“ มีอะไรหรือคุณ ทำหน้าเหมือนกลุ้มเหลือเกิน ”
“ คุณยะคะ เมื่อไหร่เราจะได้หุ้นจากนายพลอุเทนมาเป็นของเรา ตอนนี้เศรษฐกิจกำลังแย่ ฉันหาเงินมาจุนเจือบริษัทไม่ไหวแล้วนะ จะเอาหุ้นเข้าไปเพิ่มในธนาคารก็ทำไม่ได้ เราจะแย่นะคะ ”
“ มันร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ ”
“ ค่ะ ฉันเคยคุยกับพี่ทาทองมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ”
“ ผมไม่กล้าไปพูดเรื่องนี้กับทานนายพลหรอก เดี๋ยวเขาได้รู้สิว่าการเงินของเรายอบแยบ เราถึงต้องการหุ้นจำนวนนั้น ”
“ แต่คุณก็อ้างได้นี่คะ ว่าเราต้องการระดมทุน ท่านนายพลเป็นแค่คนดูแลหุ้นเท่านั้น ท่านทำอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว ”
“ แล้วคุณจะให้ท่านทำยังไง คุณก็รู้หุ้นนั่นชื่อลูกชายพี่ธารเทพ ถึงเราไปพูดก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี คนที่จะโอนหุ้นให้เราได้ก็ไอ้เด็กที่มันหายสาบสูญไปเท่านั้น ”
“ แล้วเราจะรอเวลาไปจนครบสามสิบปีหรือคะ เรารอไม่ได้หรอกค่ะ ”
“ ไม่ได้ก็ต้องรอ นอกจากมันจะโผล่มาตอนนี้ เรายิ่งต้องเดือดร้อนหนักเข้าไปอีก ดีไม่ดี บ้านสุรียาบดีนี่ เราก็จะไม่ได้อยู่ เพราะไอ้พินัยกรรมบ้านั่นฉบับเดียว เจ็บใจนัก ไม่นึกว่ามันจะมีพิษจนวินาทีสุดท้าย ”
“ ก็คุณประมาท ปล่อยให้มันไปพบท่านนายพล ”
“ ก็ใครจะไปรู้ว่ามันจะไปเขียนพินัยกรรมที่นั่น คิดว่ามันทำกับทนายไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ทำอีก มันร้ายจริงๆ ”
“ แล้วเราจะหาเงินที่ไหนมาจุนบริษัทในตอนนี้คะ เกือบร้อยล้านเชียวนะคะ ”
“ ไม่เป็นไร ใกล้ประชุมงบประมาณแล้ว รอให้งบประมาณผ่าน ผมมีทางได้หลายร้อยล้าน ไม่รีบด่วนขนาดวันนี้วันพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ ”
“ ถ้าเดือนสองเดือน คงพอรอได้ แต่ถ้านานกว่านั้นแย่แน่ๆ ”
จันทรานั่งทำรายงานที่ใต้ร่มไม้ในมหาวิทยาลัย สมานคนขับรถของเธอเดินเข้ามาหา
“ จะกลับหรือยังครับคุณหนู ”
“ น้าหมานคอยอีกประเดี๋ยวนะคะ เหลืออีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว จันทร์จะเอาไปส่งอาจารย์เลย ”
“ อย่างนั้นผมไปคอยที่รถนะครับ ”
“ ค่ะ ”
จันทราก้มหน้าทำงาน รู้สึกว่ามีใครมานั่งตรงข้าม เธอคิดว่าเป็นสมานจึงทำงานต่อแต่ปากก็ยังถาม
“ ไหนน้าหมานจะไปคอยที่รถไงค่ะ ”
เงียบไม่ตอบ จันทราจึงเงยหน้ามอง หญิงสาวชะงักเพราะคนที่นั่งตรงหน้าของเธอไม่ใช่สมาน
“ ผมขอโทษนะครับ รบกวนคุณหรือเปล่าถ้าผมจะนั่งทำงานตรงนี้ด้วย ”
จันทรามองไปตามโต๊ะต่างๆไม่เห็นมีว่างจึงพยักหน้า ชายหนุ่มเอากระดาษออกมานั่งวาดภาพเงียบๆ จันทรานั่งก้มหน้าก้มตาทำรายงานของเธอต่อจนเสร็จ หญิงสาวเก็บปากกาและเครื่องเขียนลงกระเป๋า อดมองคนที่นั่งวาดภาพอยู่ตรงหน้าไม่ได้
“ เสร็จแล้วหรือครับ ”
“ ค่ะ ”
“ ผมก็เสร็จพอดี ”
เขายื่นกระดาษที่ร่างภาพวาดไว้ให้หญิงสาว
“ ผมให้คุณ ”
“ ให้ฉันหรือ ”
จันทรามองงงๆ เธอรับกระดาษแผ่นนั้นมาดูแล้วตาโต
“ ภาพฉันนี่ ”
เขายิ้ม
“ ครับ ภาพของคุณ ผมเห็นคุณกำลังนั่งตั้งใจทำงาน เลยวาดขึ้นมา ดูธรรมชาติดี ”
“ คุณวาดเก่งจัง ไม่นานเลย ขอบคุณมากเลยค่ะ ”
“ ผมตั้งชื่อภาพให้คุณด้วยนะ ”
“ หรือคะ ชื่ออะไรคะ ”
“ แรเงาพระจันทร์ ”
จันทรามองหน้าเขา แปลกใจที่เขาตั้งชื่อนี้
“ ค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ จะรีบไปส่งรายงาน ”
จันทราหอบงานและภาพวาดนั้นเดินจากไป ตะวันยิ้มอย่างสมใจ มองตามเธอไป
ตะวันนั่งกินข้าวกับสุทธินีและตาเอี้ยง
“ ไม่ได้กินกับข้าวฝีมือตาซะนาน อร่อยจริงๆ กินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่า ”
“ ก็กินมาแต่เล็กแต่น้อย จะไม่อร่อยได้อย่างไร ”
“ ตอนเล็กๆ ตะวันเขาเลี้ยงง่ายไหมคะตา ”
สุทธินีถามผู้เฒ่าที่เลี้ยงดูตะวันมา
“ ง่าย เลี้ยงง่ายมากเลย แทบจะไม่ร้องก็ว่าได้ อดทนเกินเด็ก ”
“ ผมต้องอดทนสิตา ไม่อย่างนั้นจะรอดมาล้างแค้นไอ้พวก กากเดนสุรียาบดีนั่นได้หรือ ”
“ ตะวัน พวกเขาเป็นยังไงบ้างลูก ”
“ ก็เสวยสุขกันเพลิดเพลิน พวกมันไม่รู้หรอกว่ากำลังเดินสู่กับดักของผม ”
“ ระวังตัวนะลูก จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ ลูกต้องสำนึกไว้เสมอว่า กำลังเล่นอยู่กับเสือร้าย ถ้าลูกพลาด มันจะขย้ำลูกจนถึงตาย ”
“ แม่ ผมจะเอาลูกเสือมาฉีกเนื้อ แล้วแล่หนังขยำขยี้ให้สะใจเลยแม่ ”
“ ตะวัน ลูกพูดอะไร แม่ไม่เข้าใจ ”
“ ตะวัน ตาจะบอกอะไรให้ ถ้าเจ้าจะเล่นกับเสือ ต้องรู้ว่าเสือมันชอบอะไร มันหวงอะไร ถ้าเจ้ากระตุกหางของมันให้หลังมันยอกได้ เจ้าจะจัดการกับมันได้ไม่ลำบาก ”
ตะวันมองสบตากับผู้เฒ่าที่เลี้ยงดูเขามา จะมีใครรู้จักความคิดของตะวันได้ดีเท่าตาเอี้ยง ผู้ที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เล่า
เสียงขลุ่ยดังแว่วหวาน สุทธินีนั่งฟังลูกชายเป่าขลุ่ยอย่างตั้งใจ ตาเอี้ยงเป็นห่วงชายหนุ่มนัก เขาควรมีชีวิตที่สดใส มีอนาคตที่ราบรื่นงดงาม ไม่ควรจะต้องไปจมอยู่กับวังวนความแค้นที่มีภัยมหันต์ ทุติยะ มีอำนาจ มีบารมี มีอิทธิพล ตะวันจะเอาตัวรอดได้หรือในแวดวงของคนพวกนั้น เสียงขลุ่ยของตะวันแว่วหวานเว้าวอน จะมีใครรู้บ้างว่า ที่บ้านสุรียาบดี เสียงซออู้ก็หวนไห้ดังกังวานเสนาะนักในยามราตรีที่พระจันทร์เต็มดวงกระจ่างฟ้า ทุติยานอนสบายอารมณ์บนเก้าอี้นอน มองลูกสาวคนเล็กสีซออย่างเพลินใจ เสียงซอจบลง นายทุติยะมองลูกสาวอย่างสุดแสนรัก
“ รู้ไหม เวลาพ่อฟังเสียงซอของลูกแล้ว พ่อสบายใจอย่างที่สุดเลย ”
“ ถ้าคุณพ่อสบายใจ จันทร์จะสีให้คุณพ่อฟังทุกวันเลยเอาไหมคะ ”
“ เอาเป็นว่า ถ้าพ่อว่าง พ่อจะให้ลูกสีให้ฟังดีไหม แล้วนี่ลูกใกล้สอบหรือยัง ”
“ ใกล้แล้วค่ะ ต้นเดือนหน้าก็เริ่มสอบแล้ว ”
“ นี่ลูกจะขึ้นปีสี่แล้วสินะ เผลอแป๊บเดียวลูกสาวของพ่อใกล้จะเป็นบัณฑิตแล้ว ”
“ อีกตั้งปีกว่านะคะ ”
“ ถ้าจบแล้วอยากไปเรียนต่อต่างประเทศไหม ”
“ ไม่อยากค่ะ จันทร์ขอเรียนที่เมืองไทยนี่ดีกว่า จันทร์คิดถึงบ้าน คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ ”
“ ตกลงอยู่เมืองไทยดีที่สุดใช่ไหม ก็ดี พ่อจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง คิดถึงลูก รู้ไหมลูกกับพี่จาม พ่อเป็นห่วงลูกมากกว่าพี่จามมากนัก ”
“ เพราะพี่จามเก่งใช่ไหมคะ คุณพ่อเลยไม่ต้องห่วง ”
“ ไม่ใช่หรอกลูก เพราะลูกเป็นคนมองคนในแง่ดีตลอดต่างหาก ลูกมองโลกสวยงามบริสุทธิไปหมด จนพ่อเป็นห่วง กลัวใครจะมารังแกลูกสาวของพ่อ ”
จามจุรียังตอแยกับตะวันไม่ยอมหยุด ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหญิงสาวพอใจที่จะเรียกเขา เข้ามากระแนะกระแหน แล้วให้เขาก่อกวนอารมณ์ของหล่อนให้หงุดหงิด คงเพราะเธอ เคยมีแต่คนพะเน้าพะนอเอาใจ พูดอะไรว่าอะไรก็คล้อยตามกันไปหมด เมื่อมาเจอกับตะวันที่ใส่เธอไม่ยั้ง จามจุรีก็ได้ของเล่นที่ตื่นเต้น เร้าใจ เร้าอารมณ์ วันนี้ตะวันหอบแฟ้มบัญชี เข้ามาหาเธอ ตามที่เธอสั่ง
“ คงไม่ว่านะที่ฉันเรียกให้เอาบัญชีเข้ามาดูตอนนี้ ”
“ ผมจะไปว่าอะไรล่ะ เชิญท่านผู้จัดการตรวจดูตามสบาย ”
“ ฮึ ทำบัญชีได้เรียบร้อยดีนี่ ใช้ได้ ”
“ อ้าว ทำบัญชี ถ้ามีลบมีเซ็น ก็ระดับ ปวช. สิเจ้านาย ”
“ นี่ ทำไมต้องเรียกฉันเจ้านายด้วย ตำแหน่งฉันมี เรียกตำแหน่งก็ได้ ”
“ ครับ ท่านผู้จัดการ ”
“ นี่ บ่ายนี้นายว่างไหม ”
“ ไม่ว่าง ”
“ แต่นายต้องว่าง ฉันจะพานายไปที่โรงงาน หัวหน้าช่างที่โน่นตั้งแง่จะขอขึ้นเงินเดือน ฉันต้องไปเคลีย ”
“ แล้วผมไปเกี่ยวอะไรด้วย ผมอยู่ฝ่ายบัญชี ไม่ใช่ฝ่ายไล่คนออก ”
“ เอ๊ะ ฉันบอกให้ไปก็ไปสิ ปากอย่างนายน่าจะพูดกับพวกนั้นได้ดีกว่าฉัน ”
“ ผิดไปแล้ว ผมว่าปากท่านผู้จัดการนะ พวกนั้นกลัวหงออยู่แล้ว ”
“ นี่นายตะวัน ฉันเป็นผู้จัดการนะ สั่งอะไรก็ต้องทำตามสิ ”
“ ผมจะทำเฉพาะหน้าที่ของผม ถ้าเกินหน้าที่ เสียใจ ”
“ งั้นถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน ”
“ โอย โลกจะถล่ม ท่านผู้จัดการขอร้องคนอย่างผม ”
“ แล้วจะเอายังไง ฉันพูดกับนายดีๆแล้วนะ ”
“ อย่าเพิ่งโมโหสิ ท่านผู้จัดการขอร้องทั้งทีผมจะปฏิเสธได้อย่างไร ”
“ ดี อย่างนั้นเอาบัญชีนี่ไปเก็บ แล้วออกไปกับฉันเลย ”
“ แต่นี่มันยังไม่บ่ายเลยนะ ”
“ ก็ใช่ ฉันหิวข้าว ไปกินข้าวก่อน แล้วค่อยเข้าโรงงาน มีปัญหาไหม ”
ตะวันยักไหล่เดินกลับออกไป จามจุรีทรุดลงนั่ง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอ่อนข้อให้เขาถึงขนาดนี้
จามจุรีพาตะวันมากินข้าวที่ร้านอาหารหรูหราแห่งหนึ่ง เธอสั่งอาหารสามอย่าง แล้วถามตะวัน
“ นายจะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม ฉันสั่งไปสามอย่างแล้ว ”
“ ไม่ ที่ท่านผู้จัดการสั่งก็เยอะแล้ว ”
“ นี่ ออกมาข้างนอกอย่างนี้ ไม่ต้องเรียกฉันว่าท่ง ว่าท่านหรอกนะ ฟังแล้วเหมือนนายเรียกกระแทกฉันอย่างนั้นแหละ ”
“ คุณนี่เอาใจยากจัง เรียกนั่นก็ไม่ได้ เรียกนี่ก็ไม่ถูก แล้วเมื่อไหร่ถึงจะถูกใจพระเดชพระคุณ ”
“ นี่ นายอย่าทำให้ฉันอารมณ์เสียจะได้ไหม ฉันจะกินข้าวนะ อารมณ์เสียเดี๋ยวก็กินไม่ลง ”
ตะวันเงียบ เขามองร้านอาหารหรูหราแห่งนี้อย่างขื่นๆ นี่พวกนี้อยู่ดีมีสุขบนทรัพย์มรดกของบิดาเขา ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ในขณะที่แม่ของเขา ต้องกลายไปเป็นคนจรจัด ขอข้าวเขากินข้างทางเป็นเวลานาน
“ ไง นายคงไม่เคยมากินข้าวตามร้านหรูๆอย่างนี้สินะ ”
“ ใช่ ไม่เคย ”
“ อาหารที่นี่แพงมาก แต่ก็อร่อยมาก คนที่เข้ามากินที่นี่ได้ ต้องผู้ดีมีเงินจริงๆเท่านั้น เพราะค่าอาหารมื้อหนึ่ง บางทีแพงขนาดนายทำงานไปเกือบปี ”
“ คนมีเงิน จะสรรหาอะไรที่มันวิเศษเลิศเลออย่างไรก็ได้ แต่บางครั้ง ไอ้ความวิเศษขนาดนั้นมันอาจเทียบไม่ได้กับคุณค่าของมันก็ได้ ”
“ นายพูดอะไร ฟังไม่เห็นรู้เรื่อง ”
“ เปล่า ผมเพียงแต่เปรียบเทียบความวิเศษกับคุณค่าเท่านั้น วิเศษมาก คุณค่าสูง กับวิเศษมากแต่ไม่มีคุณค่าเลย ”
“ พอเถอะ อาหารมาแล้ว กินซะปากนายจะได้ไม่ว่าง แล้วก็ลองรสชาติอาหารแพงๆนี่ดู จะได้รู้ว่าวิเศษมาก คุณค่ามากหรือเปล่า ”
ตะวันนั่งกินเงียบๆ จามจุรีอดลอบมองเขาไม่ได้ เมื่อได้อยู่ใกล้ๆผู้ชายคนนี้มีอะไรที่ต่างไปจากคนอื่นๆที่เธอเคยพบ เขาดูแข็งๆกับเธอ แต่ในเวลาที่เขาทำอะไรมักจะแฝงความอ่อนโยนนุ่มนวลอยู่เสมอ ตะวันไม่ได้เชยๆเปิ่นๆเหมือนคนบ้านนอกตรงกันข้าม เขากลับดูดี บุคลิกดี การแต่งตัวก็สุภาพ รสนิยมดี เขาเป็นผู้ชายที่จัดว่าคมคายทีเดียว ผิวขาวนวลคงเป็นเพราะเป็นคนภาคเหนือ ตาคมดุ จามจุรีคุ้นกับดวงตาคู่นี้นักเหมือนเธอเคยเห็นที่ไหน เสร็จจากการรับปะทานอาหารกลางวันจามจุรีก็พาตะวันไปที่โรงงานอุตสาหกรรม โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคส์ขนาดใหญ่ ป้าชื่อโรงงานใหญ่เห็นแต่ไกล ตะวันมองโรงงานด้วยสายตาที่น่ากลัว หากแต่จามจุรีไม่ทันสังเกต ผู้จัดการฝ่ายโรงงานออกมาต้อนรับจามจุรีด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“ เชิญครับคุณจามจุรี เชิญที่ห้องรับรองเลยครับ เดี๋ยวผมจะให้ผู้ช่วยไปตามพวกนั้นมา ”
“ ดี ”
จามจุรีหันมาแนะนำตะวันกับผู้จักการโรงงาน
“ คุณนิทัต นี่คุณตะวัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีของบริษัทเรา ”
“ สวัสดีครับ ”
“ สวัสดีครับ ”
นิทัตอายุอานามน่าจะเกือบห้าสิบปีตะวันคิดว่าถ้าเขาทำงานที่นี่มาตลอด อายุขนาดเขาน่าจะอยู่ทันพ่อของเขาตอนมีชีวิตอยู่ นิทัตพาจามจุรีและตะวันมาที่ห้องรับรองแขกของโรงงาน จามจุรีนั่งวางมาดบนโซฟายาว ตะวันเดินเลี่ยงไปนั่งที่โต๊ะรับแขกด้านข้าง หล่อนคุยกับนิทัตถึงปัญหาหัวหน้าช่างเรียกร้องขึ้นเงินเดือน
...พิมพ์พิลาสฒ์...
สิ้นแสงสุริยา ตอนที่ 8
“ คุณยะคะ เมื่อไหร่เราจะได้หุ้นจากนายพลอุเทนมาเป็นของเรา ตอนนี้เศรษฐกิจกำลังแย่ ฉันหาเงินมาจุนเจือบริษัทไม่ไหวแล้วนะ จะเอาหุ้นเข้าไปเพิ่มในธนาคารก็ทำไม่ได้ เราจะแย่นะคะ ”
“ มันร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ ”
“ ค่ะ ฉันเคยคุยกับพี่ทาทองมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ”
“ ผมไม่กล้าไปพูดเรื่องนี้กับทานนายพลหรอก เดี๋ยวเขาได้รู้สิว่าการเงินของเรายอบแยบ เราถึงต้องการหุ้นจำนวนนั้น ”
“ แต่คุณก็อ้างได้นี่คะ ว่าเราต้องการระดมทุน ท่านนายพลเป็นแค่คนดูแลหุ้นเท่านั้น ท่านทำอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว ”
“ แล้วคุณจะให้ท่านทำยังไง คุณก็รู้หุ้นนั่นชื่อลูกชายพี่ธารเทพ ถึงเราไปพูดก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี คนที่จะโอนหุ้นให้เราได้ก็ไอ้เด็กที่มันหายสาบสูญไปเท่านั้น ”
“ แล้วเราจะรอเวลาไปจนครบสามสิบปีหรือคะ เรารอไม่ได้หรอกค่ะ ”
“ ไม่ได้ก็ต้องรอ นอกจากมันจะโผล่มาตอนนี้ เรายิ่งต้องเดือดร้อนหนักเข้าไปอีก ดีไม่ดี บ้านสุรียาบดีนี่ เราก็จะไม่ได้อยู่ เพราะไอ้พินัยกรรมบ้านั่นฉบับเดียว เจ็บใจนัก ไม่นึกว่ามันจะมีพิษจนวินาทีสุดท้าย ”
“ ก็คุณประมาท ปล่อยให้มันไปพบท่านนายพล ”
“ ก็ใครจะไปรู้ว่ามันจะไปเขียนพินัยกรรมที่นั่น คิดว่ามันทำกับทนายไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ทำอีก มันร้ายจริงๆ ”
“ แล้วเราจะหาเงินที่ไหนมาจุนบริษัทในตอนนี้คะ เกือบร้อยล้านเชียวนะคะ ”
“ ไม่เป็นไร ใกล้ประชุมงบประมาณแล้ว รอให้งบประมาณผ่าน ผมมีทางได้หลายร้อยล้าน ไม่รีบด่วนขนาดวันนี้วันพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ ”
“ ถ้าเดือนสองเดือน คงพอรอได้ แต่ถ้านานกว่านั้นแย่แน่ๆ ”
จันทรานั่งทำรายงานที่ใต้ร่มไม้ในมหาวิทยาลัย สมานคนขับรถของเธอเดินเข้ามาหา
“ จะกลับหรือยังครับคุณหนู ”
“ น้าหมานคอยอีกประเดี๋ยวนะคะ เหลืออีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว จันทร์จะเอาไปส่งอาจารย์เลย ”
“ อย่างนั้นผมไปคอยที่รถนะครับ ”
“ ค่ะ ”
จันทราก้มหน้าทำงาน รู้สึกว่ามีใครมานั่งตรงข้าม เธอคิดว่าเป็นสมานจึงทำงานต่อแต่ปากก็ยังถาม
“ ไหนน้าหมานจะไปคอยที่รถไงค่ะ ”
เงียบไม่ตอบ จันทราจึงเงยหน้ามอง หญิงสาวชะงักเพราะคนที่นั่งตรงหน้าของเธอไม่ใช่สมาน
“ ผมขอโทษนะครับ รบกวนคุณหรือเปล่าถ้าผมจะนั่งทำงานตรงนี้ด้วย ”
จันทรามองไปตามโต๊ะต่างๆไม่เห็นมีว่างจึงพยักหน้า ชายหนุ่มเอากระดาษออกมานั่งวาดภาพเงียบๆ จันทรานั่งก้มหน้าก้มตาทำรายงานของเธอต่อจนเสร็จ หญิงสาวเก็บปากกาและเครื่องเขียนลงกระเป๋า อดมองคนที่นั่งวาดภาพอยู่ตรงหน้าไม่ได้
“ เสร็จแล้วหรือครับ ”
“ ค่ะ ”
“ ผมก็เสร็จพอดี ”
เขายื่นกระดาษที่ร่างภาพวาดไว้ให้หญิงสาว
“ ผมให้คุณ ”
“ ให้ฉันหรือ ”
จันทรามองงงๆ เธอรับกระดาษแผ่นนั้นมาดูแล้วตาโต
“ ภาพฉันนี่ ”
เขายิ้ม
“ ครับ ภาพของคุณ ผมเห็นคุณกำลังนั่งตั้งใจทำงาน เลยวาดขึ้นมา ดูธรรมชาติดี ”
“ คุณวาดเก่งจัง ไม่นานเลย ขอบคุณมากเลยค่ะ ”
“ ผมตั้งชื่อภาพให้คุณด้วยนะ ”
“ หรือคะ ชื่ออะไรคะ ”
“ แรเงาพระจันทร์ ”
จันทรามองหน้าเขา แปลกใจที่เขาตั้งชื่อนี้
“ ค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ จะรีบไปส่งรายงาน ”
จันทราหอบงานและภาพวาดนั้นเดินจากไป ตะวันยิ้มอย่างสมใจ มองตามเธอไป
ตะวันนั่งกินข้าวกับสุทธินีและตาเอี้ยง
“ ไม่ได้กินกับข้าวฝีมือตาซะนาน อร่อยจริงๆ กินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่า ”
“ ก็กินมาแต่เล็กแต่น้อย จะไม่อร่อยได้อย่างไร ”
“ ตอนเล็กๆ ตะวันเขาเลี้ยงง่ายไหมคะตา ”
สุทธินีถามผู้เฒ่าที่เลี้ยงดูตะวันมา
“ ง่าย เลี้ยงง่ายมากเลย แทบจะไม่ร้องก็ว่าได้ อดทนเกินเด็ก ”
“ ผมต้องอดทนสิตา ไม่อย่างนั้นจะรอดมาล้างแค้นไอ้พวก กากเดนสุรียาบดีนั่นได้หรือ ”
“ ตะวัน พวกเขาเป็นยังไงบ้างลูก ”
“ ก็เสวยสุขกันเพลิดเพลิน พวกมันไม่รู้หรอกว่ากำลังเดินสู่กับดักของผม ”
“ ระวังตัวนะลูก จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ ลูกต้องสำนึกไว้เสมอว่า กำลังเล่นอยู่กับเสือร้าย ถ้าลูกพลาด มันจะขย้ำลูกจนถึงตาย ”
“ แม่ ผมจะเอาลูกเสือมาฉีกเนื้อ แล้วแล่หนังขยำขยี้ให้สะใจเลยแม่ ”
“ ตะวัน ลูกพูดอะไร แม่ไม่เข้าใจ ”
“ ตะวัน ตาจะบอกอะไรให้ ถ้าเจ้าจะเล่นกับเสือ ต้องรู้ว่าเสือมันชอบอะไร มันหวงอะไร ถ้าเจ้ากระตุกหางของมันให้หลังมันยอกได้ เจ้าจะจัดการกับมันได้ไม่ลำบาก ”
ตะวันมองสบตากับผู้เฒ่าที่เลี้ยงดูเขามา จะมีใครรู้จักความคิดของตะวันได้ดีเท่าตาเอี้ยง ผู้ที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เล่า
เสียงขลุ่ยดังแว่วหวาน สุทธินีนั่งฟังลูกชายเป่าขลุ่ยอย่างตั้งใจ ตาเอี้ยงเป็นห่วงชายหนุ่มนัก เขาควรมีชีวิตที่สดใส มีอนาคตที่ราบรื่นงดงาม ไม่ควรจะต้องไปจมอยู่กับวังวนความแค้นที่มีภัยมหันต์ ทุติยะ มีอำนาจ มีบารมี มีอิทธิพล ตะวันจะเอาตัวรอดได้หรือในแวดวงของคนพวกนั้น เสียงขลุ่ยของตะวันแว่วหวานเว้าวอน จะมีใครรู้บ้างว่า ที่บ้านสุรียาบดี เสียงซออู้ก็หวนไห้ดังกังวานเสนาะนักในยามราตรีที่พระจันทร์เต็มดวงกระจ่างฟ้า ทุติยานอนสบายอารมณ์บนเก้าอี้นอน มองลูกสาวคนเล็กสีซออย่างเพลินใจ เสียงซอจบลง นายทุติยะมองลูกสาวอย่างสุดแสนรัก
“ รู้ไหม เวลาพ่อฟังเสียงซอของลูกแล้ว พ่อสบายใจอย่างที่สุดเลย ”
“ ถ้าคุณพ่อสบายใจ จันทร์จะสีให้คุณพ่อฟังทุกวันเลยเอาไหมคะ ”
“ เอาเป็นว่า ถ้าพ่อว่าง พ่อจะให้ลูกสีให้ฟังดีไหม แล้วนี่ลูกใกล้สอบหรือยัง ”
“ ใกล้แล้วค่ะ ต้นเดือนหน้าก็เริ่มสอบแล้ว ”
“ นี่ลูกจะขึ้นปีสี่แล้วสินะ เผลอแป๊บเดียวลูกสาวของพ่อใกล้จะเป็นบัณฑิตแล้ว ”
“ อีกตั้งปีกว่านะคะ ”
“ ถ้าจบแล้วอยากไปเรียนต่อต่างประเทศไหม ”
“ ไม่อยากค่ะ จันทร์ขอเรียนที่เมืองไทยนี่ดีกว่า จันทร์คิดถึงบ้าน คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ ”
“ ตกลงอยู่เมืองไทยดีที่สุดใช่ไหม ก็ดี พ่อจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง คิดถึงลูก รู้ไหมลูกกับพี่จาม พ่อเป็นห่วงลูกมากกว่าพี่จามมากนัก ”
“ เพราะพี่จามเก่งใช่ไหมคะ คุณพ่อเลยไม่ต้องห่วง ”
“ ไม่ใช่หรอกลูก เพราะลูกเป็นคนมองคนในแง่ดีตลอดต่างหาก ลูกมองโลกสวยงามบริสุทธิไปหมด จนพ่อเป็นห่วง กลัวใครจะมารังแกลูกสาวของพ่อ ”
จามจุรียังตอแยกับตะวันไม่ยอมหยุด ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหญิงสาวพอใจที่จะเรียกเขา เข้ามากระแนะกระแหน แล้วให้เขาก่อกวนอารมณ์ของหล่อนให้หงุดหงิด คงเพราะเธอ เคยมีแต่คนพะเน้าพะนอเอาใจ พูดอะไรว่าอะไรก็คล้อยตามกันไปหมด เมื่อมาเจอกับตะวันที่ใส่เธอไม่ยั้ง จามจุรีก็ได้ของเล่นที่ตื่นเต้น เร้าใจ เร้าอารมณ์ วันนี้ตะวันหอบแฟ้มบัญชี เข้ามาหาเธอ ตามที่เธอสั่ง
“ คงไม่ว่านะที่ฉันเรียกให้เอาบัญชีเข้ามาดูตอนนี้ ”
“ ผมจะไปว่าอะไรล่ะ เชิญท่านผู้จัดการตรวจดูตามสบาย ”
“ ฮึ ทำบัญชีได้เรียบร้อยดีนี่ ใช้ได้ ”
“ อ้าว ทำบัญชี ถ้ามีลบมีเซ็น ก็ระดับ ปวช. สิเจ้านาย ”
“ นี่ ทำไมต้องเรียกฉันเจ้านายด้วย ตำแหน่งฉันมี เรียกตำแหน่งก็ได้ ”
“ ครับ ท่านผู้จัดการ ”
“ นี่ บ่ายนี้นายว่างไหม ”
“ ไม่ว่าง ”
“ แต่นายต้องว่าง ฉันจะพานายไปที่โรงงาน หัวหน้าช่างที่โน่นตั้งแง่จะขอขึ้นเงินเดือน ฉันต้องไปเคลีย ”
“ แล้วผมไปเกี่ยวอะไรด้วย ผมอยู่ฝ่ายบัญชี ไม่ใช่ฝ่ายไล่คนออก ”
“ เอ๊ะ ฉันบอกให้ไปก็ไปสิ ปากอย่างนายน่าจะพูดกับพวกนั้นได้ดีกว่าฉัน ”
“ ผิดไปแล้ว ผมว่าปากท่านผู้จัดการนะ พวกนั้นกลัวหงออยู่แล้ว ”
“ นี่นายตะวัน ฉันเป็นผู้จัดการนะ สั่งอะไรก็ต้องทำตามสิ ”
“ ผมจะทำเฉพาะหน้าที่ของผม ถ้าเกินหน้าที่ เสียใจ ”
“ งั้นถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน ”
“ โอย โลกจะถล่ม ท่านผู้จัดการขอร้องคนอย่างผม ”
“ แล้วจะเอายังไง ฉันพูดกับนายดีๆแล้วนะ ”
“ อย่าเพิ่งโมโหสิ ท่านผู้จัดการขอร้องทั้งทีผมจะปฏิเสธได้อย่างไร ”
“ ดี อย่างนั้นเอาบัญชีนี่ไปเก็บ แล้วออกไปกับฉันเลย ”
“ แต่นี่มันยังไม่บ่ายเลยนะ ”
“ ก็ใช่ ฉันหิวข้าว ไปกินข้าวก่อน แล้วค่อยเข้าโรงงาน มีปัญหาไหม ”
ตะวันยักไหล่เดินกลับออกไป จามจุรีทรุดลงนั่ง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอ่อนข้อให้เขาถึงขนาดนี้
จามจุรีพาตะวันมากินข้าวที่ร้านอาหารหรูหราแห่งหนึ่ง เธอสั่งอาหารสามอย่าง แล้วถามตะวัน
“ นายจะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม ฉันสั่งไปสามอย่างแล้ว ”
“ ไม่ ที่ท่านผู้จัดการสั่งก็เยอะแล้ว ”
“ นี่ ออกมาข้างนอกอย่างนี้ ไม่ต้องเรียกฉันว่าท่ง ว่าท่านหรอกนะ ฟังแล้วเหมือนนายเรียกกระแทกฉันอย่างนั้นแหละ ”
“ คุณนี่เอาใจยากจัง เรียกนั่นก็ไม่ได้ เรียกนี่ก็ไม่ถูก แล้วเมื่อไหร่ถึงจะถูกใจพระเดชพระคุณ ”
“ นี่ นายอย่าทำให้ฉันอารมณ์เสียจะได้ไหม ฉันจะกินข้าวนะ อารมณ์เสียเดี๋ยวก็กินไม่ลง ”
ตะวันเงียบ เขามองร้านอาหารหรูหราแห่งนี้อย่างขื่นๆ นี่พวกนี้อยู่ดีมีสุขบนทรัพย์มรดกของบิดาเขา ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ในขณะที่แม่ของเขา ต้องกลายไปเป็นคนจรจัด ขอข้าวเขากินข้างทางเป็นเวลานาน
“ ไง นายคงไม่เคยมากินข้าวตามร้านหรูๆอย่างนี้สินะ ”
“ ใช่ ไม่เคย ”
“ อาหารที่นี่แพงมาก แต่ก็อร่อยมาก คนที่เข้ามากินที่นี่ได้ ต้องผู้ดีมีเงินจริงๆเท่านั้น เพราะค่าอาหารมื้อหนึ่ง บางทีแพงขนาดนายทำงานไปเกือบปี ”
“ คนมีเงิน จะสรรหาอะไรที่มันวิเศษเลิศเลออย่างไรก็ได้ แต่บางครั้ง ไอ้ความวิเศษขนาดนั้นมันอาจเทียบไม่ได้กับคุณค่าของมันก็ได้ ”
“ นายพูดอะไร ฟังไม่เห็นรู้เรื่อง ”
“ เปล่า ผมเพียงแต่เปรียบเทียบความวิเศษกับคุณค่าเท่านั้น วิเศษมาก คุณค่าสูง กับวิเศษมากแต่ไม่มีคุณค่าเลย ”
“ พอเถอะ อาหารมาแล้ว กินซะปากนายจะได้ไม่ว่าง แล้วก็ลองรสชาติอาหารแพงๆนี่ดู จะได้รู้ว่าวิเศษมาก คุณค่ามากหรือเปล่า ”
ตะวันนั่งกินเงียบๆ จามจุรีอดลอบมองเขาไม่ได้ เมื่อได้อยู่ใกล้ๆผู้ชายคนนี้มีอะไรที่ต่างไปจากคนอื่นๆที่เธอเคยพบ เขาดูแข็งๆกับเธอ แต่ในเวลาที่เขาทำอะไรมักจะแฝงความอ่อนโยนนุ่มนวลอยู่เสมอ ตะวันไม่ได้เชยๆเปิ่นๆเหมือนคนบ้านนอกตรงกันข้าม เขากลับดูดี บุคลิกดี การแต่งตัวก็สุภาพ รสนิยมดี เขาเป็นผู้ชายที่จัดว่าคมคายทีเดียว ผิวขาวนวลคงเป็นเพราะเป็นคนภาคเหนือ ตาคมดุ จามจุรีคุ้นกับดวงตาคู่นี้นักเหมือนเธอเคยเห็นที่ไหน เสร็จจากการรับปะทานอาหารกลางวันจามจุรีก็พาตะวันไปที่โรงงานอุตสาหกรรม โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคส์ขนาดใหญ่ ป้าชื่อโรงงานใหญ่เห็นแต่ไกล ตะวันมองโรงงานด้วยสายตาที่น่ากลัว หากแต่จามจุรีไม่ทันสังเกต ผู้จัดการฝ่ายโรงงานออกมาต้อนรับจามจุรีด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“ เชิญครับคุณจามจุรี เชิญที่ห้องรับรองเลยครับ เดี๋ยวผมจะให้ผู้ช่วยไปตามพวกนั้นมา ”
“ ดี ”
จามจุรีหันมาแนะนำตะวันกับผู้จักการโรงงาน
“ คุณนิทัต นี่คุณตะวัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีของบริษัทเรา ”
“ สวัสดีครับ ”
“ สวัสดีครับ ”
นิทัตอายุอานามน่าจะเกือบห้าสิบปีตะวันคิดว่าถ้าเขาทำงานที่นี่มาตลอด อายุขนาดเขาน่าจะอยู่ทันพ่อของเขาตอนมีชีวิตอยู่ นิทัตพาจามจุรีและตะวันมาที่ห้องรับรองแขกของโรงงาน จามจุรีนั่งวางมาดบนโซฟายาว ตะวันเดินเลี่ยงไปนั่งที่โต๊ะรับแขกด้านข้าง หล่อนคุยกับนิทัตถึงปัญหาหัวหน้าช่างเรียกร้องขึ้นเงินเดือน