
เสียงกึกกักของโลหะ ที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ดังไม่หยุด เมื่อเข้าสู่ทางล้อเล็กๆ ทางที่ดูเหมือนเป็นการฝ่าเข้ามาในป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ ที่เบาะหลังมีร่างของชายหนุ่มนิรนามนอนซมอยู่โดยมือทั้งสองถูกมัดไขว้กันไว้ด้านหลัง หัวของเขาถูกคลุมด้วยถุงผ้าสีดำ รถยนต์คันสีแดงสนิมเขรอะคันนี้ขับตัดผ่านป่าเข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่บ้านไม้หลังสีม่วงลาเวนเดอร์คร่ำครึหลังหนึ่ง ประตูที่สีซีดจากการถูกแดดเลียเปิดออกพร้อมกับหญิงสาววัยรุ่นยืนทำหน้านิ่วอยู่
“โฮ่ง โฮ่ง” เจ้าเอิร์ลเห่าเมื่อเครื่องยนต์ดับลงอย่างกระทันหันก่อนที่ประตูรถทางคนขับจะถูกเปิดออก
“เฮ้ โรลาเซีย มาช่วยกันหน่อย ข้าคิดว่าเรามีปัญหาต้องจัดการ”
โรลาเซียทำหน้าฉงนเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะก้าวลงบันไดขั้นเล็กๆสามขั้นที่อยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านอย่างว่องไวเพื่อมาที่รถ
“ เกิดอะไรขึ้น เอเลซิส”
เอเลซิสไม่รอช้าที่จะเปิดประตูรถอีกข้างและลากชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่ที่เบาะหลังออกมา
“ เรื่องที่เจ้าจะต้องแปลกใจ”
เอเลซิสแบกชายหนุ่มที่โดนมัดด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ถึงเขาจะดูเหมือนมนุษย์ผู้ชายวัยกลางคน แต่ทว่าพละกำลังเขากลับมากล้นอย่างเหลือเชื่อ เอเลซิสพาดเขาไว้บนบ่าข้างหนึ่งโดยที่มีโรลาเซียคอยจับอยู่ด้านหลัง
“บอกข้าทีนี่มันเรื่องอะไรกัน” เธอกล่าวขณะที่กำลังตามเขาเข้าไปในบ้าน
เอเลซิสวางเขาไว้ที่โซฟาสีเขียวหน้าเตาผิงอย่างนิ่มนวล ก่อนที่จะหันขวับมาหาโรลาเซีย เอิร์ลวิ่งตามหลังเธอเข้ามาและกระโดดไปบนโซฟาที่ชายหนุ่มนอนอยู่ มันดมกลิ่นเขาแทบทุกซอกทุกมุม
“ ฟังนะโรลาเซีย ชายผู้นี้มองเห็นข้า.... เขาเห็นข้า ในขณะที่ข้ากำลังอำพรางตัวให้เฉพาะชายชื่อนิคเห็นได้เพียงผู้เดียว ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ อะไรนะ!” เธออุทานในทันทีทั้งทียังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ
“ เจ้าฟังไม่ผิดหรอก ข้าคิดว่าเขาอาจจะเป็นครึ่งภูตอีกคน นับตั้งแต่ชายคนที่ข้าพบก่อนหน้านี้”
“ท่านไม่เคยเล่าให้ข้าฟัง” โรลาเซียสวนกลับด้วยคิ้วที่ขมวด
“โทษที แต่ ข้ากะจะเล่าหลังจากที่เจ้ามาถึงเมื่อวาน”
“เกิดอะไรขึ้น เอเลซิส” เธอถามด้วยสีหน้ากังวล
“มนุษย์ครึ่งภูตถูกฆ่าตาย” น้ำเสียงเอเลซิสนิ่งเรียบและดูเย็นชาด้วยแววตา แต่บรรยากาศรอบตัวเขานั้นกลับแสดงถึงความหดหู่อย่างเห็นได้ชัด
“ก่อนหน้านี้มีครึ่งภูตคนหนึ่ง เขาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ข้าเฝ้าดูเขามาตลอดหลังจากพบเขา จนเมื่อเดือนก่อน ”
“เเล้วเกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?” เธอสวนขึ้นทันทีที่จบประโยค
“เขาตาย.... ทั้งตัวเขาและภรรยาที่กำลัง เอ่อ.....ท้อง” สายตาของเขามองต่ำลงที่พื้นพร้อมกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ นั่นทำให้โรลาเซียรู้ว่า เอเลซิสเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ไม่น้อยแม้แทบจะจับไม่ได้กับการแสดงออกที่ไร้ท่าทีของเขาเลยก็ตาม
“ ไม่ใช่ความผิดของท่านเอเลซิส” เธอพูดอย่างอ่อนโยนกับเขา
“ผู้ปกป้องมีหน้าที่ปกป้องสายเลือดของภูตจนกว่าจะเจอกับเขาผู้นั้น ผู้ที่จะเปลี่ยนชะตา ข้ากลัวว่าเขาคือคนผู้นั้นโรลาเซีย ไม่ก็ลูกของเขา ” เอเลซิสกล่าวจบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ ข้าเชื่อว่าเราต้องหาเขาพบ เพราะเขาถูกกำหนดมาให้ทำมัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่
“ ที่สำคัญ” เอเลซิสกล่าวขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าเธอ
“ พวกนั้น เป็นคนฆ่า พวกมันถูกส่งมายังโลก เหมือนกับพวกเรา”
ภูตสาวตาเบิกโพลงเมื่อได้ฟังประโยคที่เขาบอก “พวกนั้น ท่านรู้ได้ยังไงกัน”
“ รู้สิ จากเศษมายิกที่หลงเหลืออยู่ ไม่ผิดแน่ สมุนของภูตดำ มายิกที่ดูดกลืนชีวิตของสรรพสิ่ง”
ทันใดนั้นเอง ผมสีแดงเพลิงของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีแดงชาดจากโคนลงมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเธอนึกถึงเหตุการณ์ที่อีกฝั่งของมิติ
“พวกนั้นไม่ใช่ผู้ที่จะต้องก้าวข้ามศพข้า แต่เป็นข้าต่างหากเอเลซิส”
“ เฮ้ ไม่เอาน่ะ หยุดอารมณ์โมโหของเจ้าไว้ก่อนแม่สาวน้อย นี่ไม่ใช่เวลาลุย เราต้องช่วยกันแก้ปัญหาก่อน”
เขาทำเสียงนิ่งเหมือนเช่นเคยจนสีผมของเธอกลับมาเป็นปกติ
“เอ่อ ข้าฝากเจ้าดูชายคนนี้ซักประเดี๋ยว ข้ามีธุระที่พึ่งนึกได้ว่าต้องทำ อย่าให้เขาหนีไปได้เด็ดขาด ”
เขากล่าวพร้อมกับทำท่าเจ้ากี้เจ้าการขณะที่เดินจ้ำอ้าวออกไปนอกบ้าน เสียงสตาร์ทรถดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงก๊อกแก๊กของฝากระโปรงรถที่กำลังสั่นระริก ก่อนที่เขาจะขับมันหายวับออกไปทางต้นไม้ที่ขึ้นโอบล้อมบ้านไว้
บ้านหลังนี้ถูกอำพรางด้วยมายิกระดับสูง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นฝีมือของเขา ชายที่ขึ้นชื่อในเรื่องท่าทางเย็นชาและเย่อหยิ่ง “เอเลซิส” ภูตผู้มายังโลกเมื่อหลายร้อยปีก่อนเพื่อภารกิจบางอย่างที่ชี้ชะตาของทั้งสองโลก
โรลาเซียหันมาจ้องเจ้าเอิร์ลที่กำลังสนุกอยู่กับการงับเชือกรองเท้าของชายแปลกหน้า ที่นอนตะแคงอยู่บนโซฟาหน้าเตาผิง เขาใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำเงินขาวและกางเกงยีนส์ เธอไม่คุ้นชินกับการแต่งตัวแบบมนุษย์สักเท่าไรนัก จึงคงอยู่ในชุดของเวอร์เนล
“อื้ม อื้ม อือ ”
เสียงของชายแปลกหน้าดังอื้ออึงฟังไม่เป็นสำเนียงลอดผ่านถุงผ้าที่คลุมอยู่ออกมา เขาดิ้นสุดแรงเพื่อให้หลุดจากการพันธนาการ เอิร์ลครางเสียงดังเอ๋งเมื่อถูกเท้าของเขาถีบเข้าอย่างจัง เขาสะบัดตัวเองอย่างแรงจนตกลงมาที่พื้นเสียงดังโครม
“อู้วววววว”
เสียงอู้อี้ยังคงดังจากด้านใน เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นในท่านอนคว่ำที่ถูกมัดมือไว้ด้านหลังอย่างทุลักทุเล
“ เป็นข้าจะไม่ทำอย่างนั้นนะ ” เธอกล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปหาเขา
เขาเงียบไปชั่วขณะหลังจากได้ยินเสียงเธอ ก่อนที่เขาจะพยายามพูดเสียงดังอู้อี้ในลำคออีกจนเธอต้องส่ายหัว
“เอาล่ะ” เธอโพล่งออกมาเสียงดังพอที่จะให้เขาหยุด
“ฟังข้า เจ้ามนุษย์ อ่อ ไม่ใช่สิ เจ้าครึ่งภูต ข้าต้องเรียกเจ้าอย่างนี้สิถึงจะถูก” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงมีโทสะ
“ ตอนนี้ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ตอนนี้เจ้าอยู่ในที่ๆปลอดภัยที่สุด” เธอมองไปรอบๆบ้านอย่างชื่นชม
“ พวกเราไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเจ้า และเพื่อให้เจ้าแน่ใจว่าข้าจริงใจ ข้าจะขอเอาสิ่งที่คลุมหัวเจ้าออก เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดมั้ย”
“อืออือออ” เสียงขานรับดังออกมาจากผ้าคลุมสีดำ เขาพยักหน้าให้เธอสองสามที
โรลาเซียค่อยๆดึงผ้าที่ใช้คลุมหัวของเขาออก สิ่งแรกที่เธอเห็นคือผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มที่ยาวไปถึงต้นคอเขาทางด้านหลัง โรลาเซียจับแขนของเขาและค่อยๆพลิกตัวเขาให้หงายขึ้น
นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายด้วยน้ำตาที่รื้นอยู่ ใบหูของเขาแดงก่ำ เขามองตาของเธอด้วยแววตาที่ดูเหมือนกำลังทรมาน ดูจากใบหน้าเขาอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ แต่โรลาเซียรู้สึกถึงเขาได้เป็นพิเศษ เหมือนกับมีบางอย่างในตัวเขาที่สื่อออกมาถึงเธอ เธอค่อยๆใช้นิ้วเรียวยาวของเธอแกะเทปกาวออกจากปากเขาทีละนิด
“โอะ โอ๊ย” เสียงค่อยๆเล็ดลอดออกมา ก่อนที่เธอจะดึงพรวดเดียว “แคว่ก!”
“โอ๊ย!” เขาตะโกนดังจนเธอเองถึงกับสะดุ้ง
“เบาๆหน่อยสิ” เขาพาลเธออย่างอารมณ์เสีย
“โทษที เจ้ารู้มั้ยนี่เป็นการดึงกระดาษติดยางไม้ครั้งแรกของข้า” เธอพูดพลางขยำเทปกาวแล้วเขวี้ยงทิ้งไปในเตาผิงอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ บอกชั้นทีว่านี่ไม่ใช่การจับตัวมาเรียกค่าไถ่” เขาพูดพลางทำหน้ายักษ์ใส่เธอ
“ ไม่หรอก เอเลซิสจับเจ้ามาเป็นตัวประกันน่ะ” เธอตอบพลางกลั้นหัวเราะ
“ โว้ว ให้ตายสิ นี่เธอยังมีหน้ามาขำอีกหรือไง?” เขาพูดพร้อมกับขมวดคิ้วใส่
“ ก็ได้ๆ เจ้าต้องเชื่อฟังข้านะ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร ?”
“ เค..เคลวิน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่แน่ใจว่าควรตอบ
“โอเค เคลวิน เจ้าฟังข้าให้ดี ตอนนี้เจ้าอยู่ในอันตราย”
“หือ... ก็แหงล่ะ ไม่บอกก็รู้” เขาพูดด้วยสีหน้าที่ยังคงโกรธอยู่
“ มีพวกที่หวังให้คำทำนายไม่เป็นจริง พวกที่จะฆ่าล้างครึ่งภูตให้หมดจากโลกนี้ รวมถึงเจ้าด้วยเคลวิน”
“โอเคๆ คำทำนาย และ ครึ่งภูต” เขากลอกตาขึ้นด้านบนเหมือนกำลังคิดชั่วขณะ
“บ้าสิ้นดี”
เคลวินที่อยู่ในท่านอนหงายกำลังพูดกับหญิงปริศนา ที่เขาพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก หญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าครามดุจน้ำทะเลลึก มีปากบางสีชมพูเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้ม และมีผมสีแดงเพลิงเหมือนกับไฟที่กำลังลุกโชน
“ให้ตายสิทำไมพรรคนี้ชั้นเจอแต่ผู้หญิงหน้าแปลกๆ” เขาพึมพำกับตัวเอง
“เจ้าหน้าแดง ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่านิ เปล่าเลย ชั้นสบายดี” เขาตอบเธออย่างทันทีทันใด
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าจำเป็นต้องรอการตัดสินใจของเอเลซิส ดังนั้นข้าขอให้ท่านรออย่างสงบจนกว่าเขาจะกลับมา ท่านรับปากกับข้าได้หรือไม่”
“ แปลว่า เธอจะปล่อยชั้น” เขาแสดงท่าทางดีอกดีใจ
“ก็อาจจะ ถ้าท่านสัญญาว่าจะไม่หนี”
“ข้าสัญญา”
โรลาเซียพลิกตัวเขาให้อยู่ในท่าตะแคงก่อนที่เธอจะใช้มายิกแก้มัดให้เขา เขาหันกลับมาหาเธอด้วยสีหน้าสงสัย
“พวกเธอเป็นใครกันแน่”
“ ข้าไม่แน่ใจว่าการบอกท่านจะเป็นเรื่องที่ดี ต้องรอให้เอเลซิสกลับมาก่อน”
“อ่อ ตาลุงโหดคนนั้นน่ะหรอ ฝากไว้ก่อนเถอะ ซักวันชั้นจะเอาคืน แค่ก แค่ก” เขากล่าวด้วยสีหน้าเหมือนอยากล้างแค้นเอเลซิสเต็มประดา ก่อนที่จะสำลักน้ำลายตัวเอง
เคลวินรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยที่นี่ แต่เขากลับรู้สึกถึงบางอย่างที่เชื่อมโยงเขากับเธอ มันเป็นกลิ่นพิเศษเหมือนดอกไม้ เขาพยายามคิดถึงกลอุบายเพื่อที่จะหลบหนีไปจากที่แห่งนี้ บ้านที่มีผนังเป็นท่อนไม้ ก่อนที่จะหันไปเห็นสุนัขสีขาวขนปุกปุยเหมือนหมาป่า นอนหมอบอยู่ มันทำเสียงหงอยเมื่อเขาหันไปสบตา
“ก็เจ้าถีบมันเข้าอย่างจังนิ คงเจ็บมากสินะเจ้าเอิร์ล” เธอพูดพลางเดินไปหาหมาตัวนั้น
เคลวินสัมผัสได้ถึงแสงที่ส่องกระทบตาเมื่อเขาดันตัวเองขึ้นมาจากพื้น แสงส่องลอดผ่านประตูเปิดอ้าไว้เข้ามา “นั่นไงล่ะทางรอด” เหมือนกับขาของเขาถูกสั่งการจากสัญชาตญาณ เขากระโดดข้ามโซฟาตัวที่เขาเคยนอนอยู่ในทันที ก่อนที่จะไถลตัวออกไปนอกประตูผุๆและวิ่งสุดแรงเกิด ด้านหน้าของเขาเป็นป่า ตอนนี้เขายอมเลือกที่จะวิ่งฝ่าเข้าไปดีกว่าหันกลับไปเจอแม่สาวผมแดงประหลาดนั่น แต่ในทันทีทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าโดนฟาดด้วยของแข็งเข้าที่ท้ายทอยอย่างจัง ความเร็วทำให้แรงปะทะมากขึ้นจนไม่สามารถทรงตัวได้ เขาล้มและหมุนกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ
เคลวินลืมตาด้วยความงวยงง แสงที่สว่างวาบเข้ามาทำให้เขาต้องหรี่ตาลง มีวัตถุกำลังหล่นลงมาจากท้องฟ้า เมื่อเขาหยี่ตามอง บางอย่างที่ บินได้ มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ และ
“ตุ๊บ!”
“อั่ก!”
เขารู้สึกจุกแน่นตรงท้องราวกับโดนคุณนาย แพม ลูเทอรี่ หล่นลงมาทับอย่างจัง มีเสียงดังวิ๊งก้องในหู ทั้งอาการมึนหัวที่เหมือนกับเอาสมองมาปั่นรวมกัน จนแทบจะอาเจียนออกมา แต่บางสิ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ผมสีแดงเพลิงเด่นสะดุดตา มีกลิ่นหอมเมื่อไล้ไปตามปลายจมูก เธอจ้องมองมายังเขาอย่างห่วงใย เคลวินมองไปยังนัยน์ตาของเธอเพียงชั่วครู่เมื่อเธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ร่างกายของเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บอีกต่อไป มันดึงดูดเขาให้เข้าไปอยู่ข้างในนั้น ในดวงตาของเธอ
“ขอให้ความงดงามของดวงตาคู่นี้มีแค่ชั้นที่ได้เห็นมันใกล้ๆทีเถอะ” ความคิดแปลกๆผุดขึ้นในหัวเขา เขาสะบัดหัวให้ความคิดบ้าๆนั่นหลุดออกไป
“ เธอกำลังเรียกชื่อชั้น” เขาคิดในใจเพราะได้ยินชื่อตัวเองหลุดเข้ามาในหู ก่อนที่จะสังเกตุเห็นบางสิ่งวิบวับด้านหลังเธอ
“โอ้พระเจ้า นี่มันบ้าชัดๆ” เขาพูดเหมือนคนไม่มีสติ
“เจ้าผิดสัญญา” เธอพูดกับเขาขณะนั่งคร่อมตัวเขาอยู่ และใช้มือสองข้างกดแขนของเขาไว้แน่น
็HEART OF FAIRY บทที่4: จุดเริ่ม
เสียงกึกกักของโลหะ ที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ดังไม่หยุด เมื่อเข้าสู่ทางล้อเล็กๆ ทางที่ดูเหมือนเป็นการฝ่าเข้ามาในป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ ที่เบาะหลังมีร่างของชายหนุ่มนิรนามนอนซมอยู่โดยมือทั้งสองถูกมัดไขว้กันไว้ด้านหลัง หัวของเขาถูกคลุมด้วยถุงผ้าสีดำ รถยนต์คันสีแดงสนิมเขรอะคันนี้ขับตัดผ่านป่าเข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่บ้านไม้หลังสีม่วงลาเวนเดอร์คร่ำครึหลังหนึ่ง ประตูที่สีซีดจากการถูกแดดเลียเปิดออกพร้อมกับหญิงสาววัยรุ่นยืนทำหน้านิ่วอยู่
“โฮ่ง โฮ่ง” เจ้าเอิร์ลเห่าเมื่อเครื่องยนต์ดับลงอย่างกระทันหันก่อนที่ประตูรถทางคนขับจะถูกเปิดออก
“เฮ้ โรลาเซีย มาช่วยกันหน่อย ข้าคิดว่าเรามีปัญหาต้องจัดการ”
โรลาเซียทำหน้าฉงนเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะก้าวลงบันไดขั้นเล็กๆสามขั้นที่อยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านอย่างว่องไวเพื่อมาที่รถ
“ เกิดอะไรขึ้น เอเลซิส”
เอเลซิสไม่รอช้าที่จะเปิดประตูรถอีกข้างและลากชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่ที่เบาะหลังออกมา
“ เรื่องที่เจ้าจะต้องแปลกใจ”
เอเลซิสแบกชายหนุ่มที่โดนมัดด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ถึงเขาจะดูเหมือนมนุษย์ผู้ชายวัยกลางคน แต่ทว่าพละกำลังเขากลับมากล้นอย่างเหลือเชื่อ เอเลซิสพาดเขาไว้บนบ่าข้างหนึ่งโดยที่มีโรลาเซียคอยจับอยู่ด้านหลัง
“บอกข้าทีนี่มันเรื่องอะไรกัน” เธอกล่าวขณะที่กำลังตามเขาเข้าไปในบ้าน
เอเลซิสวางเขาไว้ที่โซฟาสีเขียวหน้าเตาผิงอย่างนิ่มนวล ก่อนที่จะหันขวับมาหาโรลาเซีย เอิร์ลวิ่งตามหลังเธอเข้ามาและกระโดดไปบนโซฟาที่ชายหนุ่มนอนอยู่ มันดมกลิ่นเขาแทบทุกซอกทุกมุม
“ ฟังนะโรลาเซีย ชายผู้นี้มองเห็นข้า.... เขาเห็นข้า ในขณะที่ข้ากำลังอำพรางตัวให้เฉพาะชายชื่อนิคเห็นได้เพียงผู้เดียว ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ อะไรนะ!” เธออุทานในทันทีทั้งทียังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ
“ เจ้าฟังไม่ผิดหรอก ข้าคิดว่าเขาอาจจะเป็นครึ่งภูตอีกคน นับตั้งแต่ชายคนที่ข้าพบก่อนหน้านี้”
“ท่านไม่เคยเล่าให้ข้าฟัง” โรลาเซียสวนกลับด้วยคิ้วที่ขมวด
“โทษที แต่ ข้ากะจะเล่าหลังจากที่เจ้ามาถึงเมื่อวาน”
“เกิดอะไรขึ้น เอเลซิส” เธอถามด้วยสีหน้ากังวล
“มนุษย์ครึ่งภูตถูกฆ่าตาย” น้ำเสียงเอเลซิสนิ่งเรียบและดูเย็นชาด้วยแววตา แต่บรรยากาศรอบตัวเขานั้นกลับแสดงถึงความหดหู่อย่างเห็นได้ชัด
“ก่อนหน้านี้มีครึ่งภูตคนหนึ่ง เขาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ข้าเฝ้าดูเขามาตลอดหลังจากพบเขา จนเมื่อเดือนก่อน ”
“เเล้วเกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?” เธอสวนขึ้นทันทีที่จบประโยค
“เขาตาย.... ทั้งตัวเขาและภรรยาที่กำลัง เอ่อ.....ท้อง” สายตาของเขามองต่ำลงที่พื้นพร้อมกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ นั่นทำให้โรลาเซียรู้ว่า เอเลซิสเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ไม่น้อยแม้แทบจะจับไม่ได้กับการแสดงออกที่ไร้ท่าทีของเขาเลยก็ตาม
“ ไม่ใช่ความผิดของท่านเอเลซิส” เธอพูดอย่างอ่อนโยนกับเขา
“ผู้ปกป้องมีหน้าที่ปกป้องสายเลือดของภูตจนกว่าจะเจอกับเขาผู้นั้น ผู้ที่จะเปลี่ยนชะตา ข้ากลัวว่าเขาคือคนผู้นั้นโรลาเซีย ไม่ก็ลูกของเขา ” เอเลซิสกล่าวจบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ ข้าเชื่อว่าเราต้องหาเขาพบ เพราะเขาถูกกำหนดมาให้ทำมัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่
“ ที่สำคัญ” เอเลซิสกล่าวขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าเธอ
“ พวกนั้น เป็นคนฆ่า พวกมันถูกส่งมายังโลก เหมือนกับพวกเรา”
ภูตสาวตาเบิกโพลงเมื่อได้ฟังประโยคที่เขาบอก “พวกนั้น ท่านรู้ได้ยังไงกัน”
“ รู้สิ จากเศษมายิกที่หลงเหลืออยู่ ไม่ผิดแน่ สมุนของภูตดำ มายิกที่ดูดกลืนชีวิตของสรรพสิ่ง”
ทันใดนั้นเอง ผมสีแดงเพลิงของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีแดงชาดจากโคนลงมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเธอนึกถึงเหตุการณ์ที่อีกฝั่งของมิติ
“พวกนั้นไม่ใช่ผู้ที่จะต้องก้าวข้ามศพข้า แต่เป็นข้าต่างหากเอเลซิส”
“ เฮ้ ไม่เอาน่ะ หยุดอารมณ์โมโหของเจ้าไว้ก่อนแม่สาวน้อย นี่ไม่ใช่เวลาลุย เราต้องช่วยกันแก้ปัญหาก่อน”
เขาทำเสียงนิ่งเหมือนเช่นเคยจนสีผมของเธอกลับมาเป็นปกติ
“เอ่อ ข้าฝากเจ้าดูชายคนนี้ซักประเดี๋ยว ข้ามีธุระที่พึ่งนึกได้ว่าต้องทำ อย่าให้เขาหนีไปได้เด็ดขาด ”
เขากล่าวพร้อมกับทำท่าเจ้ากี้เจ้าการขณะที่เดินจ้ำอ้าวออกไปนอกบ้าน เสียงสตาร์ทรถดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงก๊อกแก๊กของฝากระโปรงรถที่กำลังสั่นระริก ก่อนที่เขาจะขับมันหายวับออกไปทางต้นไม้ที่ขึ้นโอบล้อมบ้านไว้
บ้านหลังนี้ถูกอำพรางด้วยมายิกระดับสูง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นฝีมือของเขา ชายที่ขึ้นชื่อในเรื่องท่าทางเย็นชาและเย่อหยิ่ง “เอเลซิส” ภูตผู้มายังโลกเมื่อหลายร้อยปีก่อนเพื่อภารกิจบางอย่างที่ชี้ชะตาของทั้งสองโลก
โรลาเซียหันมาจ้องเจ้าเอิร์ลที่กำลังสนุกอยู่กับการงับเชือกรองเท้าของชายแปลกหน้า ที่นอนตะแคงอยู่บนโซฟาหน้าเตาผิง เขาใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำเงินขาวและกางเกงยีนส์ เธอไม่คุ้นชินกับการแต่งตัวแบบมนุษย์สักเท่าไรนัก จึงคงอยู่ในชุดของเวอร์เนล
“อื้ม อื้ม อือ ”
เสียงของชายแปลกหน้าดังอื้ออึงฟังไม่เป็นสำเนียงลอดผ่านถุงผ้าที่คลุมอยู่ออกมา เขาดิ้นสุดแรงเพื่อให้หลุดจากการพันธนาการ เอิร์ลครางเสียงดังเอ๋งเมื่อถูกเท้าของเขาถีบเข้าอย่างจัง เขาสะบัดตัวเองอย่างแรงจนตกลงมาที่พื้นเสียงดังโครม
“อู้วววววว”
เสียงอู้อี้ยังคงดังจากด้านใน เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นในท่านอนคว่ำที่ถูกมัดมือไว้ด้านหลังอย่างทุลักทุเล
“ เป็นข้าจะไม่ทำอย่างนั้นนะ ” เธอกล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปหาเขา
เขาเงียบไปชั่วขณะหลังจากได้ยินเสียงเธอ ก่อนที่เขาจะพยายามพูดเสียงดังอู้อี้ในลำคออีกจนเธอต้องส่ายหัว
“เอาล่ะ” เธอโพล่งออกมาเสียงดังพอที่จะให้เขาหยุด
“ฟังข้า เจ้ามนุษย์ อ่อ ไม่ใช่สิ เจ้าครึ่งภูต ข้าต้องเรียกเจ้าอย่างนี้สิถึงจะถูก” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงมีโทสะ
“ ตอนนี้ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ตอนนี้เจ้าอยู่ในที่ๆปลอดภัยที่สุด” เธอมองไปรอบๆบ้านอย่างชื่นชม
“ พวกเราไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเจ้า และเพื่อให้เจ้าแน่ใจว่าข้าจริงใจ ข้าจะขอเอาสิ่งที่คลุมหัวเจ้าออก เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดมั้ย”
“อืออือออ” เสียงขานรับดังออกมาจากผ้าคลุมสีดำ เขาพยักหน้าให้เธอสองสามที
โรลาเซียค่อยๆดึงผ้าที่ใช้คลุมหัวของเขาออก สิ่งแรกที่เธอเห็นคือผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มที่ยาวไปถึงต้นคอเขาทางด้านหลัง โรลาเซียจับแขนของเขาและค่อยๆพลิกตัวเขาให้หงายขึ้น
นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายด้วยน้ำตาที่รื้นอยู่ ใบหูของเขาแดงก่ำ เขามองตาของเธอด้วยแววตาที่ดูเหมือนกำลังทรมาน ดูจากใบหน้าเขาอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ แต่โรลาเซียรู้สึกถึงเขาได้เป็นพิเศษ เหมือนกับมีบางอย่างในตัวเขาที่สื่อออกมาถึงเธอ เธอค่อยๆใช้นิ้วเรียวยาวของเธอแกะเทปกาวออกจากปากเขาทีละนิด
“โอะ โอ๊ย” เสียงค่อยๆเล็ดลอดออกมา ก่อนที่เธอจะดึงพรวดเดียว “แคว่ก!”
“โอ๊ย!” เขาตะโกนดังจนเธอเองถึงกับสะดุ้ง
“เบาๆหน่อยสิ” เขาพาลเธออย่างอารมณ์เสีย
“โทษที เจ้ารู้มั้ยนี่เป็นการดึงกระดาษติดยางไม้ครั้งแรกของข้า” เธอพูดพลางขยำเทปกาวแล้วเขวี้ยงทิ้งไปในเตาผิงอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ บอกชั้นทีว่านี่ไม่ใช่การจับตัวมาเรียกค่าไถ่” เขาพูดพลางทำหน้ายักษ์ใส่เธอ
“ ไม่หรอก เอเลซิสจับเจ้ามาเป็นตัวประกันน่ะ” เธอตอบพลางกลั้นหัวเราะ
“ โว้ว ให้ตายสิ นี่เธอยังมีหน้ามาขำอีกหรือไง?” เขาพูดพร้อมกับขมวดคิ้วใส่
“ ก็ได้ๆ เจ้าต้องเชื่อฟังข้านะ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร ?”
“ เค..เคลวิน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่แน่ใจว่าควรตอบ
“โอเค เคลวิน เจ้าฟังข้าให้ดี ตอนนี้เจ้าอยู่ในอันตราย”
“หือ... ก็แหงล่ะ ไม่บอกก็รู้” เขาพูดด้วยสีหน้าที่ยังคงโกรธอยู่
“ มีพวกที่หวังให้คำทำนายไม่เป็นจริง พวกที่จะฆ่าล้างครึ่งภูตให้หมดจากโลกนี้ รวมถึงเจ้าด้วยเคลวิน”
“โอเคๆ คำทำนาย และ ครึ่งภูต” เขากลอกตาขึ้นด้านบนเหมือนกำลังคิดชั่วขณะ
“บ้าสิ้นดี”
เคลวินที่อยู่ในท่านอนหงายกำลังพูดกับหญิงปริศนา ที่เขาพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก หญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าครามดุจน้ำทะเลลึก มีปากบางสีชมพูเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้ม และมีผมสีแดงเพลิงเหมือนกับไฟที่กำลังลุกโชน
“ให้ตายสิทำไมพรรคนี้ชั้นเจอแต่ผู้หญิงหน้าแปลกๆ” เขาพึมพำกับตัวเอง
“เจ้าหน้าแดง ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่านิ เปล่าเลย ชั้นสบายดี” เขาตอบเธออย่างทันทีทันใด
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าจำเป็นต้องรอการตัดสินใจของเอเลซิส ดังนั้นข้าขอให้ท่านรออย่างสงบจนกว่าเขาจะกลับมา ท่านรับปากกับข้าได้หรือไม่”
“ แปลว่า เธอจะปล่อยชั้น” เขาแสดงท่าทางดีอกดีใจ
“ก็อาจจะ ถ้าท่านสัญญาว่าจะไม่หนี”
“ข้าสัญญา”
โรลาเซียพลิกตัวเขาให้อยู่ในท่าตะแคงก่อนที่เธอจะใช้มายิกแก้มัดให้เขา เขาหันกลับมาหาเธอด้วยสีหน้าสงสัย
“พวกเธอเป็นใครกันแน่”
“ ข้าไม่แน่ใจว่าการบอกท่านจะเป็นเรื่องที่ดี ต้องรอให้เอเลซิสกลับมาก่อน”
“อ่อ ตาลุงโหดคนนั้นน่ะหรอ ฝากไว้ก่อนเถอะ ซักวันชั้นจะเอาคืน แค่ก แค่ก” เขากล่าวด้วยสีหน้าเหมือนอยากล้างแค้นเอเลซิสเต็มประดา ก่อนที่จะสำลักน้ำลายตัวเอง
เคลวินรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยที่นี่ แต่เขากลับรู้สึกถึงบางอย่างที่เชื่อมโยงเขากับเธอ มันเป็นกลิ่นพิเศษเหมือนดอกไม้ เขาพยายามคิดถึงกลอุบายเพื่อที่จะหลบหนีไปจากที่แห่งนี้ บ้านที่มีผนังเป็นท่อนไม้ ก่อนที่จะหันไปเห็นสุนัขสีขาวขนปุกปุยเหมือนหมาป่า นอนหมอบอยู่ มันทำเสียงหงอยเมื่อเขาหันไปสบตา
“ก็เจ้าถีบมันเข้าอย่างจังนิ คงเจ็บมากสินะเจ้าเอิร์ล” เธอพูดพลางเดินไปหาหมาตัวนั้น
เคลวินสัมผัสได้ถึงแสงที่ส่องกระทบตาเมื่อเขาดันตัวเองขึ้นมาจากพื้น แสงส่องลอดผ่านประตูเปิดอ้าไว้เข้ามา “นั่นไงล่ะทางรอด” เหมือนกับขาของเขาถูกสั่งการจากสัญชาตญาณ เขากระโดดข้ามโซฟาตัวที่เขาเคยนอนอยู่ในทันที ก่อนที่จะไถลตัวออกไปนอกประตูผุๆและวิ่งสุดแรงเกิด ด้านหน้าของเขาเป็นป่า ตอนนี้เขายอมเลือกที่จะวิ่งฝ่าเข้าไปดีกว่าหันกลับไปเจอแม่สาวผมแดงประหลาดนั่น แต่ในทันทีทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าโดนฟาดด้วยของแข็งเข้าที่ท้ายทอยอย่างจัง ความเร็วทำให้แรงปะทะมากขึ้นจนไม่สามารถทรงตัวได้ เขาล้มและหมุนกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ
เคลวินลืมตาด้วยความงวยงง แสงที่สว่างวาบเข้ามาทำให้เขาต้องหรี่ตาลง มีวัตถุกำลังหล่นลงมาจากท้องฟ้า เมื่อเขาหยี่ตามอง บางอย่างที่ บินได้ มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ และ
“ตุ๊บ!”
“อั่ก!”
เขารู้สึกจุกแน่นตรงท้องราวกับโดนคุณนาย แพม ลูเทอรี่ หล่นลงมาทับอย่างจัง มีเสียงดังวิ๊งก้องในหู ทั้งอาการมึนหัวที่เหมือนกับเอาสมองมาปั่นรวมกัน จนแทบจะอาเจียนออกมา แต่บางสิ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ผมสีแดงเพลิงเด่นสะดุดตา มีกลิ่นหอมเมื่อไล้ไปตามปลายจมูก เธอจ้องมองมายังเขาอย่างห่วงใย เคลวินมองไปยังนัยน์ตาของเธอเพียงชั่วครู่เมื่อเธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ร่างกายของเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บอีกต่อไป มันดึงดูดเขาให้เข้าไปอยู่ข้างในนั้น ในดวงตาของเธอ
“ขอให้ความงดงามของดวงตาคู่นี้มีแค่ชั้นที่ได้เห็นมันใกล้ๆทีเถอะ” ความคิดแปลกๆผุดขึ้นในหัวเขา เขาสะบัดหัวให้ความคิดบ้าๆนั่นหลุดออกไป
“ เธอกำลังเรียกชื่อชั้น” เขาคิดในใจเพราะได้ยินชื่อตัวเองหลุดเข้ามาในหู ก่อนที่จะสังเกตุเห็นบางสิ่งวิบวับด้านหลังเธอ
“โอ้พระเจ้า นี่มันบ้าชัดๆ” เขาพูดเหมือนคนไม่มีสติ
“เจ้าผิดสัญญา” เธอพูดกับเขาขณะนั่งคร่อมตัวเขาอยู่ และใช้มือสองข้างกดแขนของเขาไว้แน่น