เนื้อหาของโพสต์นี้ถูกแปลและดัดแปลงมาจากบทสุดท้ายของหนังสือ Delivering Happiness โดย Tony Hsieh (โทนี เช) ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังสืออยู่ด้านล่างครับ ^^
“เป้าหมายในชีวิตของคุณคืออะไร?”
แต่ละคนคงตอบไม่เหมือนกัน บ้างอยากมีสุขภาพที่ดี บ้างก็อยากมีบริษัทของตัวเอง หรือมีบ้านในฝัน เป้าหมายของเพื่อนๆล่ะครับ คืออะไร? ลองนึกดู..
ถ้าเพื่อนๆได้คำตอบในใจแล้ว คำถามสั้นๆที่ผมอยากถามต่อก็คือ
“ทำไมล่ะ?”
คนที่อยากมีสุขภาพดี อาจจะบอกว่า
“จะได้ไม่ป่วยง่าย อยากทำอะไรก็ทำได้ ไปไหนก็ไปได้”
ไม่ว่าเพื่อนๆจะให้เหตุผลว่าอย่างไร ผมอยากให้เพื่อนๆลองถามตัวเองต่ออีกว่า “
ทำไม?” หรือ “
why?”
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อทุกคนถามตัวเองว่า “
ทำไม?” ไปเรื่อยๆ พวกเราก็จะพบว่าในตอนสุดท้ายนั้น พวกเราส่วนใหญ่ก็จะมาหยุดที่คำตอบเดียวกัน นั่นก็คือ เพราะพวกเราจะได้มี “
ความสุข” นั่นเอง
ถึงพวกเราแต่ละคนจะใช้ชีวิตกันคนละแบบ หรือมีความเชื่อคนละแบบ เราทุกคนต่างก็ทำสิ่งที่เราทำอยู่เพื่อ “
ความสุข” กันทั้งนั้น
วันนี้ผมเลยอยากมารีวิว หนึ่งในข้อคิดเกี่ยวกับความสุข ที่คุณโทนี ได้พูดถึงในบทสุดท้ายในหนังสือ
Delivering Happiness ของเขา และหวังว่าเพื่อนๆจะได้มุมมองใหม่ในการหาความสุขให้ตัวเองครับ
ปัญหาคือพวกเรามักเข้าใจผิดเกี่ยวกับที่มาของความสุข คุณโทนีเชื่อว่า เมื่อพวกเราเข้าใจถึง “ความสุขทั้ง 3 ชนิด” ว่ามันเกิดจากอะไร และเลือกตามหาความสุขที่สำคัญที่สุดก่อน จะทำให้พวกเรามีความสุขในชีวิตมากกว่าเดิมความสุขทั้ง 3 ชนิดที่คุณโทนีพูดถึงนั้น ได้แก่
1.
Pleasure หรือ ความสุขจากการไล่ล่าสิ่งที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นความสุขจากการได้กินอาหารดีๆ ได้เลื่อนขั้น หรือได้มีบ้านหลังใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยบอกว่าความสุขชนิดนี้
เป็นความสุขที่มีระยะสั้นที่สุดจากความสุขทั้ง 3 ชนิด เมื่อเราชินกับบ้านใหม่หรือตำแหน่งงานใหม่ ความสุขนั้นก็จะหายไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นว่าต้องทนทุกข์อีกรอบจนกว่าจะได้ไปในจุดที่”สูงกว่าเดิม”อีกครั้ง (เช่นอัพเกรดจากกาแฟแก้วละ 20 บาทไปเป็น อเมซอน ล่าสุดก็กินสตาบัคส์ จนทุกวันนี้แก้วละ 100 กลายเป็นเรื่องธรรมดา)
2.
Passion หรือ ความสุขจากการที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เป็นความสุขที่เพื่อนๆคงเคยรู้สึกเวลาทำงาน วาดภาพ หรือเล่นกีฬาที่เราชอบจนถึงกับลืมเวลาหรือความเป็นตัวตนไปเลย นั่นแหละคือความสุขในการทำสิ่งที่เรารัก ผลวิจัยสรุปว่าความสุขชนิดนี้นั้นมีความยั่งยืนเป็นอันดับ 2
3.
Higher Purpose หรือ ความสุขที่ได้จากการเป็นส่วนหนึ่งของบางอย่างที่ “ใหญ่กว่าตัวเอง” และ “มีความหมาย (meaningful)” ความสุขแบบนี้เป็นความสุขที่ยั่งยืนที่สุด เพราะมันหมายความว่าเรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะยากลำบาก และอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เรารัก หรืออยากที่จะทำเสมอไป มันคือความสุขที่ทำใหเราอยากลุกจากเตียงขึ้นมาตอนเช้านั่นเอง ผู้นำองค์กรหรือบริษัทที่สำคัญต่อโลกของเรา ต่างหาความสุขจาก Higher Purpose กันทั้งนั้น
สตีฟ จอบส์ ลุกออกจากเตียงมาทำงานหนัก ไม่ใช่เพื่อทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น แต่เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีเจ๋งๆ ให้คนอย่างเราๆได้ใช้ และเขาก็มีความสุขกับเป้าหมายอันยิ่งใหญ่นี้ถึงแม้ว่าเค้าจะอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตก็ตาม
โทนีบอกว่า จากประสบการณ์ของเขาแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะหาความสุขแบบ 1 – 2 – 3 นั่นคือหาสิ่งที่เป็น Pleasure ให้กับตัวเองก่อน ครั้นพอมี Pleasure มากพอแล้ว ค่อยหางานที่ตัวเองรัก (Passion) และเมื่อหางานนั้นเจอแล้ว (ถ้ายังเหลือเวลา) ค่อยไปหาความสุขจากการเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ใหญ่กว่า (Higher Purpose) ซึ่งการหาความสุขแบบนี้ เป็นวิธีที่เขาไม่เห็นด้วยเพราะจากที่กล่าวไว้ด้านบน ความสุขแบบ Pleasure นั้นไม่ได้ให้ความสุขที่สุดในระยะยาว
โทนีบอกว่า แต่จากผลวิจัยแล้ว กลยุทธ์ที่พวกเราควรจะใช้ต้องเป็น
3 – 2 – 1 แทน นั่นคือเริ่มจากการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง (Higher Purpose) ซึ่งเป็นสิ่งที่ให้ความสุขได้นานที่สุดก่อน และค่อยๆไล่ลงมาเป็นการทำสิ่งที่ตัวเองรัก(Passion) ถ้ายังมีเวลาค่อยหาความสนุกความพอใจส่วนบุคคล (Pleasure) ที่หมดเร็วและหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วทำไมพวกเราต่างหาแบบ 1 – 2 – 3 กันซะเยอะล่ะ? ผมเองคิดว่า การที่เริ่มจาก 1 ไป 2 และไป(ไม่ถึง) 3 มัน
สบายกว่า 3 – 2 – 1 นั่นเอง การที่ต้องมานั่งคิดหาความหมายตัวเอง หรือสิ่งที่ตัวเองจะยืนหยัดเพื่อ มันยากกว่าคิดว่าวันนี้จะกิน Ootoya หรือ ฟูจิ ดีตั้งเยอะนี่หน่าา ==”
อย่างไรก็ตาม เราต้องอย่าลืมว่าในความสบายนั้น
เรากำลังสละความสุขระยะยาวที่มากกว่าเพื่อความสุขระยะสั้นในวันนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้น แทนที่จะถามตัวเองว่าเย็นนี้ไปกินข้าวร้านไหนดี หรือดูหนังเรื่องไรดี พวกเราลองเริ่มจาก 3 หรือ 2 กันดีกว่า แต่ถ้ายังหาสิ่งที่ตัวเองรัก หรือสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเองไม่เจอล่ะ เริ่มตรงไหนดี? ลองเริ่มจากคำถามพวกนี้ก็ได้ครับ.. อะไรที่สำคัญในชีวิตคุณในชีวิต คุณอยากให้โลกเป็นอย่างไร อยากให้คนรอบข้างเป็นอย่างไร อะไรที่ทำให้คุณ และคุณทำอะไรให้คนอื่นมีความสุข ใครบ้างที่มีอุดมคติหรือวิสัยทัศน์เหมือนคุณ ต้องหาให้เจอครับ
ผมว่าคำถามพวกนี้ยังมีอีกเยอะ ถ้าเพื่อนๆมีหรือคิดคำถามเด็ดๆออก ก็อย่าลืมมาแชร์กันครับ
อย่าลืมว่า 3 – 2 – 1 นะครับ ^^
---
เกี่ยวกับหนังสือ
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนแรกเกี่ยวกับชีวิตของคุณโทนีเองตั้งแต่เด็ก สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ บริษัทที่เขาได้สร้าง และประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงเริ่มลงทันในบริษัท Zappos ซึ่งเป็นบริษัทขายรองเท้าที่ ถัดมาเขาได้เข้าไปเป็น CEO จนถึงปัจจุบัน
ส่วนที่สองของหนังสือ เกี่ยวกับการบริหาร Zappos โดยตรง โดยคุณโทนีเล่าประวัติของบริษัทตั้งแต่เป็น startup จนเติบโตเป็นบริษัทที่มียอดขายกว่าหมื่นล้านบาท นอกจากนี้เขาได้พูดถึงเรื่องการสร้าง วัฒนธรรมองค์กร (Culture) และ ค่านิยม (Core Values) ที่เป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จของบริษัท พนักงานที่ Zappos นั้นรักใคร่และมีความเป็นครอบครัวมากๆ (บริษัทนี้ดังในเรื่องนี้มาก) ทั้งหมดนี้ส่งต่อไปถึงผลงานในด้านการดูแลลูกค้าและการเงินในที่สุด
ในส่วนสุดท้ายของหนังสือ ผู้เขียนได้พูดถึงการวางโครงสร้างให้กับบริษัทต่อไปในอนาคต ทั้งระบบกันบริหารทรัพยากรบุคคล การรักษาวัฒนธรรม การขายบริษัทให้ Amazon และก็เรื่องของความสุขที่ผมได้เอามาเล่านั่นเองครับ
หนังสือนี้เหมาะสำหรับคนที่สนใจและชอบเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทและสำหรับผู้นำในทุกตำแหน่งที่อยากให้ที่ทำงานของคุณเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความสุขครับ
ถ้าผมเขียนมีตรงไหนผิดพลาด หรือเพื่อนๆพี่ๆมีข้อแนะนำตรงไหน บอกมาได้เลยนะครับ
ผมหวังว่าโพสต์นี้จะทำให้เพื่อนๆมีความสุขเพิ่มขึ้นซักในแต่ละวัน และรู้สึกได้แรงบันดาลใจอย่างที่ผมรู้สึกเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครับ
ติดตามบล็อกผมได้ที่
http://metapon.wordpress.com (อ่านง่ายกว่า หุหุ) หรือเพจเฟส www.facebook.com/metaponblog ขอบคุณครับ
“Happiness never decreases being shared – ความสุขไม่มีทางลดลงเมื่อถูกแบ่งปัน” – Tony Hsieh
ซือหนังสือ:
ภาษาอังกฤษ
http://www.amazon.com/Delivering-Happiness-Profits-Passion-Purpose/dp/160941280X
ภาษาไทย
https://www.se-ed.com/product/ใช้ความสุขทำกำไร-Delivering-Happiness.aspx?no=9786167164755
3-2-1... ความสุข 3 ชนิด เรียงไม่ผิด ชีวิตเปลี่ยน
“เป้าหมายในชีวิตของคุณคืออะไร?”
แต่ละคนคงตอบไม่เหมือนกัน บ้างอยากมีสุขภาพที่ดี บ้างก็อยากมีบริษัทของตัวเอง หรือมีบ้านในฝัน เป้าหมายของเพื่อนๆล่ะครับ คืออะไร? ลองนึกดู..
ถ้าเพื่อนๆได้คำตอบในใจแล้ว คำถามสั้นๆที่ผมอยากถามต่อก็คือ “ทำไมล่ะ?”
คนที่อยากมีสุขภาพดี อาจจะบอกว่า “จะได้ไม่ป่วยง่าย อยากทำอะไรก็ทำได้ ไปไหนก็ไปได้”
ไม่ว่าเพื่อนๆจะให้เหตุผลว่าอย่างไร ผมอยากให้เพื่อนๆลองถามตัวเองต่ออีกว่า “ทำไม?” หรือ “why?”
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อทุกคนถามตัวเองว่า “ทำไม?” ไปเรื่อยๆ พวกเราก็จะพบว่าในตอนสุดท้ายนั้น พวกเราส่วนใหญ่ก็จะมาหยุดที่คำตอบเดียวกัน นั่นก็คือ เพราะพวกเราจะได้มี “ความสุข” นั่นเอง
ถึงพวกเราแต่ละคนจะใช้ชีวิตกันคนละแบบ หรือมีความเชื่อคนละแบบ เราทุกคนต่างก็ทำสิ่งที่เราทำอยู่เพื่อ “ความสุข” กันทั้งนั้น
วันนี้ผมเลยอยากมารีวิว หนึ่งในข้อคิดเกี่ยวกับความสุข ที่คุณโทนี ได้พูดถึงในบทสุดท้ายในหนังสือ Delivering Happiness ของเขา และหวังว่าเพื่อนๆจะได้มุมมองใหม่ในการหาความสุขให้ตัวเองครับ
ปัญหาคือพวกเรามักเข้าใจผิดเกี่ยวกับที่มาของความสุข คุณโทนีเชื่อว่า เมื่อพวกเราเข้าใจถึง “ความสุขทั้ง 3 ชนิด” ว่ามันเกิดจากอะไร และเลือกตามหาความสุขที่สำคัญที่สุดก่อน จะทำให้พวกเรามีความสุขในชีวิตมากกว่าเดิมความสุขทั้ง 3 ชนิดที่คุณโทนีพูดถึงนั้น ได้แก่
1. Pleasure หรือ ความสุขจากการไล่ล่าสิ่งที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นความสุขจากการได้กินอาหารดีๆ ได้เลื่อนขั้น หรือได้มีบ้านหลังใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยบอกว่าความสุขชนิดนี้ เป็นความสุขที่มีระยะสั้นที่สุดจากความสุขทั้ง 3 ชนิด เมื่อเราชินกับบ้านใหม่หรือตำแหน่งงานใหม่ ความสุขนั้นก็จะหายไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นว่าต้องทนทุกข์อีกรอบจนกว่าจะได้ไปในจุดที่”สูงกว่าเดิม”อีกครั้ง (เช่นอัพเกรดจากกาแฟแก้วละ 20 บาทไปเป็น อเมซอน ล่าสุดก็กินสตาบัคส์ จนทุกวันนี้แก้วละ 100 กลายเป็นเรื่องธรรมดา)
2. Passion หรือ ความสุขจากการที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เป็นความสุขที่เพื่อนๆคงเคยรู้สึกเวลาทำงาน วาดภาพ หรือเล่นกีฬาที่เราชอบจนถึงกับลืมเวลาหรือความเป็นตัวตนไปเลย นั่นแหละคือความสุขในการทำสิ่งที่เรารัก ผลวิจัยสรุปว่าความสุขชนิดนี้นั้นมีความยั่งยืนเป็นอันดับ 2
3. Higher Purpose หรือ ความสุขที่ได้จากการเป็นส่วนหนึ่งของบางอย่างที่ “ใหญ่กว่าตัวเอง” และ “มีความหมาย (meaningful)” ความสุขแบบนี้เป็นความสุขที่ยั่งยืนที่สุด เพราะมันหมายความว่าเรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะยากลำบาก และอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เรารัก หรืออยากที่จะทำเสมอไป มันคือความสุขที่ทำใหเราอยากลุกจากเตียงขึ้นมาตอนเช้านั่นเอง ผู้นำองค์กรหรือบริษัทที่สำคัญต่อโลกของเรา ต่างหาความสุขจาก Higher Purpose กันทั้งนั้น สตีฟ จอบส์ ลุกออกจากเตียงมาทำงานหนัก ไม่ใช่เพื่อทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น แต่เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีเจ๋งๆ ให้คนอย่างเราๆได้ใช้ และเขาก็มีความสุขกับเป้าหมายอันยิ่งใหญ่นี้ถึงแม้ว่าเค้าจะอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตก็ตาม
โทนีบอกว่า จากประสบการณ์ของเขาแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะหาความสุขแบบ 1 – 2 – 3 นั่นคือหาสิ่งที่เป็น Pleasure ให้กับตัวเองก่อน ครั้นพอมี Pleasure มากพอแล้ว ค่อยหางานที่ตัวเองรัก (Passion) และเมื่อหางานนั้นเจอแล้ว (ถ้ายังเหลือเวลา) ค่อยไปหาความสุขจากการเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ใหญ่กว่า (Higher Purpose) ซึ่งการหาความสุขแบบนี้ เป็นวิธีที่เขาไม่เห็นด้วยเพราะจากที่กล่าวไว้ด้านบน ความสุขแบบ Pleasure นั้นไม่ได้ให้ความสุขที่สุดในระยะยาว
โทนีบอกว่า แต่จากผลวิจัยแล้ว กลยุทธ์ที่พวกเราควรจะใช้ต้องเป็น 3 – 2 – 1 แทน นั่นคือเริ่มจากการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง (Higher Purpose) ซึ่งเป็นสิ่งที่ให้ความสุขได้นานที่สุดก่อน และค่อยๆไล่ลงมาเป็นการทำสิ่งที่ตัวเองรัก(Passion) ถ้ายังมีเวลาค่อยหาความสนุกความพอใจส่วนบุคคล (Pleasure) ที่หมดเร็วและหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วทำไมพวกเราต่างหาแบบ 1 – 2 – 3 กันซะเยอะล่ะ? ผมเองคิดว่า การที่เริ่มจาก 1 ไป 2 และไป(ไม่ถึง) 3 มันสบายกว่า 3 – 2 – 1 นั่นเอง การที่ต้องมานั่งคิดหาความหมายตัวเอง หรือสิ่งที่ตัวเองจะยืนหยัดเพื่อ มันยากกว่าคิดว่าวันนี้จะกิน Ootoya หรือ ฟูจิ ดีตั้งเยอะนี่หน่าา ==”
อย่างไรก็ตาม เราต้องอย่าลืมว่าในความสบายนั้น เรากำลังสละความสุขระยะยาวที่มากกว่าเพื่อความสุขระยะสั้นในวันนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้น แทนที่จะถามตัวเองว่าเย็นนี้ไปกินข้าวร้านไหนดี หรือดูหนังเรื่องไรดี พวกเราลองเริ่มจาก 3 หรือ 2 กันดีกว่า แต่ถ้ายังหาสิ่งที่ตัวเองรัก หรือสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเองไม่เจอล่ะ เริ่มตรงไหนดี? ลองเริ่มจากคำถามพวกนี้ก็ได้ครับ.. อะไรที่สำคัญในชีวิตคุณในชีวิต คุณอยากให้โลกเป็นอย่างไร อยากให้คนรอบข้างเป็นอย่างไร อะไรที่ทำให้คุณ และคุณทำอะไรให้คนอื่นมีความสุข ใครบ้างที่มีอุดมคติหรือวิสัยทัศน์เหมือนคุณ ต้องหาให้เจอครับ
ผมว่าคำถามพวกนี้ยังมีอีกเยอะ ถ้าเพื่อนๆมีหรือคิดคำถามเด็ดๆออก ก็อย่าลืมมาแชร์กันครับ
อย่าลืมว่า 3 – 2 – 1 นะครับ ^^
เกี่ยวกับหนังสือ
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนแรกเกี่ยวกับชีวิตของคุณโทนีเองตั้งแต่เด็ก สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ บริษัทที่เขาได้สร้าง และประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงเริ่มลงทันในบริษัท Zappos ซึ่งเป็นบริษัทขายรองเท้าที่ ถัดมาเขาได้เข้าไปเป็น CEO จนถึงปัจจุบัน
ส่วนที่สองของหนังสือ เกี่ยวกับการบริหาร Zappos โดยตรง โดยคุณโทนีเล่าประวัติของบริษัทตั้งแต่เป็น startup จนเติบโตเป็นบริษัทที่มียอดขายกว่าหมื่นล้านบาท นอกจากนี้เขาได้พูดถึงเรื่องการสร้าง วัฒนธรรมองค์กร (Culture) และ ค่านิยม (Core Values) ที่เป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จของบริษัท พนักงานที่ Zappos นั้นรักใคร่และมีความเป็นครอบครัวมากๆ (บริษัทนี้ดังในเรื่องนี้มาก) ทั้งหมดนี้ส่งต่อไปถึงผลงานในด้านการดูแลลูกค้าและการเงินในที่สุด
ในส่วนสุดท้ายของหนังสือ ผู้เขียนได้พูดถึงการวางโครงสร้างให้กับบริษัทต่อไปในอนาคต ทั้งระบบกันบริหารทรัพยากรบุคคล การรักษาวัฒนธรรม การขายบริษัทให้ Amazon และก็เรื่องของความสุขที่ผมได้เอามาเล่านั่นเองครับ
หนังสือนี้เหมาะสำหรับคนที่สนใจและชอบเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทและสำหรับผู้นำในทุกตำแหน่งที่อยากให้ที่ทำงานของคุณเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความสุขครับ
ถ้าผมเขียนมีตรงไหนผิดพลาด หรือเพื่อนๆพี่ๆมีข้อแนะนำตรงไหน บอกมาได้เลยนะครับ
ผมหวังว่าโพสต์นี้จะทำให้เพื่อนๆมีความสุขเพิ่มขึ้นซักในแต่ละวัน และรู้สึกได้แรงบันดาลใจอย่างที่ผมรู้สึกเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครับ
ติดตามบล็อกผมได้ที่ http://metapon.wordpress.com (อ่านง่ายกว่า หุหุ) หรือเพจเฟส www.facebook.com/metaponblog ขอบคุณครับ
“Happiness never decreases being shared – ความสุขไม่มีทางลดลงเมื่อถูกแบ่งปัน” – Tony Hsieh
ซือหนังสือ:
ภาษาอังกฤษ http://www.amazon.com/Delivering-Happiness-Profits-Passion-Purpose/dp/160941280X
ภาษาไทย https://www.se-ed.com/product/ใช้ความสุขทำกำไร-Delivering-Happiness.aspx?no=9786167164755