จากระทู้รีวิวเมื่อ 5 ปีก่อนโน้น...นนนนนน  ==> 
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2010/02/D8857657/D8857657.html
     กลับมารายงานความคืบหน้าเมื่อเวลาผ่านไป  6  ปี  หลังจากผ่าตัดเย็บกระเพาะแบบ Gastric Bypass (รายละเอียดอ่านได้ในกระทู้
ก่อนนะคะ ^^)จากวันนั้น  จนถึงวันนี้  ความคิดเราก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง  การผ่าตัดนี้ทำให้เราเหมือนเกิดใหม่  ได้มีชีวิตใหม่  มีสุขภาพที่
แข็งแรง  ไม่ต้องเจอกับโรคภัยต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับความอ้วน  ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน  ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง  ฯลฯ
     ขอเท้าความกันสักนิด  เผื่อใครขี้เกียจย้อนกลับไปอ่านกระทู้เก่า  เราเป็นผู้หญิงที่ส่วนสูงกับน้ำหนักห่างกันไม่มากนัก  เราสูง  145 
ซม.  แต่หนักถึง 102  กก. ค่ะ  มองจากด้านหลังคิดว่าตู้เย็นเดินได้  เข้ารักษาเรื่องความดันโลหิตสูง  ตั้งแต่อายุ 18  โดยที่ผลเลือดก็
เข้าสภาวะย่ำแย่  คือน้ำตาลในเลือดสูง  ไขมันในเลือดสูง  ไตรกลีเซอไรด์สูง  แต่แปลกที่เราไม่ยักกะนอนกรนนะคะ  (ตอนเด็ก ๆ 
นอนกรนสนั่น  แต่โตมาทำไมไม่กรนก็ไม่ทราบ)  คุณหมอพยายามทุกวิถีทาง  ซึ่งเราก็ไม่เคยจะให้ความร่วมมือกับคุณหมอ  ทำได้ไม่กี่
วัน  ก็กลับมาทำตัวเหมือนเดิม  จนเข้าปีที่ 4 ของการรักษา  น้ำตาลเราสูงจนจะเป็นเบาหวานอยู่แล้ว  (รู้สึกจะเฉียด 200) คุณหมอเลย
แนะนำว่าให้ผ่าตัดเย็บกระเพาะ เพื่อลดน้ำหนักเป็นการด่วน  ก่อนที่จะต้องเจอหน้ากันไปแบบนี้ตลอดชีวิต)  เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ
ชีวิตใหม่ของเราเลยล่ะค่ะ  ซึ่งเราได้เข้ารับการผ่าตัดเมื่อเดือน เมษายน ปี 2552 ค่ะ
     สุดท้ายเมื่อการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี  ชีวิตหลังการผ่าตัดในปีแรกของเรา  น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว  แต่เฉลี่ยแล้วตกสัปดาห์ละ 1 
กก. ค่ะ  น้ำหนัก  ต่ำสุดที่เราลดได้คือ  51  กก.  แต่พอปีต่อ ๆ มา  เริ่มปรับตัวกับการกินได้  ก็เพิ่มบ้าง  ลดบ้าง  ตามการตามใจปากของ
ตัวเอง  (คือกินไม่เยอะก็จริง  แต่อาจจะกินของที่น้ำตาลเยอะ แป้งเยอะ ฯลฯ) เคยน้ำหนักมากที่สุดคือ 68 ค่ะ  เริ่มรับตัวเองไม่ไหว  ก็เลย
กินโดยคำนวณแคลอรี่  ก็น้ำหนักกลับมาอยู่ที่ 60 นิด ๆ จนเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว  เราไม่สบาย  อยากจะกินแต่ของจืด ๆ ก็เลยเลือกทาน
อาหารจืด ๆ อยู่เกือบ 2 อาทิตย์  มารู้ตัวอีกทีว่าอาการทานเผ็ดไม่ได้กลับมาอีกแล้ว  ก็ตอนที่หายดีและอยากกินของรสจัด (อาการนี้เคย
เป็นหลังผ่าตัดหลายเดือน  และหายไปหลายปีแล้ว) พอกินได้แต่ของจืด ๆ ความอยากอาหารก็ลดลง  ได้แต่กิน ๆ เข้าไปเพื่อให้ได้
โปรตีนเพียงพอในแต่ละวันเท่านั้น  จนน้ำหนักลดลงอยู่ที่ 56 กก.  ซึ่งก็คงที่มาจนถึงทุกวันนี้
     สำหรับเราเรื่องอาหารการกิน  เราพยายามทานโปรตีนให้เพียงพอในแต่ละวัน  ถ้ายังหิวระหว่างมื้อ  เราก็กิน  แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่อิ่มเราก็
จะพอ  ไม่ฝืนกินต่อโดยเด็ดขาด  ต่อให้จะเพิ่งกินไปแค่คำเดียวก็ตาม  อาจจะเพราะเรากินแป้งด้วย  ทำให้รู้สึกหิวเร็ว  หิวบ่อยกว่าปกติ 
แต่เพราะกินได้มื้อละไม่เยอะ  ก็เลยไม่มีผลต่อน้ำหนักเราเท่าไหร่  ช่วงก่อนประจำเดือนจะมา  อาจจะมีอาการอยากอาหารเพิ่มขึ้น  และ
ทานอาหารได้เยอะขึ้น  ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติสำหรับเราเรื่องกินไม่ใช่เรื่องซีเรียสเลย  แค่พยายามกินโปรตีนให้พอเท่านั้น  ไม่งั้นเราจะ
รู้สึกเพลียมาก
*****เพิ่มเติม*****
     สำหรับเรื่องปัญหาผิวหนังส่วนเกินหลังน้ำหนักลดนั้น  แน่นอนว่าสำหรับคนที่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว  (46-51 กก.) ย่อมมีผิวหนัง
ส่วนเกินเป็นธรรมดาค่ะ  อย่างเรานี้ทั้งห้อย ทั้งย้วยเลยทีเดียว  ทั้งท้องแขน  หน้าท้อง  ต้นขา  ปีกหลัง  เอว  แต่ถ้าเทียบกับคนอื่น ๆ 
เราอาจไม่ได้มีผิวหนังส่วนเกินมาก  อาจจะเพราะเราลดน้ำหนักตั้งแต่อายุยังไม่เยอะมาก  ความยืดหยุ่นของผิวหนังยังดีอยู่  แต่ถ้าจะให้
เนี้ยบเลยก็คงต้องตัดผิวหนังส่วนเกินออก  เพราะมันเกินกว่าการออกกำลังกาย  และการศัลยกรรมความงามทั่วไปจะเยียวยาจริง ๆ แต่
ลองปรึกษาคุณหมอแล้ว  คุณหมอไม่แนะนำค่ะ  เพราะจะมีแผลเป็นที่สังเกตได้ง่าย  เราเลยกะว่าคงจะใช้วิธีออกกำลังกาย  และศัลยกรรม
เข้าช่วย  อาจไม่ตึงเปรี๊ยะ  แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ห้อยต่องแต่งท้าแดดท้าลมแบบนี้
     สำหรับคนที่ผ่าตัดเหมือนเรา  ไม่ว่าจะโดยวิธีไหน  แต่เราอยากให้อย่างน้อย 1 ปีแรกหลังผ่าตัด  ปฏิบัติตัวตามที่คุณหมอแนะนำอย่าง
เคร่งครัด เพื่อให้การลดน้ำหนักได้ผลดี  ถ้ารู้สึกอิ่มก็อย่าฝืนกินต่อโดยเด็ดขาด  และอธิบายให้คนรอบข้างเข้าใจ  จะได้ไม่ต้องถูกบ่นเวลา
กินเหลือเยอะ ๆ หลังจากนั้นค่อย ๆ หาวิธี และปริมาณการกินที่เหมาะสมกับตัวเอง  และอย่าลืมทานโปรตีนให้เพียงพอรวมถึงวิตามิน
ต่าง ๆ ด้วย...ขอให้มีความสุขกับชีวิตใหม่ค่ะ
     ปล.เราเชื่อว่ามีหลายคน คิดว่า  ทำไมไม่ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายล่ะ  ถ้าเหลือบ่ากว่าแรงมากนักก็เย็บปากไปเลยสิ  จะไป
เสียเงินแพง ๆ แถมยังต้องเจ็บตัว  แล้วไหนจะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตไปตลอดแบบนี้ด้วย  แค่ลดน้ำหนัก  ทำไมต้องไปพึ่งคนอื่น  ฯลฯ  
เรียนตามตรงว่าเราเจอคำพูดแบบนี้มาเยอะ  และก็ต้องเรียนตามตรงอีกว่า  ในคนที่เป็นโรคอ้วนขั้นวิกฤตจริง ๆ ชนิดที่ถ้าหากไม่รีบลด
น้ำหนักอย่างเร่งด่วน  ก็อาจจะเกิดโรคร้ายแรงถึงชีวิตในเวลาอันใกล้ได้  ก็จำเป็นต้องเลือกวิธีนี้  คงไม่มีคุณหมอคนไหนอยากเย็บ
กระเพาะคนไข้เล่น ๆ หรอกค่ะ  ถ้าไม่จำเป็น  และคงไม่มีใครอยากเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองไปตลอดกาล  โดยไม่สมเหตุสมผลหรอกค่ะ 
ฺBefore
 
After  ปี 2553 - 2555
 
After ปี 2556 - 2557
 
After ปี 2558
 
 
																																	  
							
Update!!! 6 ปี ชีวิตหลังผ่าตัดเย็บกระเพาะ
กลับมารายงานความคืบหน้าเมื่อเวลาผ่านไป 6 ปี หลังจากผ่าตัดเย็บกระเพาะแบบ Gastric Bypass (รายละเอียดอ่านได้ในกระทู้
ก่อนนะคะ ^^)จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ความคิดเราก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง การผ่าตัดนี้ทำให้เราเหมือนเกิดใหม่ ได้มีชีวิตใหม่ มีสุขภาพที่
แข็งแรง ไม่ต้องเจอกับโรคภัยต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับความอ้วน ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ฯลฯ
ขอเท้าความกันสักนิด เผื่อใครขี้เกียจย้อนกลับไปอ่านกระทู้เก่า เราเป็นผู้หญิงที่ส่วนสูงกับน้ำหนักห่างกันไม่มากนัก เราสูง 145
ซม. แต่หนักถึง 102 กก. ค่ะ มองจากด้านหลังคิดว่าตู้เย็นเดินได้ เข้ารักษาเรื่องความดันโลหิตสูง ตั้งแต่อายุ 18 โดยที่ผลเลือดก็
เข้าสภาวะย่ำแย่ คือน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง แต่แปลกที่เราไม่ยักกะนอนกรนนะคะ (ตอนเด็ก ๆ
นอนกรนสนั่น แต่โตมาทำไมไม่กรนก็ไม่ทราบ) คุณหมอพยายามทุกวิถีทาง ซึ่งเราก็ไม่เคยจะให้ความร่วมมือกับคุณหมอ ทำได้ไม่กี่
วัน ก็กลับมาทำตัวเหมือนเดิม จนเข้าปีที่ 4 ของการรักษา น้ำตาลเราสูงจนจะเป็นเบาหวานอยู่แล้ว (รู้สึกจะเฉียด 200) คุณหมอเลย
แนะนำว่าให้ผ่าตัดเย็บกระเพาะ เพื่อลดน้ำหนักเป็นการด่วน ก่อนที่จะต้องเจอหน้ากันไปแบบนี้ตลอดชีวิต) เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ
ชีวิตใหม่ของเราเลยล่ะค่ะ ซึ่งเราได้เข้ารับการผ่าตัดเมื่อเดือน เมษายน ปี 2552 ค่ะ
สุดท้ายเมื่อการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี ชีวิตหลังการผ่าตัดในปีแรกของเรา น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว แต่เฉลี่ยแล้วตกสัปดาห์ละ 1
กก. ค่ะ น้ำหนัก ต่ำสุดที่เราลดได้คือ 51 กก. แต่พอปีต่อ ๆ มา เริ่มปรับตัวกับการกินได้ ก็เพิ่มบ้าง ลดบ้าง ตามการตามใจปากของ
ตัวเอง (คือกินไม่เยอะก็จริง แต่อาจจะกินของที่น้ำตาลเยอะ แป้งเยอะ ฯลฯ) เคยน้ำหนักมากที่สุดคือ 68 ค่ะ เริ่มรับตัวเองไม่ไหว ก็เลย
กินโดยคำนวณแคลอรี่ ก็น้ำหนักกลับมาอยู่ที่ 60 นิด ๆ จนเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เราไม่สบาย อยากจะกินแต่ของจืด ๆ ก็เลยเลือกทาน
อาหารจืด ๆ อยู่เกือบ 2 อาทิตย์ มารู้ตัวอีกทีว่าอาการทานเผ็ดไม่ได้กลับมาอีกแล้ว ก็ตอนที่หายดีและอยากกินของรสจัด (อาการนี้เคย
เป็นหลังผ่าตัดหลายเดือน และหายไปหลายปีแล้ว) พอกินได้แต่ของจืด ๆ ความอยากอาหารก็ลดลง ได้แต่กิน ๆ เข้าไปเพื่อให้ได้
โปรตีนเพียงพอในแต่ละวันเท่านั้น จนน้ำหนักลดลงอยู่ที่ 56 กก. ซึ่งก็คงที่มาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับเราเรื่องอาหารการกิน เราพยายามทานโปรตีนให้เพียงพอในแต่ละวัน ถ้ายังหิวระหว่างมื้อ เราก็กิน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่อิ่มเราก็
จะพอ ไม่ฝืนกินต่อโดยเด็ดขาด ต่อให้จะเพิ่งกินไปแค่คำเดียวก็ตาม อาจจะเพราะเรากินแป้งด้วย ทำให้รู้สึกหิวเร็ว หิวบ่อยกว่าปกติ
แต่เพราะกินได้มื้อละไม่เยอะ ก็เลยไม่มีผลต่อน้ำหนักเราเท่าไหร่ ช่วงก่อนประจำเดือนจะมา อาจจะมีอาการอยากอาหารเพิ่มขึ้น และ
ทานอาหารได้เยอะขึ้น ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติสำหรับเราเรื่องกินไม่ใช่เรื่องซีเรียสเลย แค่พยายามกินโปรตีนให้พอเท่านั้น ไม่งั้นเราจะ
รู้สึกเพลียมาก
*****เพิ่มเติม*****
สำหรับเรื่องปัญหาผิวหนังส่วนเกินหลังน้ำหนักลดนั้น แน่นอนว่าสำหรับคนที่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว (46-51 กก.) ย่อมมีผิวหนัง
ส่วนเกินเป็นธรรมดาค่ะ อย่างเรานี้ทั้งห้อย ทั้งย้วยเลยทีเดียว ทั้งท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา ปีกหลัง เอว แต่ถ้าเทียบกับคนอื่น ๆ
เราอาจไม่ได้มีผิวหนังส่วนเกินมาก อาจจะเพราะเราลดน้ำหนักตั้งแต่อายุยังไม่เยอะมาก ความยืดหยุ่นของผิวหนังยังดีอยู่ แต่ถ้าจะให้
เนี้ยบเลยก็คงต้องตัดผิวหนังส่วนเกินออก เพราะมันเกินกว่าการออกกำลังกาย และการศัลยกรรมความงามทั่วไปจะเยียวยาจริง ๆ แต่
ลองปรึกษาคุณหมอแล้ว คุณหมอไม่แนะนำค่ะ เพราะจะมีแผลเป็นที่สังเกตได้ง่าย เราเลยกะว่าคงจะใช้วิธีออกกำลังกาย และศัลยกรรม
เข้าช่วย อาจไม่ตึงเปรี๊ยะ แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ห้อยต่องแต่งท้าแดดท้าลมแบบนี้
สำหรับคนที่ผ่าตัดเหมือนเรา ไม่ว่าจะโดยวิธีไหน แต่เราอยากให้อย่างน้อย 1 ปีแรกหลังผ่าตัด ปฏิบัติตัวตามที่คุณหมอแนะนำอย่าง
เคร่งครัด เพื่อให้การลดน้ำหนักได้ผลดี ถ้ารู้สึกอิ่มก็อย่าฝืนกินต่อโดยเด็ดขาด และอธิบายให้คนรอบข้างเข้าใจ จะได้ไม่ต้องถูกบ่นเวลา
กินเหลือเยอะ ๆ หลังจากนั้นค่อย ๆ หาวิธี และปริมาณการกินที่เหมาะสมกับตัวเอง และอย่าลืมทานโปรตีนให้เพียงพอรวมถึงวิตามิน
ต่าง ๆ ด้วย...ขอให้มีความสุขกับชีวิตใหม่ค่ะ
ปล.เราเชื่อว่ามีหลายคน คิดว่า ทำไมไม่ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายล่ะ ถ้าเหลือบ่ากว่าแรงมากนักก็เย็บปากไปเลยสิ จะไป
เสียเงินแพง ๆ แถมยังต้องเจ็บตัว แล้วไหนจะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตไปตลอดแบบนี้ด้วย แค่ลดน้ำหนัก ทำไมต้องไปพึ่งคนอื่น ฯลฯ
เรียนตามตรงว่าเราเจอคำพูดแบบนี้มาเยอะ และก็ต้องเรียนตามตรงอีกว่า ในคนที่เป็นโรคอ้วนขั้นวิกฤตจริง ๆ ชนิดที่ถ้าหากไม่รีบลด
น้ำหนักอย่างเร่งด่วน ก็อาจจะเกิดโรคร้ายแรงถึงชีวิตในเวลาอันใกล้ได้ ก็จำเป็นต้องเลือกวิธีนี้ คงไม่มีคุณหมอคนไหนอยากเย็บ
กระเพาะคนไข้เล่น ๆ หรอกค่ะ ถ้าไม่จำเป็น และคงไม่มีใครอยากเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองไปตลอดกาล โดยไม่สมเหตุสมผลหรอกค่ะ
ฺBefore
After ปี 2553 - 2555
After ปี 2556 - 2557
After ปี 2558