)
แม่ลางานสองวันเพื่อกลับไปออกบวชที่พัทลุง จังหวัดบ้านเกิด ผมอาสาขับรถให้แม่ ปีก่อนๆ แม่ต้องขับรถไปเองคนเดียวหลายร้อยกิโล ผมแปลกใจจริงๆ "ก่อนหน้านี้ ผมไปอยู่ไหนมา"
ข้ามมาวันรายอ ผมไม่ได้วางแผนมาก่อนที่จะไปมาหยังพร้อมแม่และญาติๆ เพียงแต่อยู่ๆ ก็มีความคิดขึ้นมา ไหนๆ ก็กลับมาในวันออกบวชเป็นครั้งแรก เลยอยากลองดูสักหน่อย เลยขอติดสอยห้อยตามไปสุเหร่าด้วย ญาติผมก็จัดแจงหาเครื่องแต่งกาย ทั้งผ้าโสร่ง และ "หมวกกะปิเยาะ" หรือหมวกของมุสลิมผู้ชาย เป็นครั้งแรกที่ผมแต่งตัวแบบนี้ และเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแม่แต่งตัวแบบมุสลิมเต็มตัว (นุ่งผ้าถุง สวมฮิญาบ) ผมเป็นลูกแม่มาเกือบสามสิบ ไม่เคยได้เห็น เป็นอีกครั้งที่ถามตัวเองว่า "ผมไปอยู่ไหนมา"
สิ่งแรกที่ญาติบอกผมคือ เวลาเจอใครไม่ต้องยกมือไหว้ แต่ใช้วิธีการสลาม โดยสัมผัสมือของอีกฝ่ายก่อนที่เราจะยกมือของเราเองมาแนบอก หรือหน้าผาก มันเป็นทั้งการทักทายและการให้พรแก่กัน อันที่จริง คนทักก่อน (ผมไม่แน่ใจว่าขึ้นอยู่กับความอาวุโสด้วยหรือเปล่า) ต้องพูดว่า "สลามาลัยกุม" และอีกฝ่ายตอบว่า "มาลัยกุมสลาม" แต่ผมเขินๆ ที่จะพูด และคนส่วนใหญ่เท่าที่เห็นก็ไม่ค่อยพูด ผมเลยอาศัยจับมือสลามกับส่งยิ้มอย่างเดียว อันที่จริง ถ้าให้พูดทุกครั้งคงเหนื่อยน่าดู ผมเพิ่งประจักษ์ว่าพี่น้องมุสลิมมีอัธยาศัยดีมากแทบทุกคน แค่เดินผ่าน ถึงแม้จะไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา แทบทุกคนก็พร้อมยื่นมือมาสลาม เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นเอามากๆ
เมื่อเราไปถึงสุเหร่าและทักทายอย่างที่เล่ามา เราต้อง "เสียสาร" (ผมเดาว่าย่อมาจากข้าวสาร) โดยมีเจ้าหน้าที่ของสุเหร่า (ผมไม่แน่ใจว่าควรเรียกแกอย่างไร) นั่งรออยู่ ข้างหน้าแกเป็นหม้อใส่ข้าวสารใบเขื่อง ตัวแทนจากแต่ละครอบครัวจะบริจาคเงินทำบุญใส่ลงในหม้อข้าวสาร เท่าที่ถามมา คืออย่างน้อยควรบริจาค 80 บาท/สมาชิกหนึ่งคน ครอบครัวไหนมีสมาชิกสี่คนก็ต้องบริจาค 320 บาท แล้วก็จะมี "การเนียต" (หรือการตั้งจิตอธิษฐานผลบุญดังกล่าวว่าจะให้ใคร ให้ตนเอง ให้ญาติพี่น้อง หรือใครก็ตาม) อันนี้ผมอ่านจากป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนคำกล่าวเนียตเป็นภาษาอาหรับ พร้อมคำแปลภาษาไทย เสร็จขั้นตอนตรงๆ นี้ ประมาณ 7 โมงครึ่ง เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะเริ่มมาหยัง กิจกรรมที่แทรกกลางตรงนี้คือการกินน้ำชาและสนทนากับญาติพี่น้อง หลายๆ คนเพิ่งกลับมาจากเมือหลวง หลายๆ คนพบเจอเพื่อนเก่า และหลายๆ คนได้รู้จักเพื่อนใหม่ (ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น) เครื่องดื่มยอดนิยมก็ผมสังเกตคือชาร้อน แต่ละคนต่างมีเรื่องเล่าของตัวเอง ผลัดกันถามผลัดกันเล่า แปบเดียวก็เลยมาถึงแปดโมงกว่า เสียงอ่านกุรอ่านเรียกคนเข้าสุเหร่าเริ่มดังขึ้น แล้วผมก็เดินตามแม่และญาติๆ เข้าจับจองที่นั่ง
ตรงทางเข้าพื้นที่มาหยัง มีตู้บริจาคตั้งอยู่ เงินที่ได้จากการบริจาค และอาจรวมถึงเงินจากการ "เสียสาร" ผมรู้ในตอนหลังว่า ทางสุเหร่าจะเอาไปซื้อข้าวสารบริจาคให้คนยากจน
ผมสังเกตว่ามีผ้าม่านกั้นระหว่างชายหญิงออกจากกัน หรือผู้หญิงต้องขึ้นไปอีกชั้นอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะแม่ผมขึ้นไปชั้นสาม ส่วนผมอยู่ชั้นล่าง แต่ที่แน่ๆ คือ ชายหญิงต้องนั่งแยกจากกัน ผมเลือกนั่งหลังสุด คำนวณด้วยสายตาคร่าวๆ น่าจะมีชาวมุสลิมเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 500 คน ระหว่างนั่งรอการเริ่มต้น นะมาซ หรือละหมาด หรือมาหยัง (เรียกได้หลากหลาย อันนี้ผมมาถามเอาทีหลัง) ความเพลิดเพลินของผมหมดไปกับการดูเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของแต่ละคน ลวดลายบนเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะโสร่งและหมวก เป็นลวดลายที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของชาวไทยมุสลิม โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มาพร้อมพ่อหรือแม่ เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่ผิวขาว แก้มแดง ยิ่งอยู่ในชุดมุสลิมสำหรับเด็ก แล้วดูน่ารักเป็นพิเศษ (อันนี้เป็นอารมณ์เพ้อส่วนตัวของคนอยากมีลูกแบบผม)
และแล้วพิธีก็เริ่ม โต๊ะอิหม่ามยืนบนแท่นด้านหน้า มือหนึ่งถือไม้เท้า ทุกๆ คนยืนขึ้น จากที่นั่งเบียดเสียดกันคนละมุม สะเปะสะปะ ทุกคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานแบบเป็นระเบียบ ก่อนพึมพำคำกล่าวสรรเสริญอัลเลาะห์ แล้วยกมือทั้งสองขึ้น แบมือไปข้างหน้า นิ้วหัวแม่มืออยู่ระดับประมาณหัวไหล่ (เหมือนการยกมือขึ้นบูชา/คารวะ) ผมทำตามไปแบบเนียนๆ แล้วเปลี่ยนมาวางมือทับกันคล้ายๆ กอดอก แต่อยู่ในระดับหน้าท้อง แล้วตามด้วยการก้มลงเหมือนยืนโก้งโค้ง โดยวางมือเท้าไปที่เข่าทั้งสองข้าง ก่อนจะนั่งลงกราบคล้ายๆ เบญจางคประดิษฐ์ ต่างกันที่มือไม่ได้ประกบเข้าหากัน และหน้าผากต้องจรดพื้น (ผมแอบสังเกตคนรอบตัวตลอด) ทุกๆ การเปลี่ยนอิริยาบถ จะมีคำสวดด้วยตลอด ซึ่งแน่นอนว่าผมได้แต่พึมพำตามไปด้วยความเคารพ
ผมไม่แน่ใจว่าขั้นตอนข้างต้นทำซ้ำกัน 2 หรือ 3 ครั้ง แต่ครั้งสุดท้าย ระหว่างยืนอยู่ มีการกล่าวประโยคหนึ่ง แล้วหันไปทางขวา (ที่จำได้ดีเพราะอยู่ๆ คนข้างๆ ก็หันหน้ามาหาผม) อีกประโยคหนึ่งแล้วหันไปทางซ้าย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้า ซึ่งน่าจะเป็นการเสร็จสิ้นพิธี หลังจากนั้น ผมนั่งลงตามคนอื่นๆ เพื่อฟังคำสอนจากโต๊ะอิหม่าม แกอ่านกุรอ่าน แล้วก็แปลให้พวกเราๆ ฟัง พร้อมกับแทรกคำสอนตามหลักอิสลาม น่าจะไม่ต่างกับการเทศนาบาลีจากพระไตรปิฎกของสมภารวัด ใจความที่ผมจับได้ นอกจากผลบุญของการมาหยัง การถือศีลอดตลอดเดือนรอมฎอน และการบริจาคเพื่อช่วยเหลือคนยากไร้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมเทียบได้กับคำสอนของพุทธศาสนา คือ การอยู่กับปัจจุบัน และการทำความดีก่อนหมดลมหายใจ เสร็จสิ้นการนะมาซและการสอนจากโต๊ะอิหม่ามแล้วใช้เวลาไปประมาณ 30-40 นาที
จบขั้นตอนต่างๆ ทุกคนทยอยเดินออกจากสุเหร่า ระหว่างที่ยืนรอเดินออกจากสุเหร่า ก็ยังมีการให้สลามกันไม่หยุด เป็นความปิติอย่างยิ่งที่มีคนให้พรแทบจะตลอดเวลา ถึงแม้พรที่ให้ผมจะไม่เข้าใจความหมายก็ตาม ปิดท้ายกระบวนการด้วยการกินมื้อเช้าร่วมกันของญาติพี่น้องกับอาหารจานเด็ดของแถบนั้น "ข้าวมันแกงไก่" (เป็นข้าวสวยที่หุงด้วยน้ำกะทิ กินกับแกงไก่ ความหวานมัน ความหอมของข้าว ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยาย) ตามด้วย "ขนมดู" (รสชาติหวานมันคล้ายๆ กับข้าวตูของภาคกลาง แต่ปั้นเป็นก้อนๆ และคลุกแป้ง) ผมได้พูดคุยกับลูกพี่ลูกน้องที่รุ่นราวคราวเดียวกัน คนหนึ่งแต่งงานแล้ว คนหนึ่งเพิ่งคลอดลูกคนที่สอง คนหนึ่งเพิ่งเสียพ่อไปจากโรคมะเร็ง (ผมได้มีโอกาสช่วยในพิธีฝังศพ เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำเช่นกัน ขอเก็บไว้เล่าในโอกาสต่อไป) แต่ไม่ว่าจะเศร้า จะสุข ทุกคนจะกลับมารวมตัวกันในวันรายอแบบนี้ และคำถามหนึ่งที่ผมถูกถามหลายต่อหลายครั้ง คือ "ก่อนหน้านี้ไปไหนมา" ผมไปไหนมา ทำไมที่ผ่านมา ถึงทิ้งแม่ให้ไปไหนมาไหนคนเดียว ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
แต่ที่ชัดเจน คือ "จากนี้ไป ผมไม่ไปไหนอีกแล้ว"
^^
*** ปล. หากมีข้อมูลเกี่ยวกับอิสลามส่วนใดไม่ถูกต้อง ต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ ผมอยากเล่าจากมุมมองของคนพุทธที่มีโอกาสได้ละหมาด ซึ่งอาจมีข้อมูลผิดบ้าง จึงไม่ได้ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมก่อนเล่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องเล่าจากความรู้สึกและความทรงจำล้วนๆ ครับ ***
"มาหยัง" ครั้งแรกกับการพิจารณาตัวเอง
แม่ผมเป็นมุสลิม แต่พ่อผมเป็นพุทธ ส่วนผมถูกเลี้ยงแบบพุทธตั้งแต่เด็ก ผ่านการบวชเรียน และไม่เคยเข้าร่วมหรือรับรู้ศาสนพิธีของอิสลามเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากตั้งแต่สมัยเรียนจบ ก็ทำงานอยู่เมืองหลวง ทำให้ไม่เคยมีโอกาสอยู่บ้านกับแม่ในเวลาแบบนี้เลย แต่เมื่อปีที่ก่อน ผมย้ายหนีจาก กทม กลับมาบ้าน ปีนี้ผมจึงมีโอกาสได้เห็นแม่ถือศีลอดและ "มาหยัง" ในวันออกบวช ทุกๆ เช้ามืด ในช่วงเดือนบวช ผมจะได้ยินเสียงแม่ตื่นมาหุงหาอาหาร กินก่อนพระทิตย์ขึ้นและกินอีกครั้งตอนพระอาทิตย์ตก (แล้วแต่เวลาในแต่ละวัน) ผมพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย เพราะมีอาหารการกินสมบูรณ์แทบทุกมื้อ (ปกติแม่จะซื้อแกงถุงตลอด มีช่วงถือศีลอดนี่แหละที่แม่ขยันทำกับข้าวทุกมื้อ)
แม่ลางานสองวันเพื่อกลับไปออกบวชที่พัทลุง จังหวัดบ้านเกิด ผมอาสาขับรถให้แม่ ปีก่อนๆ แม่ต้องขับรถไปเองคนเดียวหลายร้อยกิโล ผมแปลกใจจริงๆ "ก่อนหน้านี้ ผมไปอยู่ไหนมา"
ข้ามมาวันรายอ ผมไม่ได้วางแผนมาก่อนที่จะไปมาหยังพร้อมแม่และญาติๆ เพียงแต่อยู่ๆ ก็มีความคิดขึ้นมา ไหนๆ ก็กลับมาในวันออกบวชเป็นครั้งแรก เลยอยากลองดูสักหน่อย เลยขอติดสอยห้อยตามไปสุเหร่าด้วย ญาติผมก็จัดแจงหาเครื่องแต่งกาย ทั้งผ้าโสร่ง และ "หมวกกะปิเยาะ" หรือหมวกของมุสลิมผู้ชาย เป็นครั้งแรกที่ผมแต่งตัวแบบนี้ และเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแม่แต่งตัวแบบมุสลิมเต็มตัว (นุ่งผ้าถุง สวมฮิญาบ) ผมเป็นลูกแม่มาเกือบสามสิบ ไม่เคยได้เห็น เป็นอีกครั้งที่ถามตัวเองว่า "ผมไปอยู่ไหนมา"
สิ่งแรกที่ญาติบอกผมคือ เวลาเจอใครไม่ต้องยกมือไหว้ แต่ใช้วิธีการสลาม โดยสัมผัสมือของอีกฝ่ายก่อนที่เราจะยกมือของเราเองมาแนบอก หรือหน้าผาก มันเป็นทั้งการทักทายและการให้พรแก่กัน อันที่จริง คนทักก่อน (ผมไม่แน่ใจว่าขึ้นอยู่กับความอาวุโสด้วยหรือเปล่า) ต้องพูดว่า "สลามาลัยกุม" และอีกฝ่ายตอบว่า "มาลัยกุมสลาม" แต่ผมเขินๆ ที่จะพูด และคนส่วนใหญ่เท่าที่เห็นก็ไม่ค่อยพูด ผมเลยอาศัยจับมือสลามกับส่งยิ้มอย่างเดียว อันที่จริง ถ้าให้พูดทุกครั้งคงเหนื่อยน่าดู ผมเพิ่งประจักษ์ว่าพี่น้องมุสลิมมีอัธยาศัยดีมากแทบทุกคน แค่เดินผ่าน ถึงแม้จะไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา แทบทุกคนก็พร้อมยื่นมือมาสลาม เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นเอามากๆ
เมื่อเราไปถึงสุเหร่าและทักทายอย่างที่เล่ามา เราต้อง "เสียสาร" (ผมเดาว่าย่อมาจากข้าวสาร) โดยมีเจ้าหน้าที่ของสุเหร่า (ผมไม่แน่ใจว่าควรเรียกแกอย่างไร) นั่งรออยู่ ข้างหน้าแกเป็นหม้อใส่ข้าวสารใบเขื่อง ตัวแทนจากแต่ละครอบครัวจะบริจาคเงินทำบุญใส่ลงในหม้อข้าวสาร เท่าที่ถามมา คืออย่างน้อยควรบริจาค 80 บาท/สมาชิกหนึ่งคน ครอบครัวไหนมีสมาชิกสี่คนก็ต้องบริจาค 320 บาท แล้วก็จะมี "การเนียต" (หรือการตั้งจิตอธิษฐานผลบุญดังกล่าวว่าจะให้ใคร ให้ตนเอง ให้ญาติพี่น้อง หรือใครก็ตาม) อันนี้ผมอ่านจากป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนคำกล่าวเนียตเป็นภาษาอาหรับ พร้อมคำแปลภาษาไทย เสร็จขั้นตอนตรงๆ นี้ ประมาณ 7 โมงครึ่ง เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะเริ่มมาหยัง กิจกรรมที่แทรกกลางตรงนี้คือการกินน้ำชาและสนทนากับญาติพี่น้อง หลายๆ คนเพิ่งกลับมาจากเมือหลวง หลายๆ คนพบเจอเพื่อนเก่า และหลายๆ คนได้รู้จักเพื่อนใหม่ (ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น) เครื่องดื่มยอดนิยมก็ผมสังเกตคือชาร้อน แต่ละคนต่างมีเรื่องเล่าของตัวเอง ผลัดกันถามผลัดกันเล่า แปบเดียวก็เลยมาถึงแปดโมงกว่า เสียงอ่านกุรอ่านเรียกคนเข้าสุเหร่าเริ่มดังขึ้น แล้วผมก็เดินตามแม่และญาติๆ เข้าจับจองที่นั่ง
ตรงทางเข้าพื้นที่มาหยัง มีตู้บริจาคตั้งอยู่ เงินที่ได้จากการบริจาค และอาจรวมถึงเงินจากการ "เสียสาร" ผมรู้ในตอนหลังว่า ทางสุเหร่าจะเอาไปซื้อข้าวสารบริจาคให้คนยากจน
ผมสังเกตว่ามีผ้าม่านกั้นระหว่างชายหญิงออกจากกัน หรือผู้หญิงต้องขึ้นไปอีกชั้นอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะแม่ผมขึ้นไปชั้นสาม ส่วนผมอยู่ชั้นล่าง แต่ที่แน่ๆ คือ ชายหญิงต้องนั่งแยกจากกัน ผมเลือกนั่งหลังสุด คำนวณด้วยสายตาคร่าวๆ น่าจะมีชาวมุสลิมเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 500 คน ระหว่างนั่งรอการเริ่มต้น นะมาซ หรือละหมาด หรือมาหยัง (เรียกได้หลากหลาย อันนี้ผมมาถามเอาทีหลัง) ความเพลิดเพลินของผมหมดไปกับการดูเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของแต่ละคน ลวดลายบนเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะโสร่งและหมวก เป็นลวดลายที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของชาวไทยมุสลิม โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มาพร้อมพ่อหรือแม่ เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่ผิวขาว แก้มแดง ยิ่งอยู่ในชุดมุสลิมสำหรับเด็ก แล้วดูน่ารักเป็นพิเศษ (อันนี้เป็นอารมณ์เพ้อส่วนตัวของคนอยากมีลูกแบบผม)
และแล้วพิธีก็เริ่ม โต๊ะอิหม่ามยืนบนแท่นด้านหน้า มือหนึ่งถือไม้เท้า ทุกๆ คนยืนขึ้น จากที่นั่งเบียดเสียดกันคนละมุม สะเปะสะปะ ทุกคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานแบบเป็นระเบียบ ก่อนพึมพำคำกล่าวสรรเสริญอัลเลาะห์ แล้วยกมือทั้งสองขึ้น แบมือไปข้างหน้า นิ้วหัวแม่มืออยู่ระดับประมาณหัวไหล่ (เหมือนการยกมือขึ้นบูชา/คารวะ) ผมทำตามไปแบบเนียนๆ แล้วเปลี่ยนมาวางมือทับกันคล้ายๆ กอดอก แต่อยู่ในระดับหน้าท้อง แล้วตามด้วยการก้มลงเหมือนยืนโก้งโค้ง โดยวางมือเท้าไปที่เข่าทั้งสองข้าง ก่อนจะนั่งลงกราบคล้ายๆ เบญจางคประดิษฐ์ ต่างกันที่มือไม่ได้ประกบเข้าหากัน และหน้าผากต้องจรดพื้น (ผมแอบสังเกตคนรอบตัวตลอด) ทุกๆ การเปลี่ยนอิริยาบถ จะมีคำสวดด้วยตลอด ซึ่งแน่นอนว่าผมได้แต่พึมพำตามไปด้วยความเคารพ
ผมไม่แน่ใจว่าขั้นตอนข้างต้นทำซ้ำกัน 2 หรือ 3 ครั้ง แต่ครั้งสุดท้าย ระหว่างยืนอยู่ มีการกล่าวประโยคหนึ่ง แล้วหันไปทางขวา (ที่จำได้ดีเพราะอยู่ๆ คนข้างๆ ก็หันหน้ามาหาผม) อีกประโยคหนึ่งแล้วหันไปทางซ้าย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้า ซึ่งน่าจะเป็นการเสร็จสิ้นพิธี หลังจากนั้น ผมนั่งลงตามคนอื่นๆ เพื่อฟังคำสอนจากโต๊ะอิหม่าม แกอ่านกุรอ่าน แล้วก็แปลให้พวกเราๆ ฟัง พร้อมกับแทรกคำสอนตามหลักอิสลาม น่าจะไม่ต่างกับการเทศนาบาลีจากพระไตรปิฎกของสมภารวัด ใจความที่ผมจับได้ นอกจากผลบุญของการมาหยัง การถือศีลอดตลอดเดือนรอมฎอน และการบริจาคเพื่อช่วยเหลือคนยากไร้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมเทียบได้กับคำสอนของพุทธศาสนา คือ การอยู่กับปัจจุบัน และการทำความดีก่อนหมดลมหายใจ เสร็จสิ้นการนะมาซและการสอนจากโต๊ะอิหม่ามแล้วใช้เวลาไปประมาณ 30-40 นาที
จบขั้นตอนต่างๆ ทุกคนทยอยเดินออกจากสุเหร่า ระหว่างที่ยืนรอเดินออกจากสุเหร่า ก็ยังมีการให้สลามกันไม่หยุด เป็นความปิติอย่างยิ่งที่มีคนให้พรแทบจะตลอดเวลา ถึงแม้พรที่ให้ผมจะไม่เข้าใจความหมายก็ตาม ปิดท้ายกระบวนการด้วยการกินมื้อเช้าร่วมกันของญาติพี่น้องกับอาหารจานเด็ดของแถบนั้น "ข้าวมันแกงไก่" (เป็นข้าวสวยที่หุงด้วยน้ำกะทิ กินกับแกงไก่ ความหวานมัน ความหอมของข้าว ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยาย) ตามด้วย "ขนมดู" (รสชาติหวานมันคล้ายๆ กับข้าวตูของภาคกลาง แต่ปั้นเป็นก้อนๆ และคลุกแป้ง) ผมได้พูดคุยกับลูกพี่ลูกน้องที่รุ่นราวคราวเดียวกัน คนหนึ่งแต่งงานแล้ว คนหนึ่งเพิ่งคลอดลูกคนที่สอง คนหนึ่งเพิ่งเสียพ่อไปจากโรคมะเร็ง (ผมได้มีโอกาสช่วยในพิธีฝังศพ เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำเช่นกัน ขอเก็บไว้เล่าในโอกาสต่อไป) แต่ไม่ว่าจะเศร้า จะสุข ทุกคนจะกลับมารวมตัวกันในวันรายอแบบนี้ และคำถามหนึ่งที่ผมถูกถามหลายต่อหลายครั้ง คือ "ก่อนหน้านี้ไปไหนมา" ผมไปไหนมา ทำไมที่ผ่านมา ถึงทิ้งแม่ให้ไปไหนมาไหนคนเดียว ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
แต่ที่ชัดเจน คือ "จากนี้ไป ผมไม่ไปไหนอีกแล้ว"
^^
*** ปล. หากมีข้อมูลเกี่ยวกับอิสลามส่วนใดไม่ถูกต้อง ต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ ผมอยากเล่าจากมุมมองของคนพุทธที่มีโอกาสได้ละหมาด ซึ่งอาจมีข้อมูลผิดบ้าง จึงไม่ได้ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมก่อนเล่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องเล่าจากความรู้สึกและความทรงจำล้วนๆ ครับ ***