็HEART OF FAIRY บทที่4: จุดเริ่ม


เสียงกึกกักของโลหะ ที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ดังไม่หยุด เมื่อเข้าสู่ทางล้อเล็กๆ ทางที่ดูเหมือนเป็นการฝ่าเข้ามาในป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ  ที่เบาะหลังมีร่างของชายหนุ่มนิรนามนอนซมอยู่โดยมือทั้งสองถูกมัดไขว้กันไว้ด้านหลัง  หัวของเขาถูกคลุมด้วยถุงผ้าสีดำ รถยนต์คันสีแดงสนิมเขรอะคันนี้ขับตัดผ่านป่าเข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่บ้านไม้หลังสีม่วงลาเวนเดอร์คร่ำครึหลังหนึ่ง  ประตูที่สีซีดจากการถูกแดดเลียเปิดออกพร้อมกับหญิงสาววัยรุ่นยืนทำหน้านิ่วอยู่

“โฮ่ง โฮ่ง” เจ้าเอิร์ลเห่าเมื่อเครื่องยนต์ดับลงอย่างกระทันหันก่อนที่ประตูรถทางคนขับจะถูกเปิดออก

“เฮ้ โรลาเซีย มาช่วยกันหน่อย ข้าคิดว่าเรามีปัญหาต้องจัดการ”

โรลาเซียทำหน้าฉงนเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะก้าวลงบันไดขั้นเล็กๆสามขั้นที่อยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านอย่างว่องไวเพื่อมาที่รถ

“ เกิดอะไรขึ้น เอเลซิส”

เอเลซิสไม่รอช้าที่จะเปิดประตูรถอีกข้างและลากชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่ที่เบาะหลังออกมา

“ เรื่องที่เจ้าจะต้องแปลกใจ”

เอเลซิสแบกชายหนุ่มที่โดนมัดด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ถึงเขาจะดูเหมือนมนุษย์ผู้ชายวัยกลางคน แต่ทว่าพละกำลังเขากลับมากล้นอย่างเหลือเชื่อ  เอเลซิสพาดเขาไว้บนบ่าข้างหนึ่งโดยที่มีโรลาเซียคอยจับอยู่ด้านหลัง

“บอกข้าทีนี่มันเรื่องอะไรกัน” เธอกล่าวขณะที่กำลังตามเขาเข้าไปในบ้าน

            เอเลซิสวางเขาไว้ที่โซฟาสีเขียวหน้าเตาผิงอย่างนิ่มนวล ก่อนที่จะหันขวับมาหาโรลาเซีย  เอิร์ลวิ่งตามหลังเธอเข้ามาและกระโดดไปบนโซฟาที่ชายหนุ่มนอนอยู่ มันดมกลิ่นเขาแทบทุกซอกทุกมุม

“ ฟังนะโรลาเซีย ชายผู้นี้มองเห็นข้า.... เขาเห็นข้า ในขณะที่ข้ากำลังอำพรางตัวให้เฉพาะชายชื่อนิคเห็นได้เพียงผู้เดียว ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ


“ อะไรนะ!” เธออุทานในทันทีทั้งทียังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ

“ เจ้าฟังไม่ผิดหรอก ข้าคิดว่าเขาอาจจะเป็นครึ่งภูตอีกคน นับตั้งแต่ชายคนที่ข้าพบก่อนหน้านี้”

“ท่านไม่เคยเล่าให้ข้าฟัง” โรลาเซียสวนกลับด้วยคิ้วที่ขมวด

“โทษที แต่ ข้ากะจะเล่าหลังจากที่เจ้ามาถึงเมื่อวาน”

“เกิดอะไรขึ้น เอเลซิส” เธอถามด้วยสีหน้ากังวล

“มนุษย์ครึ่งภูตถูกฆ่าตาย” น้ำเสียงเอเลซิสนิ่งเรียบและดูเย็นชาด้วยแววตา แต่บรรยากาศรอบตัวเขานั้นกลับแสดงถึงความหดหู่อย่างเห็นได้ชัด

“ก่อนหน้านี้มีครึ่งภูตคนหนึ่ง เขาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ข้าเฝ้าดูเขามาตลอดหลังจากพบเขา จนเมื่อเดือนก่อน ”

“เเล้วเกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?” เธอสวนขึ้นทันทีที่จบประโยค

“เขาตาย.... ทั้งตัวเขาและภรรยาที่กำลัง เอ่อ.....ท้อง” สายตาของเขามองต่ำลงที่พื้นพร้อมกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ นั่นทำให้โรลาเซียรู้ว่า เอเลซิสเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ไม่น้อยแม้แทบจะจับไม่ได้กับการแสดงออกที่ไร้ท่าทีของเขาเลยก็ตาม

“ ไม่ใช่ความผิดของท่านเอเลซิส” เธอพูดอย่างอ่อนโยนกับเขา

“ผู้ปกป้องมีหน้าที่ปกป้องสายเลือดของภูตจนกว่าจะเจอกับเขาผู้นั้น ผู้ที่จะเปลี่ยนชะตา ข้ากลัวว่าเขาคือคนผู้นั้นโรลาเซีย ไม่ก็ลูกของเขา ” เอเลซิสกล่าวจบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“ ข้าเชื่อว่าเราต้องหาเขาพบ เพราะเขาถูกกำหนดมาให้ทำมัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่

“ ที่สำคัญ” เอเลซิสกล่าวขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าเธอ

“ พวกนั้น เป็นคนฆ่า พวกมันถูกส่งมายังโลก เหมือนกับพวกเรา”

ภูตสาวตาเบิกโพลงเมื่อได้ฟังประโยคที่เขาบอก “พวกนั้น ท่านรู้ได้ยังไงกัน”

“ รู้สิ จากเศษมายิกที่หลงเหลืออยู่ ไม่ผิดแน่ สมุนของภูตดำ มายิกที่ดูดกลืนชีวิตของสรรพสิ่ง”

ทันใดนั้นเอง ผมสีแดงเพลิงของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีแดงชาดจากโคนลงมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเธอนึกถึงเหตุการณ์ที่อีกฝั่งของมิติ

“พวกนั้นไม่ใช่ผู้ที่จะต้องก้าวข้ามศพข้า แต่เป็นข้าต่างหากเอเลซิส”

“ เฮ้ ไม่เอาน่ะ หยุดอารมณ์โมโหของเจ้าไว้ก่อนแม่สาวน้อย นี่ไม่ใช่เวลาลุย เราต้องช่วยกันแก้ปัญหาก่อน”
เขาทำเสียงนิ่งเหมือนเช่นเคยจนสีผมของเธอกลับมาเป็นปกติ

“เอ่อ ข้าฝากเจ้าดูชายคนนี้ซักประเดี๋ยว ข้ามีธุระที่พึ่งนึกได้ว่าต้องทำ  อย่าให้เขาหนีไปได้เด็ดขาด ”

เขากล่าวพร้อมกับทำท่าเจ้ากี้เจ้าการขณะที่เดินจ้ำอ้าวออกไปนอกบ้าน เสียงสตาร์ทรถดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงก๊อกแก๊กของฝากระโปรงรถที่กำลังสั่นระริก  ก่อนที่เขาจะขับมันหายวับออกไปทางต้นไม้ที่ขึ้นโอบล้อมบ้านไว้

บ้านหลังนี้ถูกอำพรางด้วยมายิกระดับสูง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นฝีมือของเขา  ชายที่ขึ้นชื่อในเรื่องท่าทางเย็นชาและเย่อหยิ่ง  “เอเลซิส” ภูตผู้มายังโลกเมื่อหลายร้อยปีก่อนเพื่อภารกิจบางอย่างที่ชี้ชะตาของทั้งสองโลก

โรลาเซียหันมาจ้องเจ้าเอิร์ลที่กำลังสนุกอยู่กับการงับเชือกรองเท้าของชายแปลกหน้า ที่นอนตะแคงอยู่บนโซฟาหน้าเตาผิง  เขาใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำเงินขาวและกางเกงยีนส์ เธอไม่คุ้นชินกับการแต่งตัวแบบมนุษย์สักเท่าไรนัก จึงคงอยู่ในชุดของเวอร์เนล
“อื้ม อื้ม อือ ”

เสียงของชายแปลกหน้าดังอื้ออึงฟังไม่เป็นสำเนียงลอดผ่านถุงผ้าที่คลุมอยู่ออกมา  เขาดิ้นสุดแรงเพื่อให้หลุดจากการพันธนาการ เอิร์ลครางเสียงดังเอ๋งเมื่อถูกเท้าของเขาถีบเข้าอย่างจัง  เขาสะบัดตัวเองอย่างแรงจนตกลงมาที่พื้นเสียงดังโครม

“อู้วววววว”

เสียงอู้อี้ยังคงดังจากด้านใน  เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นในท่านอนคว่ำที่ถูกมัดมือไว้ด้านหลังอย่างทุลักทุเล

“ เป็นข้าจะไม่ทำอย่างนั้นนะ ” เธอกล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปหาเขา

เขาเงียบไปชั่วขณะหลังจากได้ยินเสียงเธอ ก่อนที่เขาจะพยายามพูดเสียงดังอู้อี้ในลำคออีกจนเธอต้องส่ายหัว

“เอาล่ะ” เธอโพล่งออกมาเสียงดังพอที่จะให้เขาหยุด

“ฟังข้า เจ้ามนุษย์ อ่อ ไม่ใช่สิ เจ้าครึ่งภูต ข้าต้องเรียกเจ้าอย่างนี้สิถึงจะถูก” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงมีโทสะ

“ ตอนนี้ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ตอนนี้เจ้าอยู่ในที่ๆปลอดภัยที่สุด” เธอมองไปรอบๆบ้านอย่างชื่นชม

“ พวกเราไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเจ้า และเพื่อให้เจ้าแน่ใจว่าข้าจริงใจ  ข้าจะขอเอาสิ่งที่คลุมหัวเจ้าออก เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดมั้ย”

“อืออือออ” เสียงขานรับดังออกมาจากผ้าคลุมสีดำ เขาพยักหน้าให้เธอสองสามที

โรลาเซียค่อยๆดึงผ้าที่ใช้คลุมหัวของเขาออก สิ่งแรกที่เธอเห็นคือผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มที่ยาวไปถึงต้นคอเขาทางด้านหลัง โรลาเซียจับแขนของเขาและค่อยๆพลิกตัวเขาให้หงายขึ้น  

            นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายด้วยน้ำตาที่รื้นอยู่ ใบหูของเขาแดงก่ำ เขามองตาของเธอด้วยแววตาที่ดูเหมือนกำลังทรมาน ดูจากใบหน้าเขาอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ แต่โรลาเซียรู้สึกถึงเขาได้เป็นพิเศษ เหมือนกับมีบางอย่างในตัวเขาที่สื่อออกมาถึงเธอ เธอค่อยๆใช้นิ้วเรียวยาวของเธอแกะเทปกาวออกจากปากเขาทีละนิด

“โอะ โอ๊ย” เสียงค่อยๆเล็ดลอดออกมา  ก่อนที่เธอจะดึงพรวดเดียว “แคว่ก!”

“โอ๊ย!” เขาตะโกนดังจนเธอเองถึงกับสะดุ้ง

“เบาๆหน่อยสิ”  เขาพาลเธออย่างอารมณ์เสีย

“โทษที เจ้ารู้มั้ยนี่เป็นการดึงกระดาษติดยางไม้ครั้งแรกของข้า” เธอพูดพลางขยำเทปกาวแล้วเขวี้ยงทิ้งไปในเตาผิงอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ บอกชั้นทีว่านี่ไม่ใช่การจับตัวมาเรียกค่าไถ่” เขาพูดพลางทำหน้ายักษ์ใส่เธอ

“ ไม่หรอก เอเลซิสจับเจ้ามาเป็นตัวประกันน่ะ” เธอตอบพลางกลั้นหัวเราะ

“ โว้ว ให้ตายสิ นี่เธอยังมีหน้ามาขำอีกหรือไง?” เขาพูดพร้อมกับขมวดคิ้วใส่

“ ก็ได้ๆ เจ้าต้องเชื่อฟังข้านะ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร ?”

“ เค..เคลวิน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่แน่ใจว่าควรตอบ

“โอเค เคลวิน เจ้าฟังข้าให้ดี ตอนนี้เจ้าอยู่ในอันตราย”

“หือ... ก็แหงล่ะ ไม่บอกก็รู้” เขาพูดด้วยสีหน้าที่ยังคงโกรธอยู่

“ มีพวกที่หวังให้คำทำนายไม่เป็นจริง พวกที่จะฆ่าล้างครึ่งภูตให้หมดจากโลกนี้ รวมถึงเจ้าด้วยเคลวิน”

“โอเคๆ คำทำนาย และ ครึ่งภูต” เขากลอกตาขึ้นด้านบนเหมือนกำลังคิดชั่วขณะ

“บ้าสิ้นดี”

เคลวินที่อยู่ในท่านอนหงายกำลังพูดกับหญิงปริศนา ที่เขาพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก หญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าครามดุจน้ำทะเลลึก  มีปากบางสีชมพูเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้ม  และมีผมสีแดงเพลิงเหมือนกับไฟที่กำลังลุกโชน

“ให้ตายสิทำไมพรรคนี้ชั้นเจอแต่ผู้หญิงหน้าแปลกๆ” เขาพึมพำกับตัวเอง

“เจ้าหน้าแดง ไม่สบายหรือเปล่า”

“เปล่านิ เปล่าเลย ชั้นสบายดี”  เขาตอบเธออย่างทันทีทันใด

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าจำเป็นต้องรอการตัดสินใจของเอเลซิส ดังนั้นข้าขอให้ท่านรออย่างสงบจนกว่าเขาจะกลับมา ท่านรับปากกับข้าได้หรือไม่”

“ แปลว่า เธอจะปล่อยชั้น” เขาแสดงท่าทางดีอกดีใจ

“ก็อาจจะ ถ้าท่านสัญญาว่าจะไม่หนี”

“ข้าสัญญา”

โรลาเซียพลิกตัวเขาให้อยู่ในท่าตะแคงก่อนที่เธอจะใช้มายิกแก้มัดให้เขา  เขาหันกลับมาหาเธอด้วยสีหน้าสงสัย

“พวกเธอเป็นใครกันแน่”

“ ข้าไม่แน่ใจว่าการบอกท่านจะเป็นเรื่องที่ดี ต้องรอให้เอเลซิสกลับมาก่อน”

“อ่อ ตาลุงโหดคนนั้นน่ะหรอ ฝากไว้ก่อนเถอะ ซักวันชั้นจะเอาคืน แค่ก แค่ก” เขากล่าวด้วยสีหน้าเหมือนอยากล้างแค้นเอเลซิสเต็มประดา  ก่อนที่จะสำลักน้ำลายตัวเอง

เคลวินรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยที่นี่ แต่เขากลับรู้สึกถึงบางอย่างที่เชื่อมโยงเขากับเธอ มันเป็นกลิ่นพิเศษเหมือนดอกไม้  เขาพยายามคิดถึงกลอุบายเพื่อที่จะหลบหนีไปจากที่แห่งนี้ บ้านที่มีผนังเป็นท่อนไม้  ก่อนที่จะหันไปเห็นสุนัขสีขาวขนปุกปุยเหมือนหมาป่า นอนหมอบอยู่ มันทำเสียงหงอยเมื่อเขาหันไปสบตา

“ก็เจ้าถีบมันเข้าอย่างจังนิ คงเจ็บมากสินะเจ้าเอิร์ล” เธอพูดพลางเดินไปหาหมาตัวนั้น

เคลวินสัมผัสได้ถึงแสงที่ส่องกระทบตาเมื่อเขาดันตัวเองขึ้นมาจากพื้น แสงส่องลอดผ่านประตูเปิดอ้าไว้เข้ามา “นั่นไงล่ะทางรอด” เหมือนกับขาของเขาถูกสั่งการจากสัญชาตญาณ เขากระโดดข้ามโซฟาตัวที่เขาเคยนอนอยู่ในทันที ก่อนที่จะไถลตัวออกไปนอกประตูผุๆและวิ่งสุดแรงเกิด ด้านหน้าของเขาเป็นป่า ตอนนี้เขายอมเลือกที่จะวิ่งฝ่าเข้าไปดีกว่าหันกลับไปเจอแม่สาวผมแดงประหลาดนั่น  แต่ในทันทีทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าโดนฟาดด้วยของแข็งเข้าที่ท้ายทอยอย่างจัง ความเร็วทำให้แรงปะทะมากขึ้นจนไม่สามารถทรงตัวได้ เขาล้มและหมุนกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ
เคลวินลืมตาด้วยความงวยงง แสงที่สว่างวาบเข้ามาทำให้เขาต้องหรี่ตาลง มีวัตถุกำลังหล่นลงมาจากท้องฟ้า เมื่อเขาหยี่ตามอง บางอย่างที่ บินได้ มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ และ

“ตุ๊บ!”

“อั่ก!”
เขารู้สึกจุกแน่นตรงท้องราวกับโดนคุณนาย แพม ลูเทอรี่ หล่นลงมาทับอย่างจัง  มีเสียงดังวิ๊งก้องในหู ทั้งอาการมึนหัวที่เหมือนกับเอาสมองมาปั่นรวมกัน จนแทบจะอาเจียนออกมา แต่บางสิ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ผมสีแดงเพลิงเด่นสะดุดตา มีกลิ่นหอมเมื่อไล้ไปตามปลายจมูก เธอจ้องมองมายังเขาอย่างห่วงใย เคลวินมองไปยังนัยน์ตาของเธอเพียงชั่วครู่เมื่อเธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ร่างกายของเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บอีกต่อไป มันดึงดูดเขาให้เข้าไปอยู่ข้างในนั้น  ในดวงตาของเธอ

“ขอให้ความงดงามของดวงตาคู่นี้มีแค่ชั้นที่ได้เห็นมันใกล้ๆทีเถอะ” ความคิดแปลกๆผุดขึ้นในหัวเขา เขาสะบัดหัวให้ความคิดบ้าๆนั่นหลุดออกไป

“ เธอกำลังเรียกชื่อชั้น” เขาคิดในใจเพราะได้ยินชื่อตัวเองหลุดเข้ามาในหู  ก่อนที่จะสังเกตุเห็นบางสิ่งวิบวับด้านหลังเธอ

“โอ้พระเจ้า นี่มันบ้าชัดๆ” เขาพูดเหมือนคนไม่มีสติ

“เจ้าผิดสัญญา” เธอพูดกับเขาขณะนั่งคร่อมตัวเขาอยู่ และใช้มือสองข้างกดแขนของเขาไว้แน่น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่