ภรรยาผมเป็นมะเร็ง จิตวิญญาณเธอหลุดลอยไปอยู่ที่ไหน

เนื่องจากผมเคยคุยกับคนที่รู้จักเป็นส่วนตัวที่เคยตายแล้วฟื้นหลายราย ท่านเหล่านี้เป็นคนดี มีเกียรติและตำแหน่งทางสังคมเป็นที่น่านับถือ  ท่านให้ความนับถือผมในวิชาชีพแพทย์จึงยอมเปิดใจคุยให้ฟัง ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องใดๆในการเล่าให้ผมฟัง แต่ละท่านล้วนวิญญาณหลุดจากร่าง เห็นนรก ยมฑูตตรงกันโดยไม่รู้จักกันและตรงกับที่ภรรยาผมเล่าให้ฟังว่าเคยนิมิตเห็นขณะฝึกกรรมฐาน ผมก็รู้สึกสงสัยว่าจิตหรือวิญญาณของเธอไม่ได้อยู่ที่ร่างอย่างสมบูรณ์ เหมือนกับทิ้งร่างปล่อยให้สัญชาติญาณการดำรงชีพ   ทำหน้าที่เพียงเพื่อรักษาสังขารไว้ แต่จิตวิญญาณไปไหนก็ไม่รู้   แม้ว่าเธอจะฝึกกรรมฐานจนแยกรูปกับนามได้ แต่ก็แค่ 3-4 ครั้งเท่านั้น ไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจ ถ้าเธออยู่ในภาวะแยกกายกับจิตได้จริง ก็ต้องไม่ใช่เพราะความสามารถของเธอ   แต่เป็นเบื้องบนท่านใดที่มาคุมจิตให้   ซึ่งในที่นี้น่าจะเป็นสมเด็จโตมากที่สุด แล้วจะรู้ชัดได้อย่างไร?

    เมื่อผมคุยเรื่องนี้ให้น้องๆฟังทุกคนก็เห็นด้วย และพยายามติดต่อ สืบหาผู้ที่สามารถเพ่งเห็นสภาวะเช่นนี้ได้ แต่พระภิกษุหลายท่านก็บ่ายเบี่ยงว่าไม่ใช่กิจของท่าน ระหว่างนั้นในช่วงกลางคืนที่ผมเฝ้าอยู่คนเดียวก็นึกถึงการแพทย์แขนงหนึ่งที่ชื่อว่า Guide Imagery Suggestion (จินตบำบัด โดยการสร้างภาพเพื่อบำบัดผู้ป่วย)  ที่เคยฝึกมาจึงลองดัดแปลงมาใช้ดูว่า จะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มหรือไม่

    เมื่อเธอเข้าสู่สมาธิที่นิ่งและผ่อนคลายมากพอแล้ว ผมก็ถามเธอถึงสภาพแวดล้อมและสิ่งต่างๆ เธอกล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก กว้างใหญ่มาก มีพระสงฆ์อยู่มากมาย แต่จำได้อยู่สองท่านคือ สมเด็จโตและหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน  (เราเคยไปกราบท่านบนกุฏิ และท่านเป่ากระหม่อมแผ่เมตตาให้พร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร) เห็นพระพุทธเจ้าด้วย ท่านงามมาก เธอได้กราบแทบบาทพุทธองค์ รู้สึกปลื้มปิติอย่างที่สุด ผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือจิตหลอนที่ปรุงแต่งขึ้นเอง แต่คิดว่านี่คือสิ่งที่ดีแน่นอน จึงบอกให้เธอลองขอพรพระพุทธเจ้าว่า ขอให้หายและได้สร้างบุญใหญ่กับผู้ป่วยโรคมะเร็งตามที่ตั้งใจไว้ก่อน เธอบอกว่า ท่านให้พรตามที่ขอ และอาจารย์ปู่ชีวกโกมารภัจจ์  ได้มาช่วยรักษา ปรับธาตุทั้งสี่ให้ รู้สึกสบายและสุขมาก

  ตลอดเวลาช่วง 8-12 ธ.ค.57 เธออยู่ในสภาพค่อนหลับกึ่งตื่น หลับลึกแต่นั่งนอนยืนเดินได้ ที่น่าแปลกคือ
ไม่เจ็บปวดเลยทั้งที่ไม่มียาแก้ปวดกินหรือฉีดทั้งสิ้น นอนราบได้ แต่แผลก็ยังลุกลามมากขึ้นตลอดเวลา ผมบอกน้องๆว่าพวกเราดีใจเถอะ ถ้าเธอจากเราไปตอนนี้ก็ไปสู่สุคติภูมิแน่นอน แล้วก็คงไปปฏิบัติธรรมต่อได้ในภพภูมิที่สูงกว่านี้ (ตอนหลังนายสา ค่อยสารภาพกับผมว่า ทีแรกญาติๆต่างคิดว่าผมให้ยาแก้ปวดและกล่อมประสาทเธอไว้จึงเป็นเช่นนี้ แล้วก็แต่งเรื่องเพื่อปลอบใจทุกคนให้สบายใจขึ้น เลยตามตรวจค่าใช้จ่ายและการให้ยากับคนไข้ จึงค่อยเชื่อว่าพี่สาวเขาเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ได้มียาอะไรให้เลยนอกจากยาฆ่าเชื้อและทำแผล)

   มีพระท่านหนึ่งให้คำแนะนำกับน้องสาวเธอ(ชื่อรุ้ง)ว่า ให้ทำน้ำมนต์ให้เธอดื่ม โดยใช้พระวัดระฆังของเธอแช่น้ำ   แล้วอธิษฐานจิตอาราธนาโดยให้ผมทำเองก็ได้ ผมสวนกลับไปว่า อย่างผมหรือจะทำอะไรได้ ศีลก็ไม่ครบ วิชาก็ไม่มี บุญบารมีไม่เคยเห็น ขนาดเคยไปรับน้ำมนต์จากมือท่านเจ้าอาวาสวัดระฆังที่ท่านปลุกเสกให้เดี๋ยวนั้นเลย ใช้ได้ไม่กี่วันก่อนมาเข้ารพ. ตอนนี้อาการก็ยังเป็นอย่างนี้ แล้วจะให้ผมทำน้ำมนต์เองได้ไง ไม่ไหวหรอก ทุกคนก็อึ้งแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย  ผ่านไปสองสามวันอาการของเธอก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรส่อแววว่าจะดีขึ้น ระหว่างนั้นคือ   การรอยาจากสิงคโปร์ ทำแผล ให้ออกซิเจน เหมือนรอให้ทรุดไปเรื่อยๆ  เมื่อก่อนเธอจะสวดมนต์ประจำ ต่อมาก็เหนื่อยเลยสวดในใจไม่ออกเสียง แต่ตอนนี้ผมใช้วิธีเปิดเสียงบทสวดมนต์กล่อมเธอไปเรื่อยๆ ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับและตื่น

    เราได้ยาตอนกลางคืนวันที่ 12 ธค.57 และกำหนดให้เคโมวันรุ่งขึ้นช่วงบ่าย อจ.วิโรจน์บอกว่า กว่าจะเห็นผลก็ต้องอีก 1 เดือนหรือหลังให้เข็มสอง ก็ไม่รู้ว่า เธอจะทนอยู่ได้แค่ไหนกัน    
     13ธค.57 ให้ยาช่วงบ่าย ต้องให้ยาที่ขาเพราะที่แขนไม่มีเส้นเลย ยาตัวนี้ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ  (คงเป็นเพราะต้องใช้กับผู้ป่วยที่เป็นระยะสุดท้ายที่สุขภาพโทรมสุดๆ เลยต้องระวังและออกแบบให้ดีเต็มที่)   ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมหาข้อมูลแต่ละด้านทบทวนและเพิ่มเติมไปเรื่อย และตัดสินใจลองใช้พระคู่บารมีของเธอที่ได้มาอย่างเหลือเชื่อ นำมาใช้ทำน้ำมนต์ตามที่หลวงพ่อท่านแนะนำ ด้วยความคิดที่ว่าท่านเองก็ไม่ธรรมดา แนะนำเป็นนัยๆไว้หลายอย่างแต่ตอนแรกผมจิตตกอย่างมากๆ ก็เลยแปลความไม่ออก แล้วก็ไม่มีอะไรเสียหาย หลังจากทำเสร็จก็ให้เธอดื่มและพรมน้ำมนต์ในตอนกลางคืนของวันที่ให้ยานั่นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่