เพื่อนยืมเงิน ทวงแล้วไม่คืน ใครผิดใครถูก ฉบับเข้าใจง่าย ๆ /โดย ลงทุนแมน

ใกล้สิ้นปีแล้วขอคืนด้วยนะเพื่อน
https://www.facebook.com/share/17qYbwPkK5/?mibextid=wwXIfr

สมมติว่าเพื่อนยืมเงินเรา 10,000 บาท โดยไม่ได้ทำสัญญากู้และไม่มีหลักฐานอื่น ๆ ประกอบ มีแค่สลิปโอนเงิน

ผ่านไปจนถึงกำหนดเวลาที่ตกลงกันว่าจะคืนเงิน แต่เพื่อนเรากลับไม่คืน แถมเริ่มเงียบ ไม่รับสาย ไม่ตอบแช็ต

หลายคนอาจคิดว่าสุดท้ายก็มีหนทางตามกฎหมายคือ การฟ้องเอาผิด

แต่รู้หรือไม่ว่า เคสแบบนี้ในความเป็นจริงแล้วเราฟ้องไม่ได้

แม้จะมีสลิปโอนเงินเป็นหลักฐานว่าเราโอนเงินให้ แต่ตามกฎหมายแล้ว หลักฐานแค่นี้ ยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีการกู้ยืมกัน..  

เรื่องของเจ้าหนี้และลูกหนี้ ในแบบฉบับเพื่อนยืมเงินกัน ตามกฎหมายแล้วมีอะไรที่เราต้องรู้บ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

ถ้าเรามองตามกฎหมายบางข้อแล้ว หลายคนอาจจะเข้าใจว่ากฎหมายปัจจุบันมีแนวโน้มคุ้มครองลูกหนี้มากกว่าเจ้าหนี้

ไม่ว่าจะเป็น การทวงหนี้ได้แค่วันละ 1 ครั้ง ภายในระยะเวลาที่กำหนด ห้ามโพสต์ทวงผ่านโซเชียลมีเดีย หรือห้ามประจานลูกหนี้ เพราะจะถือเป็นความผิดอาญา

ซึ่งผลที่ตามมา แทนที่จะได้เงินคืน เจ้าหนี้อาจจะโดนลูกหนี้ฟ้องกลับ และต้องจ่ายค่าเสียหายให้ลูกหนี้อีกต่างหาก

โดยพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาเรื้อรังที่มีมานาน เช่น การทวงหนี้แบบรุนแรง และไร้มนุษยธรรม

กฎหมายฉบับนี้บอกชัดเจนว่า แม้จะเป็นหนี้ แต่ลูกหนี้ก็ยังมีศักดิ์ศรีที่ต้องได้รับการเคารพ

ดังนั้นกฎหมายนี้ไม่ได้ห้ามเจ้าหนี้เรียกร้องสิทธิของตัวเอง แต่ต้องทำอย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีมนุษยธรรม

โดยคนที่มีสิทธิทวงหนี้ได้ ก็คือเจ้าหนี้ หรือผู้ทวงถามหนี้ที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และมีหนังสือมอบอำนาจ

ซึ่งเจ้าหนี้มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตาม พรบ.การทวงถามหนี้ ดังนี้
1. เจ้าหนี้ต้องติดต่อทวงหนี้เฉพาะที่อยู่ที่ลูกหนี้ให้ไว้ หากติดต่อไม่ได้ ถึงตามที่ทะเบียนบ้านหรือที่ทำงานได้

2. เจ้าหนี้สามารถติดต่อทวงหนี้ ได้ไม่เกินวันละ 1 ครั้ง  ภายในเวลาที่กำหนด คือ
วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น.
วันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น.

3. เจ้าหนี้ต้องยืนยันตัวตน จำนวนหนี้ และสิทธิในการทวงหนี้ โดยแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้อง

4. เจ้าหนี้ห้ามข่มขู่ คุกคาม หรือใช้คำพูดที่ดูหมิ่นลูกหนี้

5. เจ้าหนี้ห้ามเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เกี่ยวกับลูกหนี้ให้บุคคลอื่นทราบ

6. เจ้าหนี้ห้ามแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือทนายความ

7. เจ้าหนี้ห้ามให้ข้อมูลเท็จ

แต่ถ้าหากพบว่า มีเจ้าหนี้หรือผู้ที่ทวงถามหนี้ฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการทวงหนี้ ก็จะถือว่ามีความผิด และลูกหนี้สามารถแจ้งร้องเรียนเอาผิดได้ โดยมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับได้

แล้วถ้ากรณีลูกหนี้ ที่ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เจ้าหนี้ยังสามารถใช้สิทธิอะไรได้บ้าง ?

ก็ต้องบอกว่า ตามกฎหมายแล้ว การกู้ยืมเงินตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและลงชื่อชัดเจน

หรือถ้าไม่มี ก็สามารถใช้หลักฐานอื่นได้เช่น อีเมล ข้อความ แช็ตไลน์ ไฟล์เสียง โดยหลักฐานเหล่านี้ ต้องมีระบุลูกหนี้คือใคร ยอดหนี้เท่าไหร่ และเงื่อนไขหรือกำหนดคืนวันใด

ส่วนสลิปโอนเงิน เป็นเพียงหลักฐานว่าเราโอนเงินให้ ไม่ได้พิสูจน์ว่าคือเงินกู้

จะใช้เป็นหลักฐานได้ ต้องใช้ควบคู่กับแช็ตหรือข้อความอื่น ๆ ที่ระบุกันชัดเจนว่า ยืมเท่าไร จะคืนเมื่อไร ซึ่งเข้าข่ายหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ที่ศาลนำมาพิจารณาได้

ส่วนถ้ากรณีกู้ยืมเงินน้อยกว่า 2,000 บาท ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร แต่สามารถใช้พยานบุคคลมาให้การในศาลได้เลย

แล้วถ้าเป็นหนี้ จะต้องติดคุกหรือไม่ ?
ถ้าแบ่งง่าย ๆ หนี้ก็จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ หนี้ที่ติดคุก กับหนี้ที่ไม่ติดคุก

1. หนี้คดีแพ่ง (ไม่ติดคุก) ก็อย่างเช่น ยืมเงินเพื่อน, กู้เงินธนาคาร, ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน, สินเชื่อส่วนบุคคล, บัตรเครดิต แบบนี้ศาลจะสั่งให้แค่ยึดทรัพย์

2. หนี้คดีอาญา (ติดคุก) เช่น เช็คเด้งหรือฉ้อโกง, ตั้งใจยืมเงินแล้วไม่คืน อาจโดนจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ ขึ้นอยู่กับกรณี

หลายคนสงสัยว่า คนที่ยืมเงินแล้วไม่มีเงินจ่าย กับ คนที่ตั้งใจไม่คืนตั้งแต่แรก มันต่างกันอย่างไร ?

คำตอบคือ ให้ดูที่เจตนาตอนยืม..

กรณีที่ 1 ยืมแล้วไม่มีเงินจ่าย (คดีแพ่ง)
เช่น ให้เพื่อนยืมเงิน 10,000 บาท พอถึงกำหนดชำระ ยังไม่มีจ่าย แต่ไม่ได้หลบหนี ยังคุยกันได้ แบบนี้ถือว่าเป็นคดีแพ่ง

กรณีที่ 2 ตั้งใจโกงตั้งแต่แรก (คดีอาญา)
เช่น ให้เพื่อนยืมเงิน 10,000 บาท เพื่อนบอกว่าจะเอาไปทำธุรกิจ แต่จริง ๆ เอาไปเล่นพนัน พอทวงก็เงียบหาย เปลี่ยนเบอร์ ปิด Facebook หนี แบบนี้ถือว่าตั้งใจโกงตั้งแต่แรก เป็นคดีอาญา

จะเห็นได้ว่ายืมเงินเหมือนกัน ต่างกันที่เจตนาและการติดต่อสื่อสารระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้

ทางที่ดีที่สุด ทั้งสองฝ่ายควรพยายามคุยกันให้รู้เรื่องก่อนที่จะต้องกลายเป็นคดีความ

เพราะการฟ้องร้อง จะทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และเสียประวัติ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตในระยะยาว

ส่วนอีกกรณีการยืมเงินหรือชวนกันลงทุนในกลุ่มเพื่อนดาราที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ หากนับว่าเป็นการกู้ยืมและมีการเสนออัตราดอกเบี้ยมากถึง 4% ต่อเดือน หรือ 48% ต่อปี เคสนี้เป็นอย่างไร ?

สรุปเรื่องนี้คือ
- การกู้ยืม เจ้าหนี้สามารถทวงถามเงินต้นได้ และแม้จะไม่มีสัญญาเงินกู้ แต่ก็สามารถฟ้องร้องได้ หากมีหลักฐานที่บอกชัดว่ามีการกู้ยืมกันเกิดขึ้น ก็ใช้ได้เช่นกัน

- ส่วนเรื่องดอกเบี้ย จะทวงถามตามกฎหมายได้ ต้องมีหนังสือที่ผู้ยืมลงชื่อ ไม่อย่างนั้นถือว่าไม่มีการตกลงเรื่องดอกเบี้ย

แต่เนื่องจากเคสนี้มีอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ถ้ามีการฟ้องร้องกัน ต่อให้มีข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ย ก็จะถือว่าข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ และจะมีการนำส่วนของดอกเบี้ยที่จ่ายไปแล้วมาหักคืนเงินต้น

จะเห็นว่า แม้กฎหมายทวงถามหนี้จะถูกออกมาเพื่อปกป้องลูกหนี้จากการถูกคุกคาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าหนี้เสียสิทธิในการทวงถามแต่อย่างใด

เพียงแค่ต้องทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง มีมนุษยธรรม และไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น

ในทางกลับกัน ลูกหนี้เองก็ยังมีภาระหน้าที่ต้องคืนเงินตามสัญญา หากไม่ชำระ เจ้าหนี้ก็สามารถฟ้องร้องตามกฎหมายได้เช่นกัน ขอเพียงมีหลักฐานครบถ้วน

แต่การฟ้องร้อง ก็ย่อมมีค่าใช้จ่าย และบางทีอาจไม่คุ้มกับเงินที่ให้ยืมไป

ดังนั้นก่อนจะยืมเงิน หรือให้ยืมเงิน เราควรทำหลักฐานสัญญากู้ยืมให้เรียบร้อย

จะได้ไม่ต้องมามีปัญหาในอนาคต ที่ทำให้เสียทั้งเงินและเวลา ที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ต้องจบลง..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่