สิ้นแสงสุริยา ตอนที่ 8

กระทู้สนทนา
“  มีอะไรหรือคุณ ทำหน้าเหมือนกลุ้มเหลือเกิน  ”
“  คุณยะคะ เมื่อไหร่เราจะได้หุ้นจากนายพลอุเทนมาเป็นของเรา ตอนนี้เศรษฐกิจกำลังแย่ ฉันหาเงินมาจุนเจือบริษัทไม่ไหวแล้วนะ จะเอาหุ้นเข้าไปเพิ่มในธนาคารก็ทำไม่ได้ เราจะแย่นะคะ  ”
“  มันร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ  ”
“  ค่ะ  ฉันเคยคุยกับพี่ทาทองมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา  ”
“  ผมไม่กล้าไปพูดเรื่องนี้กับทานนายพลหรอก เดี๋ยวเขาได้รู้สิว่าการเงินของเรายอบแยบ เราถึงต้องการหุ้นจำนวนนั้น  ”
“  แต่คุณก็อ้างได้นี่คะ ว่าเราต้องการระดมทุน ท่านนายพลเป็นแค่คนดูแลหุ้นเท่านั้น ท่านทำอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว  ”
“  แล้วคุณจะให้ท่านทำยังไง คุณก็รู้หุ้นนั่นชื่อลูกชายพี่ธารเทพ ถึงเราไปพูดก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี คนที่จะโอนหุ้นให้เราได้ก็ไอ้เด็กที่มันหายสาบสูญไปเท่านั้น  ”
“  แล้วเราจะรอเวลาไปจนครบสามสิบปีหรือคะ เรารอไม่ได้หรอกค่ะ  ”
“  ไม่ได้ก็ต้องรอ นอกจากมันจะโผล่มาตอนนี้ เรายิ่งต้องเดือดร้อนหนักเข้าไปอีก ดีไม่ดี บ้านสุรียาบดีนี่ เราก็จะไม่ได้อยู่ เพราะไอ้พินัยกรรมบ้านั่นฉบับเดียว เจ็บใจนัก ไม่นึกว่ามันจะมีพิษจนวินาทีสุดท้าย  ”
“  ก็คุณประมาท ปล่อยให้มันไปพบท่านนายพล  ”
“  ก็ใครจะไปรู้ว่ามันจะไปเขียนพินัยกรรมที่นั่น คิดว่ามันทำกับทนายไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ทำอีก มันร้ายจริงๆ  ”
“  แล้วเราจะหาเงินที่ไหนมาจุนบริษัทในตอนนี้คะ เกือบร้อยล้านเชียวนะคะ  ”
“  ไม่เป็นไร ใกล้ประชุมงบประมาณแล้ว รอให้งบประมาณผ่าน ผมมีทางได้หลายร้อยล้าน ไม่รีบด่วนขนาดวันนี้วันพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ  ”
“  ถ้าเดือนสองเดือน คงพอรอได้ แต่ถ้านานกว่านั้นแย่แน่ๆ  ”

จันทรานั่งทำรายงานที่ใต้ร่มไม้ในมหาวิทยาลัย สมานคนขับรถของเธอเดินเข้ามาหา

“  จะกลับหรือยังครับคุณหนู  ”
“  น้าหมานคอยอีกประเดี๋ยวนะคะ เหลืออีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว จันทร์จะเอาไปส่งอาจารย์เลย  ”
“  อย่างนั้นผมไปคอยที่รถนะครับ  ”
“  ค่ะ  ”

จันทราก้มหน้าทำงาน รู้สึกว่ามีใครมานั่งตรงข้าม เธอคิดว่าเป็นสมานจึงทำงานต่อแต่ปากก็ยังถาม

“  ไหนน้าหมานจะไปคอยที่รถไงค่ะ  ”

เงียบไม่ตอบ จันทราจึงเงยหน้ามอง หญิงสาวชะงักเพราะคนที่นั่งตรงหน้าของเธอไม่ใช่สมาน

“  ผมขอโทษนะครับ รบกวนคุณหรือเปล่าถ้าผมจะนั่งทำงานตรงนี้ด้วย  ”

จันทรามองไปตามโต๊ะต่างๆไม่เห็นมีว่างจึงพยักหน้า ชายหนุ่มเอากระดาษออกมานั่งวาดภาพเงียบๆ จันทรานั่งก้มหน้าก้มตาทำรายงานของเธอต่อจนเสร็จ หญิงสาวเก็บปากกาและเครื่องเขียนลงกระเป๋า อดมองคนที่นั่งวาดภาพอยู่ตรงหน้าไม่ได้

“  เสร็จแล้วหรือครับ  ”
“  ค่ะ  ”
“  ผมก็เสร็จพอดี  ”

เขายื่นกระดาษที่ร่างภาพวาดไว้ให้หญิงสาว

“  ผมให้คุณ  ”
“  ให้ฉันหรือ  ”

จันทรามองงงๆ เธอรับกระดาษแผ่นนั้นมาดูแล้วตาโต

“  ภาพฉันนี่  ”

เขายิ้ม

“  ครับ ภาพของคุณ  ผมเห็นคุณกำลังนั่งตั้งใจทำงาน เลยวาดขึ้นมา  ดูธรรมชาติดี  ”
“  คุณวาดเก่งจัง ไม่นานเลย ขอบคุณมากเลยค่ะ  ”
“  ผมตั้งชื่อภาพให้คุณด้วยนะ  ”
“  หรือคะ ชื่ออะไรคะ  ”
“  แรเงาพระจันทร์  ”

จันทรามองหน้าเขา แปลกใจที่เขาตั้งชื่อนี้

“  ค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ จะรีบไปส่งรายงาน  ”

จันทราหอบงานและภาพวาดนั้นเดินจากไป ตะวันยิ้มอย่างสมใจ  มองตามเธอไป
ตะวันนั่งกินข้าวกับสุทธินีและตาเอี้ยง

“  ไม่ได้กินกับข้าวฝีมือตาซะนาน อร่อยจริงๆ กินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่า  ”
“  ก็กินมาแต่เล็กแต่น้อย จะไม่อร่อยได้อย่างไร  ”
“  ตอนเล็กๆ ตะวันเขาเลี้ยงง่ายไหมคะตา  ”

สุทธินีถามผู้เฒ่าที่เลี้ยงดูตะวันมา

“  ง่าย เลี้ยงง่ายมากเลย  แทบจะไม่ร้องก็ว่าได้ อดทนเกินเด็ก  ”
“  ผมต้องอดทนสิตา ไม่อย่างนั้นจะรอดมาล้างแค้นไอ้พวก กากเดนสุรียาบดีนั่นได้หรือ  ”
“  ตะวัน พวกเขาเป็นยังไงบ้างลูก  ”
“  ก็เสวยสุขกันเพลิดเพลิน พวกมันไม่รู้หรอกว่ากำลังเดินสู่กับดักของผม  ”
“  ระวังตัวนะลูก จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ ลูกต้องสำนึกไว้เสมอว่า กำลังเล่นอยู่กับเสือร้าย ถ้าลูกพลาด มันจะขย้ำลูกจนถึงตาย  ”
“  แม่ ผมจะเอาลูกเสือมาฉีกเนื้อ แล้วแล่หนังขยำขยี้ให้สะใจเลยแม่  ”
“  ตะวัน ลูกพูดอะไร แม่ไม่เข้าใจ  ”
“  ตะวัน ตาจะบอกอะไรให้ ถ้าเจ้าจะเล่นกับเสือ ต้องรู้ว่าเสือมันชอบอะไร มันหวงอะไร ถ้าเจ้ากระตุกหางของมันให้หลังมันยอกได้ เจ้าจะจัดการกับมันได้ไม่ลำบาก  ”

ตะวันมองสบตากับผู้เฒ่าที่เลี้ยงดูเขามา จะมีใครรู้จักความคิดของตะวันได้ดีเท่าตาเอี้ยง ผู้ที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เล่า
เสียงขลุ่ยดังแว่วหวาน สุทธินีนั่งฟังลูกชายเป่าขลุ่ยอย่างตั้งใจ ตาเอี้ยงเป็นห่วงชายหนุ่มนัก เขาควรมีชีวิตที่สดใส มีอนาคตที่ราบรื่นงดงาม ไม่ควรจะต้องไปจมอยู่กับวังวนความแค้นที่มีภัยมหันต์ ทุติยะ มีอำนาจ มีบารมี มีอิทธิพล ตะวันจะเอาตัวรอดได้หรือในแวดวงของคนพวกนั้น เสียงขลุ่ยของตะวันแว่วหวานเว้าวอน จะมีใครรู้บ้างว่า ที่บ้านสุรียาบดี เสียงซออู้ก็หวนไห้ดังกังวานเสนาะนักในยามราตรีที่พระจันทร์เต็มดวงกระจ่างฟ้า  ทุติยานอนสบายอารมณ์บนเก้าอี้นอน มองลูกสาวคนเล็กสีซออย่างเพลินใจ เสียงซอจบลง นายทุติยะมองลูกสาวอย่างสุดแสนรัก

“  รู้ไหม เวลาพ่อฟังเสียงซอของลูกแล้ว พ่อสบายใจอย่างที่สุดเลย  ”
“  ถ้าคุณพ่อสบายใจ จันทร์จะสีให้คุณพ่อฟังทุกวันเลยเอาไหมคะ  ”
“  เอาเป็นว่า ถ้าพ่อว่าง พ่อจะให้ลูกสีให้ฟังดีไหม  แล้วนี่ลูกใกล้สอบหรือยัง  ”
“  ใกล้แล้วค่ะ ต้นเดือนหน้าก็เริ่มสอบแล้ว  ”
“  นี่ลูกจะขึ้นปีสี่แล้วสินะ เผลอแป๊บเดียวลูกสาวของพ่อใกล้จะเป็นบัณฑิตแล้ว  ”
“  อีกตั้งปีกว่านะคะ  ”
“  ถ้าจบแล้วอยากไปเรียนต่อต่างประเทศไหม  ”
“  ไม่อยากค่ะ จันทร์ขอเรียนที่เมืองไทยนี่ดีกว่า จันทร์คิดถึงบ้าน คิดถึงคุณพ่อคุณแม่  ”
“  ตกลงอยู่เมืองไทยดีที่สุดใช่ไหม ก็ดี พ่อจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง คิดถึงลูก รู้ไหมลูกกับพี่จาม พ่อเป็นห่วงลูกมากกว่าพี่จามมากนัก  ”
“  เพราะพี่จามเก่งใช่ไหมคะ คุณพ่อเลยไม่ต้องห่วง  ”
“  ไม่ใช่หรอกลูก เพราะลูกเป็นคนมองคนในแง่ดีตลอดต่างหาก ลูกมองโลกสวยงามบริสุทธิไปหมด จนพ่อเป็นห่วง กลัวใครจะมารังแกลูกสาวของพ่อ  ”

จามจุรียังตอแยกับตะวันไม่ยอมหยุด ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหญิงสาวพอใจที่จะเรียกเขา เข้ามากระแนะกระแหน แล้วให้เขาก่อกวนอารมณ์ของหล่อนให้หงุดหงิด คงเพราะเธอ เคยมีแต่คนพะเน้าพะนอเอาใจ พูดอะไรว่าอะไรก็คล้อยตามกันไปหมด เมื่อมาเจอกับตะวันที่ใส่เธอไม่ยั้ง จามจุรีก็ได้ของเล่นที่ตื่นเต้น เร้าใจ เร้าอารมณ์  วันนี้ตะวันหอบแฟ้มบัญชี เข้ามาหาเธอ ตามที่เธอสั่ง
  
“  คงไม่ว่านะที่ฉันเรียกให้เอาบัญชีเข้ามาดูตอนนี้  ”
“  ผมจะไปว่าอะไรล่ะ เชิญท่านผู้จัดการตรวจดูตามสบาย  ”
“  ฮึ  ทำบัญชีได้เรียบร้อยดีนี่ ใช้ได้  ”
“  อ้าว ทำบัญชี ถ้ามีลบมีเซ็น ก็ระดับ ปวช.  สิเจ้านาย  ”
“  นี่ ทำไมต้องเรียกฉันเจ้านายด้วย ตำแหน่งฉันมี เรียกตำแหน่งก็ได้  ”
“  ครับ ท่านผู้จัดการ  ”
“  นี่ บ่ายนี้นายว่างไหม  ”
“  ไม่ว่าง  ”
“  แต่นายต้องว่าง ฉันจะพานายไปที่โรงงาน หัวหน้าช่างที่โน่นตั้งแง่จะขอขึ้นเงินเดือน ฉันต้องไปเคลีย  ”
“   แล้วผมไปเกี่ยวอะไรด้วย ผมอยู่ฝ่ายบัญชี ไม่ใช่ฝ่ายไล่คนออก  ”
“  เอ๊ะ  ฉันบอกให้ไปก็ไปสิ ปากอย่างนายน่าจะพูดกับพวกนั้นได้ดีกว่าฉัน  ”
“  ผิดไปแล้ว ผมว่าปากท่านผู้จัดการนะ พวกนั้นกลัวหงออยู่แล้ว  ”
“  นี่นายตะวัน ฉันเป็นผู้จัดการนะ สั่งอะไรก็ต้องทำตามสิ  ”
“  ผมจะทำเฉพาะหน้าที่ของผม ถ้าเกินหน้าที่ เสียใจ  ”
“  งั้นถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน  ”
“  โอย   โลกจะถล่ม ท่านผู้จัดการขอร้องคนอย่างผม  ”
“  แล้วจะเอายังไง  ฉันพูดกับนายดีๆแล้วนะ  ”
“  อย่าเพิ่งโมโหสิ  ท่านผู้จัดการขอร้องทั้งทีผมจะปฏิเสธได้อย่างไร  ”
“  ดี อย่างนั้นเอาบัญชีนี่ไปเก็บ แล้วออกไปกับฉันเลย  ”
“  แต่นี่มันยังไม่บ่ายเลยนะ  ”
“  ก็ใช่  ฉันหิวข้าว ไปกินข้าวก่อน แล้วค่อยเข้าโรงงาน มีปัญหาไหม  ”

ตะวันยักไหล่เดินกลับออกไป จามจุรีทรุดลงนั่ง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอ่อนข้อให้เขาถึงขนาดนี้
จามจุรีพาตะวันมากินข้าวที่ร้านอาหารหรูหราแห่งหนึ่ง เธอสั่งอาหารสามอย่าง แล้วถามตะวัน

“  นายจะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม ฉันสั่งไปสามอย่างแล้ว  ”
“  ไม่     ที่ท่านผู้จัดการสั่งก็เยอะแล้ว  ”
“  นี่  ออกมาข้างนอกอย่างนี้ ไม่ต้องเรียกฉันว่าท่ง ว่าท่านหรอกนะ ฟังแล้วเหมือนนายเรียกกระแทกฉันอย่างนั้นแหละ  ”
“  คุณนี่เอาใจยากจัง เรียกนั่นก็ไม่ได้ เรียกนี่ก็ไม่ถูก แล้วเมื่อไหร่ถึงจะถูกใจพระเดชพระคุณ  ”
“  นี่ นายอย่าทำให้ฉันอารมณ์เสียจะได้ไหม ฉันจะกินข้าวนะ อารมณ์เสียเดี๋ยวก็กินไม่ลง  ”

ตะวันเงียบ เขามองร้านอาหารหรูหราแห่งนี้อย่างขื่นๆ นี่พวกนี้อยู่ดีมีสุขบนทรัพย์มรดกของบิดาเขา ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ในขณะที่แม่ของเขา ต้องกลายไปเป็นคนจรจัด ขอข้าวเขากินข้างทางเป็นเวลานาน

“  ไง  นายคงไม่เคยมากินข้าวตามร้านหรูๆอย่างนี้สินะ  ”
“  ใช่  ไม่เคย  ”
“  อาหารที่นี่แพงมาก แต่ก็อร่อยมาก คนที่เข้ามากินที่นี่ได้ ต้องผู้ดีมีเงินจริงๆเท่านั้น เพราะค่าอาหารมื้อหนึ่ง บางทีแพงขนาดนายทำงานไปเกือบปี  ”
“  คนมีเงิน จะสรรหาอะไรที่มันวิเศษเลิศเลออย่างไรก็ได้ แต่บางครั้ง ไอ้ความวิเศษขนาดนั้นมันอาจเทียบไม่ได้กับคุณค่าของมันก็ได้  ”
“  นายพูดอะไร ฟังไม่เห็นรู้เรื่อง  ”
“  เปล่า ผมเพียงแต่เปรียบเทียบความวิเศษกับคุณค่าเท่านั้น วิเศษมาก คุณค่าสูง กับวิเศษมากแต่ไม่มีคุณค่าเลย  ”
“  พอเถอะ อาหารมาแล้ว กินซะปากนายจะได้ไม่ว่าง แล้วก็ลองรสชาติอาหารแพงๆนี่ดู จะได้รู้ว่าวิเศษมาก คุณค่ามากหรือเปล่า  ”

ตะวันนั่งกินเงียบๆ จามจุรีอดลอบมองเขาไม่ได้ เมื่อได้อยู่ใกล้ๆผู้ชายคนนี้มีอะไรที่ต่างไปจากคนอื่นๆที่เธอเคยพบ เขาดูแข็งๆกับเธอ แต่ในเวลาที่เขาทำอะไรมักจะแฝงความอ่อนโยนนุ่มนวลอยู่เสมอ ตะวันไม่ได้เชยๆเปิ่นๆเหมือนคนบ้านนอกตรงกันข้าม เขากลับดูดี บุคลิกดี การแต่งตัวก็สุภาพ รสนิยมดี เขาเป็นผู้ชายที่จัดว่าคมคายทีเดียว ผิวขาวนวลคงเป็นเพราะเป็นคนภาคเหนือ ตาคมดุ จามจุรีคุ้นกับดวงตาคู่นี้นักเหมือนเธอเคยเห็นที่ไหน   เสร็จจากการรับปะทานอาหารกลางวันจามจุรีก็พาตะวันไปที่โรงงานอุตสาหกรรม โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคส์ขนาดใหญ่ ป้าชื่อโรงงานใหญ่เห็นแต่ไกล ตะวันมองโรงงานด้วยสายตาที่น่ากลัว หากแต่จามจุรีไม่ทันสังเกต ผู้จัดการฝ่ายโรงงานออกมาต้อนรับจามจุรีด้วยท่าทีอ่อนน้อม

“  เชิญครับคุณจามจุรี เชิญที่ห้องรับรองเลยครับ เดี๋ยวผมจะให้ผู้ช่วยไปตามพวกนั้นมา  ”
“  ดี   ”

จามจุรีหันมาแนะนำตะวันกับผู้จักการโรงงาน

“  คุณนิทัต นี่คุณตะวัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีของบริษัทเรา  ”
“  สวัสดีครับ  ”
“  สวัสดีครับ  ”

นิทัตอายุอานามน่าจะเกือบห้าสิบปีตะวันคิดว่าถ้าเขาทำงานที่นี่มาตลอด อายุขนาดเขาน่าจะอยู่ทันพ่อของเขาตอนมีชีวิตอยู่ นิทัตพาจามจุรีและตะวันมาที่ห้องรับรองแขกของโรงงาน จามจุรีนั่งวางมาดบนโซฟายาว ตะวันเดินเลี่ยงไปนั่งที่โต๊ะรับแขกด้านข้าง หล่อนคุยกับนิทัตถึงปัญหาหัวหน้าช่างเรียกร้องขึ้นเงินเดือน



...พิมพ์พิลาสฒ์...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่