มีตำนาน ( อีกแล้ว ) เล่าว่าเพื่อนที่โรงเรียนนี้คนนึงเคยสร้างวีรกรรมทำเพราะเยาว์อยู่เรื่องนึง ตอนมันเรียนป.4 ที่นี่ ( ก่อนเราเข้าหนึ่งปี ) วันนึง มันเล่นจับเพื่อนมาล้างสมองกัน วิธีเล่นคือ เอาเพื่อนมามัดติดกับเสาธงหน้าโรงเรียนแบบตี๊งต่าง ไม่ได้มัดจริง ๆ ( ก็เสาเดียวกับที่ใช้เล่นโปลิศจับขโมยนั่นแหละ ) เสร็จแล้วมันก็ล้างสมองโดยใช้วิธีหมุนน็อตที่ยึดเสากับแกน ที่จริงแรงของเด็กขนาดนั้นไม่น่าจะหมุนน็อตได้จริง ๆ แต่ยังไงไม่รู้ มันดันหมุนได้ขึ้นมา แล้วก็โครมมมมมสนั่น เสาธงขนาดสูงราวสิบเมตรได้มั้งล้มฟาดลงมาใส่บันไดหินอ่อนของตึกอำนวยการที่ อยู่ตรงกลาง ดีที่ไม่มีใครโดนแจ๊คพ็อตในตอนนั้น
รอยร้าวของบันไดก็ยังมีให้เราเห็นซะด้วยสิ จึงอนุมานว่า ท่าทางตำนานวีรกรรมของมันคงจะเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ให้นึกอยากจะเล่าถึงเพื่อน ๆ บางคน คนนึงชื่อโชติ ตาจะปรือ ๆ กระพริบถี่ ๆ อยู่ตลอดเวลา รายนี้บ้านรวย ขนาดที่มีห้องที่จัดไว้สำหรับติดตั้งรางรถไฟของเล่นขนาดใหญ่ แบบที่มีฉากและพร็อพเสมือนจริงตกแต่งอยู่สองข้างทางชนิดเต็มอัตราศึกทีเดียว เชียว รู้สึกว่ารถไฟของมันจะขับเคลื่อนด้วยน้ำมันซะด้วย ไม่ใช่แบบใส่ถ่าน เวลามันแล่นไปบนรางเนี่ย ดูเหมือนของจริงมาก ๆ เชียวล่ะ
เราพูดถึงความรวยของบ้านมันก็เพื่อจะเล่าว่า มีอยู่วันนึง มันซื้อข้าวหมูแดงจานละสองบาทมากินตอนพักเที่ยง แล้วเกิดเดินชนกับเพื่อนอีกคน จานข้าวของมันเลยตกลงพื้น ลูกเศรษฐีอย่างมันควักเงินซื้อใหม่ได้อีกหลายเลย แต่ว่ามันกลับยืนร้องไห้อยู่กลางโรงอาหารซะงั้น เราเนี่ยงงกับมันจริง ๆ เลย มันเป็นคนที่ชอบวาดรูปมอเตอร์ไซค์มากด้วย แถมวาดได้สวยสมจริงอีกตะหาก พวกเราชอบเอากระดาษไปให้มันวาดให้ มันคงจะเบื่อ ๆ อยู่เหมือนกัน สุดท้ายมันเลยสอนพวกเราวาดซะเลย ทุกวันนี้เรายังวาดมอเตอร์ไซค์ตามแบบของมันได้อยู่ ถึงจะงามสู้ของมันไม่ได้ก็เถอะ
เพื่อนอีกคน ที่บ้านมันทำเครื่องกงเต็กขาย มันเลยมาสอนพวกเราพับเงินแบบของจีนโบราณ แบบที่รูปทรงคล้าย ๆ หมวกนั่นแหละ แต่เราคืนวิชามันไปแล้วล่ะ ขนาดเดี๋ยวนี้อยากจะพับนก ยังไปไม่เป็นเลย พับได้แต่เครื่องบิน แบบที่ขว้างให้มันร่อนฉวัดเฉวียนได้เท่านั้นเอง จำได้ว่าบ้านของเพื่อนคนนี้ใหญ่มาก ๆ เลย แบบที่มีห้องส้วมนับสิบทีเดียวเชียว อีกคนที่บ้านเป็นโรงพิมพ์หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น มันเลยแอบหนีบมาให้พวกเราอ่านกันก่อนจะวางแผงซะอีก บ้านมันทำกรงนกพิราบไว้ชั้นดาดฟ้า มีนกเป็นสิบเห็นจะได้ แล้วมันเป็นสปายหรือไงก็ไม่รู้ เห็นนกของมันมีที่เหน็บม้วนข้อความขนาดจิ๋วติดที่ขาด้วย
อีกอย่างที่มันเลี้ยงคือปลากัด มีขวดน้ำปลาใส่ปลากัดวางเรียงกันเป็นแถวยาวเลย ที่แน่ ๆ มันติดป้ายชื่อปลาแต่ละตัวเป็นชื่อนักมวยดัง ๆ ในสมัยนั้นด้วย อย่างแคสเซียส เคลย์ ( ตอนหลังเปลี่ยนเป็นโมฮัมหมัด อาลี ) โจ ฟราเซีย ( ที่เคยต่อยเคลย์กรามหักสลบเหมือดมาแล้ว ) และอื่น ๆ อีก บางวันมันก็เอาปลามากัดให้เราดู แต่เรารู้เลยว่า ไม่ใช่ทางของเรา เพราะเราเป็นเด็กจิตใจดี รักเมตตาสัตว์ เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นพี่เลี้ยงหลินปิงหลินฮุ่ยเป็นที่สุด
พูดถึงปลาขึ้นมา แถวบ้านเรามีซอยอยู่ซอยนึงชื่อ หมอเพชรหมอพลอย เป็นซอยขนาดเล็กมาก ๆ พอให้หมาห้าตัวเดินสวนสนามได้เท่านั้นแหละ แต่ถ้าเป็นเซนต์เบอร์นาร์ดก็คงเหลือแค่สองเท่านั้นมั้ง ที่นี่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาเงินปลาทองขนาดใหญ่ มีเป็นสิบ ๆ บ่อเห็นจะได้ เรากับเพื่อน ๆ จะไปซื้อปลาที่นี่ไปเลี้ยงกัน คือเอาไปใส่ในน้ำเดือด ๆ ใส่พริก ตะไคร้ ใบมะกรูด เหยาะน้ำปลาหน่อย หูย แซ่บอีหลี ( ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องต่อท้ายด้วยอีหรอกระด้อกระเดี้ยง่อยเปลี้ยเสียขา ) เอ้า ที่อ่าน ๆ มา เนี่ย เชื่อด้วยเหรอ เปล่า ก็บอกแล้วไงว่าเราเป็นเด็กจิตใจดี รักเมตตาสัตว์ โธ่ ก็เอาไปเลี้ยงในโหลในตู้แบบชาวบ้านเค้านั่นแหละ
มีอยู่วัน ตอนกำลังเดินดูปลากันอยู่ จู่ ๆ เราก็เหลือบไปเห็นบ่อปลารักเร่ ( น่าจะเป็นสายพันธ์นึงของปลาเงินปลาทอง ตัวมันจะสีดำ ) อารามดีใจ เราเลยรีบเดินไปที่บ่อ แต่เกิดลื่นหรือเฟอะฟะไปเองนี่แหละ เลยตกจากกระดานลงไปในน้ำซะงั้น ไอ้พวกเพื่อน ๆ มันหัวเราะขำกันยกใหญ่ แต่ไม่ได้จบแค่นั้น มันยังรวมหัวกันเรียกเราว่า " รักเร่" ตั้งแต่นั้นมาเรื่อย ๆ จนมันเบื่อกันไปเอง นี่เป็นหนึ่งในสมญาหรือฉายาที่เราเกลียดสุด ๆ ทีเดียวเชียว มันฟังดูเป็นคนเจ้าชู้ไก่แจ้ แหย่ไม่เลือกที่เลือกทางยังไงก็ไม่รู้ ที่จริงเราน่ะเป็นคนรักเดียวใจเดียว ไม่เคยเหลียวแลหญิงอื่น จะมีเผลอไผลไปบ้างก็แค่หางตาและหางใจเท่านั้นเอง หุหุ
หลังเลิกเรียนเรากับเพื่อนจะชอบเดินกลับบ้านทางซอยเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านร้านช่องแถวนั้นเรียกขานว่า "ตรอกขี้หมา" ซึ่งที่มาของมันก็มีให้เห็นเป็นหย่อม ๆ กอง ๆ ทั้งที่สด ๆ ใหม่ ๆ อุ่น ๆ จากก้น และแบบหลายแดดแผดเผาจนแห้งกรังก็มี นับเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับใช้ฝึกสมาธิเป็นที่สุด เพราะแค่เผลอหลุดสายตาจากพื้นตรงหน้าแค่แวบเดียว อาจเหยียบกับระเบิดมูลชีวภาพได้ และอาจจะได้เป็นเจ้าของฉายาบางอย่างที่ผลสำรวจทั่วโลกจากทุกสถาบันชั้นนำ ระบุว่า ไม่มีใครอยากได้ไว้ครอบครอง
ในโคลนตมอาจมีเพชรงามได้ฉันใดในตรอกขี้หมาย่อมมีสิ่งดี ๆ เหมือนกันฉันนั้น เพราะซอยนี้ยังมีชมพู่มะเหมี่ยวสีชมพูลูกใหญ่น่ากินอยู่ต้นนึงด้วย เดินกลับบ้านกับเพื่อน ๆ ผ่านมาทุก ๆ วัน เลยเกิดความคิดอันบรรเจิด สอยเลยดีกว่า แอบสอยไปได้ไม่กี่ครั้ง วันนึง เจ้าของคงเห็นอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ที่หน้าบ้าน เลยเปิดประตูพลัวะออกมา พวกเราเลยโกยแน่บแบบไม่คิดชีวิต สมาธ้ง สมาธิไม่มีเหลือแล้วทีนี้ กับระบ่งระเบิดก็ไม่สนอีกเหมือนกัน และหลังจากนั้นพวกเราก็ไม่กล้าเดินกลับบ้านทางนั้นอีกเลย เพราะกลัวเจ้าของจำได้ แล้วจะเอาขี้หมาปั้นเป็นลูกชมพู่มาให้กินแทนน่ะสิ
ในซอยบ้านเรา ไม่รู้เป็นอะไรจะมีไฟไหม้อยู่บ่อยครั้งมาก บ้านเราก็เฉียดไปเฉียดมาอยู่หลายครั้ง บางครั้งหลับ ๆ อยู่ก็ต้องตกใจตื่นขึ้นมาด้วยเสียงร้องตะโกนว่า " มีขวดมาขาย" ไม่ใช่สิ " ไฟไหม้ ๆ" แล้วเรากับพี่น้องก็จะงัว ๆ เงีย ๆ ขึ้นมาเก็บข้าวของหนีไฟกันยกใหญ่ สุดท้ายก็รอดมาได้ทุกทีสิน่า ที่สุดยอดแห่งความขี้เซาคือ เจ๊ที่อยู่ข้างบ้านเรา ไม่ว่าเสียงตะโกนโหวกเหวกจะอึกทึกครึกโครมแค่ไหน ทุกคนจะช่วยกันทุบประตูเรียกเท่าไหร่ เจ๊แกก็ยังหลับสบายไม่สะทกสะท้าน ( น่าเอาที่นอนแกมาโฆษณานะ น่าจะขายดี แบบใช้สโลแกนว่า " หลับสบายท้าทายไฟไหม้" )
ถ้าเกิดไหม้ขึ้นมาจริง ๆ ราว่าเจ๊แกคงได้กลายสภาพเป็นหมูย่างเมืองตรังแหงม ๆ เลย ครั้งหลังสุดเนี่ย เมื่อราวสิบห้าปีก่อนมั้ง คนแถวบ้านนั่งรถตุ๊ก ๆ กลับมาจากการเข้ากะกลางคืนราว ๆ ตีสองตีสาม เห็นคนกำลังเอาน้ำมันมาราด ๆ ที่ประตูแถว ๆ บ้านเราพอดี พอมันเห็นคนมา เลยทิ้งแกลลอน แล้วรีบซิ่งรถมอเตอร์ไซค์หนีไป เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าของบ้านเช่าแถบ ๆ ที่เราอยู่ยอมขายที่และบ้านทั้งหมดให้ผู้เช่าทุกคน รวมทั้งบ้านเราด้วย เพราะมีข่าวว่าเจ้าของที่พยายามจะเอาที่คืนจากพวกเราหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เพราะติดสัญญากันอยู่ สุดท้ายเลยใช้วิธีการชั่ว ๆ โดยไม่คิดถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น พอจำนนด้วยหลักฐานเลยต้องตัดใจยอมขายในที่สุด ( เราว่ามันต้องไม่เจริญแน่ ๆ )
ที่แน่ ๆ ไฟไหม้ครั้งย่อม ๆ ครั้งนึงก็เกิดขึ้นถัดจากบ้านเราไปราวสามร้อยเมตรได้ จึงเกิดพื้นที่โล่งราวไร่นึงเห็นจะได้ และถูกทิ้งร้างอยู่อย่างนั้นหลายปีเหมือนกันกว่าที่เจ้าของบ้านแถวนั้นจะก่อ ร่างสร้างตึกสร้างบ้านขึ้นมาแทน หลังไฟมอดใหม่ ๆ เรากับเด็ก ๆ แถวบ้านก็พากันเข้าไปเดินเล่นสำรวจกันอย่างหนุกหนานทีเดียว
เห็นกระสอบที่ถูกไฟไหม้และที่ยังไม่ไหม้เปียกน้ำกองพะเนินอยู่เพียบ เพราะบริเวณตรงนั้นมีโรงงานผลิตกระสอบอยู่ด้วย สำรวจไปสำรวจมา พวกเราก็ไปเจอขุมทรัพย์เหล็กเส้นและทองแดง เลยเก็บไปขายกันยกใหญ่ อู้ฟู่ไปตาม ๆ กันทีเดียวเชียว เพราะเหล็กกับทองแดงเนี่ยราคาดีมาก ๆ แถมร้านรับซื้อของเก่าก็อยู่ถัดจากบ้านเราไปไม่ถึงยี่สิบเมตรอีกตะหาก งานนี้เลยเปรมปรีดากันถ้วนทั่ว เว้นก็แต่คนที่ถูกไฟผลาญนั่นแหละ เราเห็นเจ้าของร้านเพชรมาขุดหาเพชรในร้านตัวเองด้วย ซึ่งตรงนั้น เค้าจ้างคนมาเฝ้าไว้ตลอดเวลาเลย เราเห็นเค้าเอาไม้ขุด ๆ เขี่ย ๆ แล้วก็หยิบเพชรขึ้นมาใส่ถุงเล็ก ๆ ที่เตรียมมา โหย นับเป็นช็อตที่แปลกตาและหาดูได้ยากจริง ๆ ช็อตนึงเลยก็ว่าได้
ถึงจะเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ไฟก็ทำให้เด็ก ๆ อย่างเรากับเพื่อน ๆ แถวนั้นมีที่โล่งโจ้งให้ได้วิ่งเล่นสนุกกัน และมันจึงกลายมาเป็นลานนัดพบปะสังสรรค์หลังเลิกเรียน รวมทั้งช่วงวันหยุดของพวกเราไปโดยปริยาย บางทีเราก็เล่นไฟไหม้เลียนแบบสถานที่มันซะเลย เอาลังกระดาษมามุงเป็นบ้าน แล้วเอาน้ำมันก๊าดราด จุดไฟเผา เสร็จแล้วก็เอาน้ำมาราดรดจนดับ แล้วก็ทวนซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเบื่อไปเอง บางวัน เด็กบางคนก็รวมหัวกันเอาก้อนหินขว้างแมวจนตายไปต่อหน้าต่อตา แต่เราไม่ได้มีส่วนด้วยหรอกนะ เพราะอย่างที่บอกแล้ว มันไม่ใช่แนวของเรา ถึงเราจะไม่ค่อยชอบแมวก็เถอะ
นอกจากจะเป็นสนามเด็กเล่นของพวกเราไปแล้ว ชาวบ้านแถวนั้นยังพร้อมใจกันเอาขยะมาทิ้งที่นี่กันด้วย พวกเราเลยมีขุมทรัพย์ใหม่ให้ค้นหา ก็ประเภทคุ้ยเขี่ยหาของที่พอจะเอาไปใช้ไปเล่นได้จากกองขยะนี่แหละ รวมทั้งที่กินได้ด้วย ขอย้ำว่า ที่กินได้ เพราะบางครั้งพวกเราก็จะเจอพูทุเรียนที่เจ้าของลืมแกะกิน จึงกลายมาเป็นลาภปากของพวกเราแทน ทุกอย่าง มันก็บวกรวมเป็นเรื่องสนุกซุก ๆ ซน ๆ ไปตามวัยผจญภัยนั่นแหละ
ตอนหลัง ๆ เริ่ม ๆจ ะมีการก่อสร้างขึ้น คราวนี้เลยมีกองทรายขนาดใหญ่ให้พวกเราได้เล่นกันกลางกรุงทีเดียวเชียว พวกเราจะเอาทรายมาปั้นเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเท่า ๆ ฝ่ามือ โดยใช้น้ำเป็นตัวช่วยประสานกระชับเนื้อทรายให้แน่น ใครปั้นเก่งไม่เก่ง เนียนแน่นแข็งแรงแค่ไหนก็ต้องมาวัดกันในสังเวียนนักสู้ ที่เอาทรายมาปูทำเป็นลานประลองยุทธ จับคู่วัดกันตามขนาดได้แล้ว ก็เป่ายิ้งฉุบ ใครแพ้ก็เอาลูกทรายของตัววางลงกลางสังเวียน คนชนะก็จะตั้งฝ่ามือเหนือลูกทรายของคู่ประลอง โดยเอานิ้วก้อยจดลอย ๆ เหนือลูก พร้อมกับใช้อีกมือถือลูกทรายของตัวเองไว้จดเหนือนิ้วโป้ง นับสามปั๊บก็ปล่อยลูกทรายจากมือให้หล่นลงไปกระแทกลูกทรายข้างล่าง ผลจะเห็นกันต่อหน้าต่อตาชนิดจะจะไปเลย
ถ้าลูกข้างล่างเนื้อไม่แน่น หรือแข็งแรงน้อยกว่าก็อาจจะแตกสลายไปในทันที หรือไม่ก็แค่บิ่น ๆ แหว่ง ๆ ไปบางส่วน ถ้ายังเหลือซักสามส่วนสี่ลูกก็ถือว่ายังไม่แพ้ เจ้าของลูกสามารถเอาขึ้นมาปรับแต่งบีบ ๆ อัด ๆ ให้แน่นขึ้นได้ แล้วก็สลับมาเป็นฝ่ายปล่อยลูกของตัวเองลงไปกระแทกบ้าง เล่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีคนแพ้คนชนะ หรือไม่ก็เสมอ นั่นหมายถึง แตกดับไปพร้อมกันทั้งสองลูก พวกเราจะเล่นกันไปเรื่อย ๆ แบบนี้ จนกว่าจะมืดหรือเลิก และแยกย้ายกันกลับบ้าน
บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง—13/49 สี่พระยามหาสนุก
รอยร้าวของบันไดก็ยังมีให้เราเห็นซะด้วยสิ จึงอนุมานว่า ท่าทางตำนานวีรกรรมของมันคงจะเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ให้นึกอยากจะเล่าถึงเพื่อน ๆ บางคน คนนึงชื่อโชติ ตาจะปรือ ๆ กระพริบถี่ ๆ อยู่ตลอดเวลา รายนี้บ้านรวย ขนาดที่มีห้องที่จัดไว้สำหรับติดตั้งรางรถไฟของเล่นขนาดใหญ่ แบบที่มีฉากและพร็อพเสมือนจริงตกแต่งอยู่สองข้างทางชนิดเต็มอัตราศึกทีเดียว เชียว รู้สึกว่ารถไฟของมันจะขับเคลื่อนด้วยน้ำมันซะด้วย ไม่ใช่แบบใส่ถ่าน เวลามันแล่นไปบนรางเนี่ย ดูเหมือนของจริงมาก ๆ เชียวล่ะ
เราพูดถึงความรวยของบ้านมันก็เพื่อจะเล่าว่า มีอยู่วันนึง มันซื้อข้าวหมูแดงจานละสองบาทมากินตอนพักเที่ยง แล้วเกิดเดินชนกับเพื่อนอีกคน จานข้าวของมันเลยตกลงพื้น ลูกเศรษฐีอย่างมันควักเงินซื้อใหม่ได้อีกหลายเลย แต่ว่ามันกลับยืนร้องไห้อยู่กลางโรงอาหารซะงั้น เราเนี่ยงงกับมันจริง ๆ เลย มันเป็นคนที่ชอบวาดรูปมอเตอร์ไซค์มากด้วย แถมวาดได้สวยสมจริงอีกตะหาก พวกเราชอบเอากระดาษไปให้มันวาดให้ มันคงจะเบื่อ ๆ อยู่เหมือนกัน สุดท้ายมันเลยสอนพวกเราวาดซะเลย ทุกวันนี้เรายังวาดมอเตอร์ไซค์ตามแบบของมันได้อยู่ ถึงจะงามสู้ของมันไม่ได้ก็เถอะ
เพื่อนอีกคน ที่บ้านมันทำเครื่องกงเต็กขาย มันเลยมาสอนพวกเราพับเงินแบบของจีนโบราณ แบบที่รูปทรงคล้าย ๆ หมวกนั่นแหละ แต่เราคืนวิชามันไปแล้วล่ะ ขนาดเดี๋ยวนี้อยากจะพับนก ยังไปไม่เป็นเลย พับได้แต่เครื่องบิน แบบที่ขว้างให้มันร่อนฉวัดเฉวียนได้เท่านั้นเอง จำได้ว่าบ้านของเพื่อนคนนี้ใหญ่มาก ๆ เลย แบบที่มีห้องส้วมนับสิบทีเดียวเชียว อีกคนที่บ้านเป็นโรงพิมพ์หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น มันเลยแอบหนีบมาให้พวกเราอ่านกันก่อนจะวางแผงซะอีก บ้านมันทำกรงนกพิราบไว้ชั้นดาดฟ้า มีนกเป็นสิบเห็นจะได้ แล้วมันเป็นสปายหรือไงก็ไม่รู้ เห็นนกของมันมีที่เหน็บม้วนข้อความขนาดจิ๋วติดที่ขาด้วย
อีกอย่างที่มันเลี้ยงคือปลากัด มีขวดน้ำปลาใส่ปลากัดวางเรียงกันเป็นแถวยาวเลย ที่แน่ ๆ มันติดป้ายชื่อปลาแต่ละตัวเป็นชื่อนักมวยดัง ๆ ในสมัยนั้นด้วย อย่างแคสเซียส เคลย์ ( ตอนหลังเปลี่ยนเป็นโมฮัมหมัด อาลี ) โจ ฟราเซีย ( ที่เคยต่อยเคลย์กรามหักสลบเหมือดมาแล้ว ) และอื่น ๆ อีก บางวันมันก็เอาปลามากัดให้เราดู แต่เรารู้เลยว่า ไม่ใช่ทางของเรา เพราะเราเป็นเด็กจิตใจดี รักเมตตาสัตว์ เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นพี่เลี้ยงหลินปิงหลินฮุ่ยเป็นที่สุด
พูดถึงปลาขึ้นมา แถวบ้านเรามีซอยอยู่ซอยนึงชื่อ หมอเพชรหมอพลอย เป็นซอยขนาดเล็กมาก ๆ พอให้หมาห้าตัวเดินสวนสนามได้เท่านั้นแหละ แต่ถ้าเป็นเซนต์เบอร์นาร์ดก็คงเหลือแค่สองเท่านั้นมั้ง ที่นี่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาเงินปลาทองขนาดใหญ่ มีเป็นสิบ ๆ บ่อเห็นจะได้ เรากับเพื่อน ๆ จะไปซื้อปลาที่นี่ไปเลี้ยงกัน คือเอาไปใส่ในน้ำเดือด ๆ ใส่พริก ตะไคร้ ใบมะกรูด เหยาะน้ำปลาหน่อย หูย แซ่บอีหลี ( ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องต่อท้ายด้วยอีหรอกระด้อกระเดี้ยง่อยเปลี้ยเสียขา ) เอ้า ที่อ่าน ๆ มา เนี่ย เชื่อด้วยเหรอ เปล่า ก็บอกแล้วไงว่าเราเป็นเด็กจิตใจดี รักเมตตาสัตว์ โธ่ ก็เอาไปเลี้ยงในโหลในตู้แบบชาวบ้านเค้านั่นแหละ
มีอยู่วัน ตอนกำลังเดินดูปลากันอยู่ จู่ ๆ เราก็เหลือบไปเห็นบ่อปลารักเร่ ( น่าจะเป็นสายพันธ์นึงของปลาเงินปลาทอง ตัวมันจะสีดำ ) อารามดีใจ เราเลยรีบเดินไปที่บ่อ แต่เกิดลื่นหรือเฟอะฟะไปเองนี่แหละ เลยตกจากกระดานลงไปในน้ำซะงั้น ไอ้พวกเพื่อน ๆ มันหัวเราะขำกันยกใหญ่ แต่ไม่ได้จบแค่นั้น มันยังรวมหัวกันเรียกเราว่า " รักเร่" ตั้งแต่นั้นมาเรื่อย ๆ จนมันเบื่อกันไปเอง นี่เป็นหนึ่งในสมญาหรือฉายาที่เราเกลียดสุด ๆ ทีเดียวเชียว มันฟังดูเป็นคนเจ้าชู้ไก่แจ้ แหย่ไม่เลือกที่เลือกทางยังไงก็ไม่รู้ ที่จริงเราน่ะเป็นคนรักเดียวใจเดียว ไม่เคยเหลียวแลหญิงอื่น จะมีเผลอไผลไปบ้างก็แค่หางตาและหางใจเท่านั้นเอง หุหุ
หลังเลิกเรียนเรากับเพื่อนจะชอบเดินกลับบ้านทางซอยเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านร้านช่องแถวนั้นเรียกขานว่า "ตรอกขี้หมา" ซึ่งที่มาของมันก็มีให้เห็นเป็นหย่อม ๆ กอง ๆ ทั้งที่สด ๆ ใหม่ ๆ อุ่น ๆ จากก้น และแบบหลายแดดแผดเผาจนแห้งกรังก็มี นับเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับใช้ฝึกสมาธิเป็นที่สุด เพราะแค่เผลอหลุดสายตาจากพื้นตรงหน้าแค่แวบเดียว อาจเหยียบกับระเบิดมูลชีวภาพได้ และอาจจะได้เป็นเจ้าของฉายาบางอย่างที่ผลสำรวจทั่วโลกจากทุกสถาบันชั้นนำ ระบุว่า ไม่มีใครอยากได้ไว้ครอบครอง
ในโคลนตมอาจมีเพชรงามได้ฉันใดในตรอกขี้หมาย่อมมีสิ่งดี ๆ เหมือนกันฉันนั้น เพราะซอยนี้ยังมีชมพู่มะเหมี่ยวสีชมพูลูกใหญ่น่ากินอยู่ต้นนึงด้วย เดินกลับบ้านกับเพื่อน ๆ ผ่านมาทุก ๆ วัน เลยเกิดความคิดอันบรรเจิด สอยเลยดีกว่า แอบสอยไปได้ไม่กี่ครั้ง วันนึง เจ้าของคงเห็นอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ที่หน้าบ้าน เลยเปิดประตูพลัวะออกมา พวกเราเลยโกยแน่บแบบไม่คิดชีวิต สมาธ้ง สมาธิไม่มีเหลือแล้วทีนี้ กับระบ่งระเบิดก็ไม่สนอีกเหมือนกัน และหลังจากนั้นพวกเราก็ไม่กล้าเดินกลับบ้านทางนั้นอีกเลย เพราะกลัวเจ้าของจำได้ แล้วจะเอาขี้หมาปั้นเป็นลูกชมพู่มาให้กินแทนน่ะสิ
ในซอยบ้านเรา ไม่รู้เป็นอะไรจะมีไฟไหม้อยู่บ่อยครั้งมาก บ้านเราก็เฉียดไปเฉียดมาอยู่หลายครั้ง บางครั้งหลับ ๆ อยู่ก็ต้องตกใจตื่นขึ้นมาด้วยเสียงร้องตะโกนว่า " มีขวดมาขาย" ไม่ใช่สิ " ไฟไหม้ ๆ" แล้วเรากับพี่น้องก็จะงัว ๆ เงีย ๆ ขึ้นมาเก็บข้าวของหนีไฟกันยกใหญ่ สุดท้ายก็รอดมาได้ทุกทีสิน่า ที่สุดยอดแห่งความขี้เซาคือ เจ๊ที่อยู่ข้างบ้านเรา ไม่ว่าเสียงตะโกนโหวกเหวกจะอึกทึกครึกโครมแค่ไหน ทุกคนจะช่วยกันทุบประตูเรียกเท่าไหร่ เจ๊แกก็ยังหลับสบายไม่สะทกสะท้าน ( น่าเอาที่นอนแกมาโฆษณานะ น่าจะขายดี แบบใช้สโลแกนว่า " หลับสบายท้าทายไฟไหม้" )
ถ้าเกิดไหม้ขึ้นมาจริง ๆ ราว่าเจ๊แกคงได้กลายสภาพเป็นหมูย่างเมืองตรังแหงม ๆ เลย ครั้งหลังสุดเนี่ย เมื่อราวสิบห้าปีก่อนมั้ง คนแถวบ้านนั่งรถตุ๊ก ๆ กลับมาจากการเข้ากะกลางคืนราว ๆ ตีสองตีสาม เห็นคนกำลังเอาน้ำมันมาราด ๆ ที่ประตูแถว ๆ บ้านเราพอดี พอมันเห็นคนมา เลยทิ้งแกลลอน แล้วรีบซิ่งรถมอเตอร์ไซค์หนีไป เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าของบ้านเช่าแถบ ๆ ที่เราอยู่ยอมขายที่และบ้านทั้งหมดให้ผู้เช่าทุกคน รวมทั้งบ้านเราด้วย เพราะมีข่าวว่าเจ้าของที่พยายามจะเอาที่คืนจากพวกเราหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เพราะติดสัญญากันอยู่ สุดท้ายเลยใช้วิธีการชั่ว ๆ โดยไม่คิดถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น พอจำนนด้วยหลักฐานเลยต้องตัดใจยอมขายในที่สุด ( เราว่ามันต้องไม่เจริญแน่ ๆ )
ที่แน่ ๆ ไฟไหม้ครั้งย่อม ๆ ครั้งนึงก็เกิดขึ้นถัดจากบ้านเราไปราวสามร้อยเมตรได้ จึงเกิดพื้นที่โล่งราวไร่นึงเห็นจะได้ และถูกทิ้งร้างอยู่อย่างนั้นหลายปีเหมือนกันกว่าที่เจ้าของบ้านแถวนั้นจะก่อ ร่างสร้างตึกสร้างบ้านขึ้นมาแทน หลังไฟมอดใหม่ ๆ เรากับเด็ก ๆ แถวบ้านก็พากันเข้าไปเดินเล่นสำรวจกันอย่างหนุกหนานทีเดียว
เห็นกระสอบที่ถูกไฟไหม้และที่ยังไม่ไหม้เปียกน้ำกองพะเนินอยู่เพียบ เพราะบริเวณตรงนั้นมีโรงงานผลิตกระสอบอยู่ด้วย สำรวจไปสำรวจมา พวกเราก็ไปเจอขุมทรัพย์เหล็กเส้นและทองแดง เลยเก็บไปขายกันยกใหญ่ อู้ฟู่ไปตาม ๆ กันทีเดียวเชียว เพราะเหล็กกับทองแดงเนี่ยราคาดีมาก ๆ แถมร้านรับซื้อของเก่าก็อยู่ถัดจากบ้านเราไปไม่ถึงยี่สิบเมตรอีกตะหาก งานนี้เลยเปรมปรีดากันถ้วนทั่ว เว้นก็แต่คนที่ถูกไฟผลาญนั่นแหละ เราเห็นเจ้าของร้านเพชรมาขุดหาเพชรในร้านตัวเองด้วย ซึ่งตรงนั้น เค้าจ้างคนมาเฝ้าไว้ตลอดเวลาเลย เราเห็นเค้าเอาไม้ขุด ๆ เขี่ย ๆ แล้วก็หยิบเพชรขึ้นมาใส่ถุงเล็ก ๆ ที่เตรียมมา โหย นับเป็นช็อตที่แปลกตาและหาดูได้ยากจริง ๆ ช็อตนึงเลยก็ว่าได้
ถึงจะเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ไฟก็ทำให้เด็ก ๆ อย่างเรากับเพื่อน ๆ แถวนั้นมีที่โล่งโจ้งให้ได้วิ่งเล่นสนุกกัน และมันจึงกลายมาเป็นลานนัดพบปะสังสรรค์หลังเลิกเรียน รวมทั้งช่วงวันหยุดของพวกเราไปโดยปริยาย บางทีเราก็เล่นไฟไหม้เลียนแบบสถานที่มันซะเลย เอาลังกระดาษมามุงเป็นบ้าน แล้วเอาน้ำมันก๊าดราด จุดไฟเผา เสร็จแล้วก็เอาน้ำมาราดรดจนดับ แล้วก็ทวนซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเบื่อไปเอง บางวัน เด็กบางคนก็รวมหัวกันเอาก้อนหินขว้างแมวจนตายไปต่อหน้าต่อตา แต่เราไม่ได้มีส่วนด้วยหรอกนะ เพราะอย่างที่บอกแล้ว มันไม่ใช่แนวของเรา ถึงเราจะไม่ค่อยชอบแมวก็เถอะ
นอกจากจะเป็นสนามเด็กเล่นของพวกเราไปแล้ว ชาวบ้านแถวนั้นยังพร้อมใจกันเอาขยะมาทิ้งที่นี่กันด้วย พวกเราเลยมีขุมทรัพย์ใหม่ให้ค้นหา ก็ประเภทคุ้ยเขี่ยหาของที่พอจะเอาไปใช้ไปเล่นได้จากกองขยะนี่แหละ รวมทั้งที่กินได้ด้วย ขอย้ำว่า ที่กินได้ เพราะบางครั้งพวกเราก็จะเจอพูทุเรียนที่เจ้าของลืมแกะกิน จึงกลายมาเป็นลาภปากของพวกเราแทน ทุกอย่าง มันก็บวกรวมเป็นเรื่องสนุกซุก ๆ ซน ๆ ไปตามวัยผจญภัยนั่นแหละ
ตอนหลัง ๆ เริ่ม ๆจ ะมีการก่อสร้างขึ้น คราวนี้เลยมีกองทรายขนาดใหญ่ให้พวกเราได้เล่นกันกลางกรุงทีเดียวเชียว พวกเราจะเอาทรายมาปั้นเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเท่า ๆ ฝ่ามือ โดยใช้น้ำเป็นตัวช่วยประสานกระชับเนื้อทรายให้แน่น ใครปั้นเก่งไม่เก่ง เนียนแน่นแข็งแรงแค่ไหนก็ต้องมาวัดกันในสังเวียนนักสู้ ที่เอาทรายมาปูทำเป็นลานประลองยุทธ จับคู่วัดกันตามขนาดได้แล้ว ก็เป่ายิ้งฉุบ ใครแพ้ก็เอาลูกทรายของตัววางลงกลางสังเวียน คนชนะก็จะตั้งฝ่ามือเหนือลูกทรายของคู่ประลอง โดยเอานิ้วก้อยจดลอย ๆ เหนือลูก พร้อมกับใช้อีกมือถือลูกทรายของตัวเองไว้จดเหนือนิ้วโป้ง นับสามปั๊บก็ปล่อยลูกทรายจากมือให้หล่นลงไปกระแทกลูกทรายข้างล่าง ผลจะเห็นกันต่อหน้าต่อตาชนิดจะจะไปเลย
ถ้าลูกข้างล่างเนื้อไม่แน่น หรือแข็งแรงน้อยกว่าก็อาจจะแตกสลายไปในทันที หรือไม่ก็แค่บิ่น ๆ แหว่ง ๆ ไปบางส่วน ถ้ายังเหลือซักสามส่วนสี่ลูกก็ถือว่ายังไม่แพ้ เจ้าของลูกสามารถเอาขึ้นมาปรับแต่งบีบ ๆ อัด ๆ ให้แน่นขึ้นได้ แล้วก็สลับมาเป็นฝ่ายปล่อยลูกของตัวเองลงไปกระแทกบ้าง เล่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีคนแพ้คนชนะ หรือไม่ก็เสมอ นั่นหมายถึง แตกดับไปพร้อมกันทั้งสองลูก พวกเราจะเล่นกันไปเรื่อย ๆ แบบนี้ จนกว่าจะมืดหรือเลิก และแยกย้ายกันกลับบ้าน