เหตุเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้เอง (เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ไม่ได้แต่งแต่อย่างใด)
ช่วงเวลา ตี1 คุณแม่ผมเกิดอาการปวดท้องแล้วอาเจียนอย่างรุนแรง คุณพ่อเลยตัดสินใจ
รีบพานำส่งโรงพยาบาล ใกล้ๆบ้าน พอไปถึงโรงพยาบาล ก็รับตัวคุณแม่ไปข้าห้องฉุกเฉิน
รอคุณหมอที่เข้าเวรมาตรวจ ใช้เวลาสัก 1ชม.กว่าๆ รออาการทุเลาลงถึงปล่อยให้ไปรับยา
ถ้าใครที่เคยไปโรงพยาบาลตอนดึกๆหลังเที่ยงคืน ช่วงที่ไม่ค่อยมีคนไข้เท่าไหร่ จะรู้ดีว่า
ไฟที่เปิดสว่างตลอดเวลา จะถูกปิดดับลงเหลือแค่บางส่วนให้พอมองเห็นทางเดิน เท่านั้น
บรรยากาศค่อนข้างน่ากลัวพอสมควร
คุณแม่ผมพอรักษาเสร็จก็เดินออกมารอจ่ายเงินรับยากลับบ้าน ส่วนผมก็รอสแตนบายใน
รถยนต์ เวลาคุณแม่กับคุณพ่อรังยาเสร็จจะได้ขับรถมารับ
สักพักเภสัชก็เรียกชื่อคุณแม่ คุณพ่อผมก็บอกให้คุณแม่ไปยืนรอตรงแถวนั้น ส่วนคุณพ่อ
ก็เดินไปรับยาจ่ายเงินแทน คุณแม่ก็เดินมายืนตรหน้าห้องเอ็กซเรย์อะไรสักอย่าง ก็เห็น
คนนอนบนรถเข็นแถวๆหน้าห้องเอ็กซเรย์ เป็นผู้หญิงมีอายุ น่าจะสัก 75-80 นอนอยู่บน
เตียงที่พร้อมเข็น คุณแม่ก็ไม่ได้สนใจอะไรหันไปมคุณพ่อ แล้วก็หันมามองคนแก่อีกรอบ
คราวนี้คนแก่หันมายิ้มด้วย คุณแม่เล่าว่า แกยิ้มแบบคนแก่ใจดียิ้มน่ารักๆ คุณแม่ก็เลยยิ้ม
ตอบกลับไป แล้วคุณพ่อก็เดินกลับมาหา บอกให้คุณแม่ยืนรอแปปนึง ขอเข้าห้องน้ำก่อน
กลับบ้านหน่อย คุณแม่ก็ยืนรอปกติ.. สักพักมีบุรุษพยาบาลใส่ชุดสีเขียวๆ แบบชุดผ่าตัด
เดินออกมาจากห้องเล็กๆในห้องเอ็กซเรย์ แล้วเดินมาเข็นรถคนแก่ออกมาจากทางประตู
สิ่งที่คุณแม่เห็นแล้วแทบช็อค คือคนแก่ผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงเข็น มีสำรีอุดจมูกอยู่
แล้วตัวออกจะเขียวนิดๆแล้ว.. บุรุษพยาบาลค่อยๆเข็นเตียงนอนไปที่ประตูทางออกข้าง
หลังโรงพยาบาล ซึ่งเป็นทางลงไปห้องดับจิตที่อยู่ชั้นใต้ดิน อาการคุณแม่ตอนนั้นคือ
ช็อคทำไรไม่ถูก ขาอ่อนไม่มีแรงเลยเดินไปที่เก้าอี้ คุณพ่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็ตกใจ
ถามคุณแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณแม่ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง แล้วก็สั่งให้รีบโทรงอกผม
ให้รีบขับมารับที่ทางออกตอนนี้เลย ยังไงๆก็ไม่ยอมนั่งพัก จะกลับบ้านตอนนั้นให้ได้เลย
ในรถคุณแม่กับคุณพ่อปิดปากเงียบสนิทไม่ยอมเล่าอะไรเลย จะมาล่าก็ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
ผมพอฟังเท่านั้นแหละ ขนลุกเลยครับ เลยถือเอาประสบการณ์สุดช็อคของคุณแม่มาเล่า
แบ่งปันให้ฟัง.. ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ
เมื่อคุณแม่ผม.. ยืนยิ้มกับศพ!
ช่วงเวลา ตี1 คุณแม่ผมเกิดอาการปวดท้องแล้วอาเจียนอย่างรุนแรง คุณพ่อเลยตัดสินใจ
รีบพานำส่งโรงพยาบาล ใกล้ๆบ้าน พอไปถึงโรงพยาบาล ก็รับตัวคุณแม่ไปข้าห้องฉุกเฉิน
รอคุณหมอที่เข้าเวรมาตรวจ ใช้เวลาสัก 1ชม.กว่าๆ รออาการทุเลาลงถึงปล่อยให้ไปรับยา
ถ้าใครที่เคยไปโรงพยาบาลตอนดึกๆหลังเที่ยงคืน ช่วงที่ไม่ค่อยมีคนไข้เท่าไหร่ จะรู้ดีว่า
ไฟที่เปิดสว่างตลอดเวลา จะถูกปิดดับลงเหลือแค่บางส่วนให้พอมองเห็นทางเดิน เท่านั้น
บรรยากาศค่อนข้างน่ากลัวพอสมควร
คุณแม่ผมพอรักษาเสร็จก็เดินออกมารอจ่ายเงินรับยากลับบ้าน ส่วนผมก็รอสแตนบายใน
รถยนต์ เวลาคุณแม่กับคุณพ่อรังยาเสร็จจะได้ขับรถมารับ
สักพักเภสัชก็เรียกชื่อคุณแม่ คุณพ่อผมก็บอกให้คุณแม่ไปยืนรอตรงแถวนั้น ส่วนคุณพ่อ
ก็เดินไปรับยาจ่ายเงินแทน คุณแม่ก็เดินมายืนตรหน้าห้องเอ็กซเรย์อะไรสักอย่าง ก็เห็น
คนนอนบนรถเข็นแถวๆหน้าห้องเอ็กซเรย์ เป็นผู้หญิงมีอายุ น่าจะสัก 75-80 นอนอยู่บน
เตียงที่พร้อมเข็น คุณแม่ก็ไม่ได้สนใจอะไรหันไปมคุณพ่อ แล้วก็หันมามองคนแก่อีกรอบ
คราวนี้คนแก่หันมายิ้มด้วย คุณแม่เล่าว่า แกยิ้มแบบคนแก่ใจดียิ้มน่ารักๆ คุณแม่ก็เลยยิ้ม
ตอบกลับไป แล้วคุณพ่อก็เดินกลับมาหา บอกให้คุณแม่ยืนรอแปปนึง ขอเข้าห้องน้ำก่อน
กลับบ้านหน่อย คุณแม่ก็ยืนรอปกติ.. สักพักมีบุรุษพยาบาลใส่ชุดสีเขียวๆ แบบชุดผ่าตัด
เดินออกมาจากห้องเล็กๆในห้องเอ็กซเรย์ แล้วเดินมาเข็นรถคนแก่ออกมาจากทางประตู
สิ่งที่คุณแม่เห็นแล้วแทบช็อค คือคนแก่ผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงเข็น มีสำรีอุดจมูกอยู่
แล้วตัวออกจะเขียวนิดๆแล้ว.. บุรุษพยาบาลค่อยๆเข็นเตียงนอนไปที่ประตูทางออกข้าง
หลังโรงพยาบาล ซึ่งเป็นทางลงไปห้องดับจิตที่อยู่ชั้นใต้ดิน อาการคุณแม่ตอนนั้นคือ
ช็อคทำไรไม่ถูก ขาอ่อนไม่มีแรงเลยเดินไปที่เก้าอี้ คุณพ่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็ตกใจ
ถามคุณแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณแม่ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง แล้วก็สั่งให้รีบโทรงอกผม
ให้รีบขับมารับที่ทางออกตอนนี้เลย ยังไงๆก็ไม่ยอมนั่งพัก จะกลับบ้านตอนนั้นให้ได้เลย
ในรถคุณแม่กับคุณพ่อปิดปากเงียบสนิทไม่ยอมเล่าอะไรเลย จะมาล่าก็ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
ผมพอฟังเท่านั้นแหละ ขนลุกเลยครับ เลยถือเอาประสบการณ์สุดช็อคของคุณแม่มาเล่า
แบ่งปันให้ฟัง.. ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ