ช่องโหว่ที่ว่า ก็คือ อัตราดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนดไม่เกินร้อยละ 15 แต่สถาบันการเงินเลี่ยงบาลีเป็นค่า ธรรมเนียมการใช้วงเงิน ค่าติดตามทวงถาม ฯ กลายเป็นดอกเบี้ยสมัยนี้ร้อยละ 23 - ร้อยละ 27 ไปซะงั้น เป็นข้อกฎหมายที่ฟ้ารู้ ดินรู้ โลกรู้ว่ามีช่องโหว่ มีแต่นักกฎหมายไทยและคนไทยเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าช่องโหว่นี้ควรแก้ยังไง มาดูกันว่าเที่ยวนี้จะสำเร็จไหม ผมว่า ฟาวล์
http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000067997
ASTVผู้จัดการ - ลูกหนี้ทั้งในและนอกระบบเตรียมเฮ กระทรวงยุติธรรมเตรียมชงแก้เพิ่มโทษสถาบันการเงิน-นายทุนเรียกเก็บดอกเบี้ยโหดเกินอัตรา พร้อมเพิ่มคำจำกัดความ “ดอกเบี้ย” ป้องกันเล่นตุกติกแยกเก็บค่าธรรมเนียม-บริการ หลัง กม.เดิมใช้มานานกว่า 83 ปีไม่สอดคล้องทันเล่ห์เจ้าหนี้ หวังสกัดนิติกรรมอำพรางของธุรกิจสินเชื่อ บัตรเครดิต ไฟแนนซ์
วันนี้ (16 มิ.ย.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ย พ.ศ. ... เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า บทบัญญัติของ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพ.ศ.2475 มีการบังคับใช้มาเป็นเวลานานกว่า 83 ปีแล้ว เนื้อหาของกฎหมายไม่ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อน และระบบเศรษฐกิจที่มุ่งแข่งขันสร้างผลกำไรอย่างไม่สมเหตุสมผล เปิดโอกาสให้เจ้าหนี้ที่มีฐานะที่สูงกว่าเอารัดเอาเปรียบโดยอาศัยช่องว่างของกฎหมายดำเนินธุรกิจในรูปแบบของนายทุน หวังผลประโยชน์ตอบแทนจากดอกเบี้ยในอัตราที่สูง การกระทำในลักษณะนี้แอบแฝงการกู้ยืมเงินโดยอาศัยนิติกรรมหรือแอบแฝงในธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งการหลีกเลี่ยงกฎหมายด้วยการทำสัญญาประเภทอื่นที่ไม่ใช่การกู้ยืมเงิน เพื่อเรียกดอกเบี้ยโดยใช้วิธีซึ่งมีลักษณะของการบิดเบือนข้อกำหนดในสัญญาและเจตนาของคู่สัญญา
ส่วนลูกหนี้อยู่ในฐานะที่ด้อยโอกาสในการต่อรองทั้งทางด้านเศรษกิจและสังคม นอกจากนี้ การขาดความรู้ความเข้าใจทางด้านกฎหมายเป็นสาเหตุให้ถูกเอารัดเอาเปรียบได้ และในที่สุดจะต้องหาเงินมาชำระหนี้ด้วยวิธีการต่างๆ หรือถูกบังคับยึดทรัพย์สิน ส่งผลถึงปัญหาการก่ออาชญากรรมในสังคม ทั้งนี้ ปัจจุบันกฎหมายไม่สามารถทำให้นายทุนเกรงกลัวต่อโทษทางอาญาได้ ดังนั้น เพื่อให้การกู้ยิมเงินเป็นไปในทางที่ควรและเกิดความสงบสุขในสังคมจึงเห็นควรยกเลิก พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 และจำเป็นต้องแก้ไข เพิ่มเติมกฎหมายในพระราชบัญญัตินี้ เพื่อควบคุมเจ้าหนี้นอกระบบที่มีพฤติกรรมรุนแรง และป้องกันไม่ให้ผู้กู้ฟุ่มเฟือย
นางสุวณากล่าวอีกว่า ตามที่กฎหมายได้กำหนดห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งหากผู้ที่ทำผิดจะมีโทษจำคุกไม่เกิน1ปี ปรับไม่เกิน 1,000 บาท แต่ที่ประชุมได้เสนอบทลงโทษในร่าง พ.ร.บ.นี้คือหากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท ส่วนกลุ่มกระบวนการที่เป็นลักษณะนายทุนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งนี้หากผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเพิ่มโทษเป็น 2 เท่า
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เสนอว่าคำว่าดอกเบี้ยให้หมายรวมถึงค่าธรรมเนียม และค่าบริการที่เรียกเก็บด้วย เพราะที่ผ่านมาธุรกิจประเภทบัตรเครดิต ไฟแนนซ์ หรือหนี้ในระบบ มักมีการใช้ถ้อยคำอื่นทำให้เข้าใจว่าไม่ใช่ดอกเบี้ย แต่สุดท้ายแล้วคือดอกเบี้ยที่ผู้กู้ต้องชำระ เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย
--------------------------------------------------------------------------------
อันนี้ข่าวเก่าสมัยปี 52 ขนาดผู้พิพากษายังไม่กล้าไฝว้ กับค่าธรรมเนียม ช่วงนั้นมีโวยวายเสียงดังกันพักนึงแล้วก็เงียบหายไป
ผู้พิพากษาโดนดี ธนาคารกรุงศรีเรียกเก็บค่าทวงหนี้โหด แนะรื้อสัญญาไม่เป็นธรรม
นายพิชัย นิลทองคำ หัวหน้าคณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 5 เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ใช้บริการสินเชื่อ “สไมล์ แคช” ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งที่ผ่านมาได้ชำระเงินเกินมาตลอด แต่ล่าสุดมีเหตุส่งเงินช้าเพียง 1 วัน กลับมีเจ้าหน้าที่ โทร.มาทวงหนึ่งครั้ง ต่อมาก็ถูกเรียกเก็บค่าติดตามทวงถาม 250 บาท ซึ่งเห็นว่าไม่ยุติธรรม
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสัญญาเงินกู้อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ควรจะต้องมาดูแลเรื่องนี้
“กำหนดชำระวันที่ 1 แต่วันที่ 2 มีพนักงานโทร.มาทวงให้ชำระเงินต้น 3% พร้อมดอกเบี้ยค่าผิดนัดชำระและค่าทวงถาม 250 บาท ถ้าคนกู้วงเงิน 5 หมื่นบาท ก็เรียก ค่าทวง 250 บาท กู้เงินเป็นแสนเป็นล้านบาทค่าทวงถามก็ 250 บาท ไม่ยุติธรรม” นายพิชัย กล่าว
ทั้งนี้ หากกู้เงิน 5 หมื่น-1 แสนบาท แต่ส่งเงินช้าจะถูกคิดค่าทวงถามปีละ 2,500-2,750 บาท บวกดอกเบี้ยผิดนัดชำระอีกปีละ 24% เท่ากับจะต้องถูกคิดดอกเบี้ย 624% ซึ่งดอกเบี้ยสูงกว่าเงินกู้นอกระบบ
นอกจากนี้ ล่าสุดธนาคารส่งจดหมายขอเปลี่ยนแปลงสัญญาเงินกู้ และเปลี่ยนวิธีหักหนี้เงินกู้ใหม่ โดยให้มีผลวันที่ 1 มิ.ย. 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งจะหักค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยต่างๆ เพิ่มขึ้นกว่า 8 รายการ ในที่สุดจะเหลือต้นชำระไม่กี่บาท เช่น เมื่อชำระเงินจำนวนหนึ่งจะต้องถูกหักค่าธรรมเนียม ค่าปรับอื่น ดอกเบี้ย ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายจนถึงวันคำนวณดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในใบแจ้งหนี้สำหรับเงินกู้แบบมีกำหนดชำระคืนขั้นต่ำ เป็นต้น
นายพิชัย กล่าวว่า วิธีการของธนาคารเป็นการคิดซับซ้อนมาก แม้ว่าในสัญญาจะมีระบุว่าธนาคารสามารถจะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขได้ตามความเหมาะสม แต่ในหลักกฎหมายถ้าคู่สัญญาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง มีสิทธิที่จะคัดค้านได้
หัวหน้าคณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 5 กล่าวว่า แม้ว่าธปท. จะกำหนดเปิดกว้างว่าให้ธนาคารคิดค่าติดตามทวงหนี้ได้ตามความเป็นจริง แต่ในแง่กฎหมายการทวงติดตามหนี้จะต้องมีการส่งจดหมายเตือน (โนติส) ถึงจะคิดค่าใช้จ่ายได้ และสคบ. ออกประกาศให้ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นธุรกิจควบคุมสัญญา แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าธนาคารมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาภายหลัง
มนุษย์เงินกู้เตรียมเฮ! เล็งเพิ่มโทษแบงก์-นายทุนขาโหด พร้อมรื้อนิยาม “ดอกเบี้ย” แก้ช่องโหว่ที่ โหว่ มานานนมไม่มีใครคิดแก้
http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000067997
ASTVผู้จัดการ - ลูกหนี้ทั้งในและนอกระบบเตรียมเฮ กระทรวงยุติธรรมเตรียมชงแก้เพิ่มโทษสถาบันการเงิน-นายทุนเรียกเก็บดอกเบี้ยโหดเกินอัตรา พร้อมเพิ่มคำจำกัดความ “ดอกเบี้ย” ป้องกันเล่นตุกติกแยกเก็บค่าธรรมเนียม-บริการ หลัง กม.เดิมใช้มานานกว่า 83 ปีไม่สอดคล้องทันเล่ห์เจ้าหนี้ หวังสกัดนิติกรรมอำพรางของธุรกิจสินเชื่อ บัตรเครดิต ไฟแนนซ์
วันนี้ (16 มิ.ย.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ย พ.ศ. ... เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า บทบัญญัติของ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพ.ศ.2475 มีการบังคับใช้มาเป็นเวลานานกว่า 83 ปีแล้ว เนื้อหาของกฎหมายไม่ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อน และระบบเศรษฐกิจที่มุ่งแข่งขันสร้างผลกำไรอย่างไม่สมเหตุสมผล เปิดโอกาสให้เจ้าหนี้ที่มีฐานะที่สูงกว่าเอารัดเอาเปรียบโดยอาศัยช่องว่างของกฎหมายดำเนินธุรกิจในรูปแบบของนายทุน หวังผลประโยชน์ตอบแทนจากดอกเบี้ยในอัตราที่สูง การกระทำในลักษณะนี้แอบแฝงการกู้ยืมเงินโดยอาศัยนิติกรรมหรือแอบแฝงในธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งการหลีกเลี่ยงกฎหมายด้วยการทำสัญญาประเภทอื่นที่ไม่ใช่การกู้ยืมเงิน เพื่อเรียกดอกเบี้ยโดยใช้วิธีซึ่งมีลักษณะของการบิดเบือนข้อกำหนดในสัญญาและเจตนาของคู่สัญญา
ส่วนลูกหนี้อยู่ในฐานะที่ด้อยโอกาสในการต่อรองทั้งทางด้านเศรษกิจและสังคม นอกจากนี้ การขาดความรู้ความเข้าใจทางด้านกฎหมายเป็นสาเหตุให้ถูกเอารัดเอาเปรียบได้ และในที่สุดจะต้องหาเงินมาชำระหนี้ด้วยวิธีการต่างๆ หรือถูกบังคับยึดทรัพย์สิน ส่งผลถึงปัญหาการก่ออาชญากรรมในสังคม ทั้งนี้ ปัจจุบันกฎหมายไม่สามารถทำให้นายทุนเกรงกลัวต่อโทษทางอาญาได้ ดังนั้น เพื่อให้การกู้ยิมเงินเป็นไปในทางที่ควรและเกิดความสงบสุขในสังคมจึงเห็นควรยกเลิก พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 และจำเป็นต้องแก้ไข เพิ่มเติมกฎหมายในพระราชบัญญัตินี้ เพื่อควบคุมเจ้าหนี้นอกระบบที่มีพฤติกรรมรุนแรง และป้องกันไม่ให้ผู้กู้ฟุ่มเฟือย
นางสุวณากล่าวอีกว่า ตามที่กฎหมายได้กำหนดห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งหากผู้ที่ทำผิดจะมีโทษจำคุกไม่เกิน1ปี ปรับไม่เกิน 1,000 บาท แต่ที่ประชุมได้เสนอบทลงโทษในร่าง พ.ร.บ.นี้คือหากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท ส่วนกลุ่มกระบวนการที่เป็นลักษณะนายทุนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งนี้หากผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเพิ่มโทษเป็น 2 เท่า
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เสนอว่าคำว่าดอกเบี้ยให้หมายรวมถึงค่าธรรมเนียม และค่าบริการที่เรียกเก็บด้วย เพราะที่ผ่านมาธุรกิจประเภทบัตรเครดิต ไฟแนนซ์ หรือหนี้ในระบบ มักมีการใช้ถ้อยคำอื่นทำให้เข้าใจว่าไม่ใช่ดอกเบี้ย แต่สุดท้ายแล้วคือดอกเบี้ยที่ผู้กู้ต้องชำระ เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย
--------------------------------------------------------------------------------
อันนี้ข่าวเก่าสมัยปี 52 ขนาดผู้พิพากษายังไม่กล้าไฝว้ กับค่าธรรมเนียม ช่วงนั้นมีโวยวายเสียงดังกันพักนึงแล้วก็เงียบหายไป
ผู้พิพากษาโดนดี ธนาคารกรุงศรีเรียกเก็บค่าทวงหนี้โหด แนะรื้อสัญญาไม่เป็นธรรม
นายพิชัย นิลทองคำ หัวหน้าคณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 5 เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ใช้บริการสินเชื่อ “สไมล์ แคช” ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งที่ผ่านมาได้ชำระเงินเกินมาตลอด แต่ล่าสุดมีเหตุส่งเงินช้าเพียง 1 วัน กลับมีเจ้าหน้าที่ โทร.มาทวงหนึ่งครั้ง ต่อมาก็ถูกเรียกเก็บค่าติดตามทวงถาม 250 บาท ซึ่งเห็นว่าไม่ยุติธรรม
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสัญญาเงินกู้อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ควรจะต้องมาดูแลเรื่องนี้
“กำหนดชำระวันที่ 1 แต่วันที่ 2 มีพนักงานโทร.มาทวงให้ชำระเงินต้น 3% พร้อมดอกเบี้ยค่าผิดนัดชำระและค่าทวงถาม 250 บาท ถ้าคนกู้วงเงิน 5 หมื่นบาท ก็เรียก ค่าทวง 250 บาท กู้เงินเป็นแสนเป็นล้านบาทค่าทวงถามก็ 250 บาท ไม่ยุติธรรม” นายพิชัย กล่าว
ทั้งนี้ หากกู้เงิน 5 หมื่น-1 แสนบาท แต่ส่งเงินช้าจะถูกคิดค่าทวงถามปีละ 2,500-2,750 บาท บวกดอกเบี้ยผิดนัดชำระอีกปีละ 24% เท่ากับจะต้องถูกคิดดอกเบี้ย 624% ซึ่งดอกเบี้ยสูงกว่าเงินกู้นอกระบบ
นอกจากนี้ ล่าสุดธนาคารส่งจดหมายขอเปลี่ยนแปลงสัญญาเงินกู้ และเปลี่ยนวิธีหักหนี้เงินกู้ใหม่ โดยให้มีผลวันที่ 1 มิ.ย. 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งจะหักค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยต่างๆ เพิ่มขึ้นกว่า 8 รายการ ในที่สุดจะเหลือต้นชำระไม่กี่บาท เช่น เมื่อชำระเงินจำนวนหนึ่งจะต้องถูกหักค่าธรรมเนียม ค่าปรับอื่น ดอกเบี้ย ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายจนถึงวันคำนวณดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในใบแจ้งหนี้สำหรับเงินกู้แบบมีกำหนดชำระคืนขั้นต่ำ เป็นต้น
นายพิชัย กล่าวว่า วิธีการของธนาคารเป็นการคิดซับซ้อนมาก แม้ว่าในสัญญาจะมีระบุว่าธนาคารสามารถจะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขได้ตามความเหมาะสม แต่ในหลักกฎหมายถ้าคู่สัญญาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง มีสิทธิที่จะคัดค้านได้
หัวหน้าคณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 5 กล่าวว่า แม้ว่าธปท. จะกำหนดเปิดกว้างว่าให้ธนาคารคิดค่าติดตามทวงหนี้ได้ตามความเป็นจริง แต่ในแง่กฎหมายการทวงติดตามหนี้จะต้องมีการส่งจดหมายเตือน (โนติส) ถึงจะคิดค่าใช้จ่ายได้ และสคบ. ออกประกาศให้ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นธุรกิจควบคุมสัญญา แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าธนาคารมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาภายหลัง