
Please pray for Brother Imran:
ลิงค์
http://www.ibtimes.com/fighting-words/islam-critic-imran-firasat-i-am-going-die-1286539
ผมไม่ใช่คนที่มักโกรธ หรือ โมโหร้าย แต่อิสลามทำผมให้เป็นแบบนี้ ผมไม่คิด ที่อยากจากจะประเทศของผม จากภรรยาของผม
แต่อิสลามทำให้ผมถูกเนรเทศออกนอกประเทศ ไม่ให้อยู่ที่ปากีสถานอีกต่อไป ไม่ได้เจอหน้าภรรยาของผมอีก
เพราะเหตุนี้ผมขอเปิดเผยตัวจริงของอิสลาม อ้างอิงจาก Karan ที่ผมอ่าน
เขาได้ขึ้นศาล เนื่องจาก เขาเป็นอิสลาม ได้เปลี่ยนความเชื่อมาเป็น คริสเตียน
GERARD BATTEN M.E.P. London Region
UK Independence Party (EFD Group)
แถลงโดย European commission.ปี 2004 เพื่อขอลี้ภัย
ผมชื่อ Imran Firasat
อาชญากรรม : พูดจาดูหมิ่นไม่เคารพศาสนา (อิสลาม)
บทลงโทษ : เพิกถอนการเป็นพลเมือง (ปากีสถาน)
รับบทลงโทษในระยะอันใกล้ : การเนรเทศ (ขับไล่ออกนอกประเทศ)
รับบทลงโทษในอนาคต : ประหารชีวิต
นี่คือเรื่องราวของผม
ผมถูกสอนให้เป็นมุสลิม และ ให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งอายุ 26ปี ก่อนที่ผมถูกจะเนรเทศ
แท้จริงแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าอิสลาม จริงๆแล้ว คืออะไร เพราะผมถูกบังคับให้ละหมาด อ่าน Koran เรียนอารบิค แต่ละครั้งที่ผม
ละหมาดผมไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร
เพราะไม่เห็นพระเจ้า(Allah)มาพูดคุยสื่อสาร กับผม ไม่มีความสัมพันธ์สนิท ทุกอย่างถูกบังคับให้ทำ ห้ามสงสัย ห้ามถามคำถามใดๆทั้งสิ้น
เพราะถ้าถามคำถาม หรือ มีข้อสงสัย หมายถึงผมขาดความเชื่อ หรือไม่ก็หาว่า พูดจาดูถูกดูหมิ่นศาสนา(ALLah) ผมจึงเกิดความกลัวในการตั้งคำถาม
ผมได้เจอภรรยา เป็นคนอินโดนีเชีย นับถือพุทธ เรารักกัน ผมอยากแต่งงานกับเธอ แต่กฎอิสลามห้ามแต่งกับคนนอกศาสนา ซึ่งผมก็ไม่อยากบังคับเธอ
ผมจึงตัดสินใจอยู่ด้วยกันโดยไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งผมรักเธอ และเธอก็รักผม
ปัญหาใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ ภรรยาผมท้อง และได้คลอดลูกชายที่โรงพยาบาล พวกเขาถามหาใบทะเบียนสมรส ซึ่งผมก็ไม่มี
และถ้าไม่มีพวกเขาจะเรียกตำรวจมาจับ แขวนคอ ทั้งหมด
ซึ่งตำรวจก็มาจริงๆ กลุ่มใหญ่มาก จับผม จับภรรยาผม ทำให้ผมพูดไม่ออก(น้ำตาคลอด้วยความสงสาร ภรรยา และ ลูก)
ตำรวจแจ้งว่าเธอต้องถูกเนรเทศออกนอกประเทศ เธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ ไม่ก็ต้องเข้าอิสลาม ให้เลือกเอา
ผมถูกเนรเทศออกนอกประเทศ พร้อมภรรยาและลูก เนื่องจากกฏหมายอิสลาม(Sharia law) ผมคิดว่า ชีวิตของผมจบแล้ว
หมดหวังในทุกสิ่ง ผมต้องจากครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง บ้านที่ผมเคยอยู่ ผมคิดจะฆ่าตัวตายเผื่อช่วยแก้ปัญหาได้
เพราะยังไงผมอาจถูกฆ่าโดยอิสลามอยู่ดี
ผมไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับผม ลูกชายเป็นความหวังของผม ทำให้ผมคิดได้ ผมจะอยู่เพื่อลูก
พวกเราย้ายไปอยู่ที่สเปน (จากคำสั่งศาลของยุโรปที่ช่วยเขา ไม่ต้องถูกประหารชีวิตให้ไปอยู่ที่นั่น)
ตอนแรก เราก็ไม่มีความสุขมากนัก ที่ได้จากปากีสถาน และ ครอบครัวของเรามาอยู่ที่นี่ เพราะเราไม่คุ้นเคย
ชีวิตเราได้เริ่มต้นใหม่หมด ต้องเรียนภาษาใหม่ วัฒนธรรมใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ เราไม่รู้จักใครเลยที่นั่น ไม่มีแม้แต่เพื่อน
การเป็นอยู่ทุกอย่างค่อนข้างลำบากเพราะภาษาก็ยังไม่ได้
แต่ผมคิดได้ว่า ยังไง ผมก็ยินดีเพราะครอบครัวของผมก็ปลอดภัย ไม่มีความกลัวใดๆอีก ทุกคนได้ต้อนรับผมอย่างดีที่นี่
ผมก็ได้รับการช่วยเหลือจากหลายฝ่าย เพราะคนที่นี่เข้าใจเคส ของผม
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ลืม ก็คือ ความโกรธที่มีต่ออิสลาม ผมเขียนบทความ คอลัมส์หนังสือพิมพ์ MTV TV วิทยุ ข้อความต่างๆ
เพื่อเปิดโปรงอิสลามให้กับคนที่นั่นได้รับรู้
ผมถูกเชิญไป สัมภาษณ์ ออกทีวีบ่อยๆ ให้การช่วยเหลือสนันสนุน คนที่ประสพภัยแบบผม ไม่ว่าจะเป็นที่ ปากีสถาน อินเดีย
หรือ กลุ่มประเทศอิสลาม
เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมของอิสลาม
สิ่งที่ผมทำข้างต้น ได้สร้างความโกรธเคืองให้กับคนมุสลิมเป็นอย่างมาก เพราะอิสลามไม่ใช่ศาสนาที่มีความอดทน และใจกว้าง
วันหนึ่งผม ถูกคนมุสลิมลอบทำร้ายร่างกาย บาดเจ็บ เอาการ ซึ่งผมต้องระวังตัวมากขึ้น
อิสลามโกรธแค้นผมมากขึ้นที่ได้เปิดโปงเรื่องราวที่ผมประสบมา
เคสของผม สื่อได้นำไปถ่ายทอดสากล เพื่อเปิดเผยต่อทั่วโลกได้รับรู้ สื่อเองก็ถูกโจมตีอย่างหนัก
จนทำให้ ผมเลยต้องย้ายไปอยู่ที่ประเทศอื่นซักพัก และ กลับมาใหม่เมื่อเรื่องราวต่างๆ สงบลง
ผมได้สัญญากับภรรยาว่า ผมจะไม่พูด หรือ เขียนอะไรเกี่ยวกับอิสลามอีก
ผมกับภรรยาได้ไปเที่ยวที่อินโดนีเซีย ซึ่งลืมระวังเรื่องประเทศนั้นมีคนมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ยังไงๆ ผมยังไม่สามารถหยุดเขียน หรือ พูดเกี่ยวกับอิสลาม ผมเริ่มเขียนบทความอีกครั้ง ผมระวัง ในการโพสข้อความ
ไม่ว่าจะเป็น ที่อยู่ อีเมลต่างๆ
ผมตระหนักว่า ผมอยู่ในประเทศอิสลาม ณ ตอนนี้
วันหนึ่ง ไอพี แอดเดรส ของผม ถูกจับได้
ตำรวจ ได้มาจับกุมผมที่บ้าน แจ้งข้อหา พูดจาดูหมิ่นไม่เคารพศาสนาอิสลาม ผมก็แจ้งไปยังสถานฑูตสเปนเพื่อรับการช่วยเหลือ
*** ผมก็ได้กลับไปที่สเปนอีกครั้ง
ซึ่งภรรยาและลูก ไม่ได้กลับไปด้วยกับผม เพราะติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ยังไงผมแจ้งภรรยาว่า ผมจะกลับไปหาเธออีกแน่นอน
ผมอยู่ที่สเปนได้ทำงาน เก็บเงิน พูดคุยกับภรรยา ทุกวัน
อยู่ๆวันหนึ่ง มีตำรวจมาจับผม บอกว่าอินโดนีเซียกล่าวหา ว่าผมมีคดีอาชญากรรม ซึ่งผมก็พิสูจน์ว่าไม่มี ผมก็รอดมาได้ เรื่องนี้ทำให้ผมช็อคพอสมควร
ครอบครัวผมไม่ได้เป็นคริสเตียน ผมมีเพื่อนคริสเตียน เราเคยพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน บางครั้งผมก็โมโห และเกลียดคริสเตียน
ผมไม่เคยคิดที่จะเชื่อพระเยซู ไม่เคยมีความรู้สึกและไม่สนใจ
วันหนึ่ง ภรรยาผมบอกได้ไปโบสถ์ และ รับเชื่อพระเยซู ที่อินโดนีเซีย ผมไม่เศร้า หรือ มีความสุข (รู้สึกเฉยๆ) ผมก็บอกภรรยาว่า
แล้วแต่เธอจะตัดสินใจ เพราะญาติพี่น้อง ในฝั่งภรรยา ได้มาเชื่อเกือบหมด
มี 2 เหตุการณ์ที่ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผม
สิ่งแรก.ลูกผมไปโบสถ์กัน และ อธิษฐานเผื่อ ให้ผมเชื่อพระเยซู และบอกว่า วันหนึ่งพวกเราจะได้อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยกัน นะครับพ่อ
สิ่งที่สอง.ผมได้ถามลูกสาวของผมว่า พระเยซูคือใคร
ลูกสาวผม ทำมือในท่าอธิษฐาน กุมมือที่หน้าอก และพูดว่า พระเจ้าก็คือพระเยซู ค่ะพ่อ พอผมได้ผมยินดังนั้น
เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาสัมผัสจิตใจของผม ที่ไม่สามรถให้คำอธิบายได้ ซึ่งลูกสาวผม ได้นำผมมารู้จักกับพระเยซู นั่นคือจุดเริ่มต้น
มีคนชวนผมไปโบสถ์ แต่ผมก็ไม่ได้ไป แต่ท้ายที่สุดผมคิดว่า ลองไปดูสักครั้ง ว่าเป็นอย่างไร
สิ่งแรกที่ผมเห็นคือการอธิษฐาน ซึ่งเราจะอธิษฐาน อย่างไรก็ได้ ออกมาจากความรู้สึกของเรา ไม่เหมือนกับอิสลามที่ถูกจำกัด
ต้องรูปแบบนี้เท่านั้น ท่องจำเป็นข้อๆ
ผมถูกนำโดยพระเจ้าให้เข้าโบสถ์ และผมก็ร้องหาพระเยซูในครั้งแรกจากใจของผม ผมได้อธิษฐานโดยตรงต่อพระเยซู
มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์เอง ซึ่งแตกต่างจากมุสลิมมาก
ผมอธิษฐานต่อพระเยซู ในครั้งนั้นว่า ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ ได้โปรดช่วยผมได้เจอหน้าครอบครัวอีก ผมยอมจำนนต่อพระองค์
ผมเชื่อในพระองค์ ได้โปรดช่วยผมด้วย ผมมองไม่เห็นหนทางเลย ว่าจะกลับไปหาภรรยาได้อย่างไร
นั่นคือจุดพลิกผันในชีวิตของผม เมื่อผมต้อนรับพระเยซู เข้ามาในชีวิต และ สารภาพโดยความเชื่อ
ผมเริ่มเห็นบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ผมรู้สึกถึงใครบางคนคอยปกป้องผม ช่วยผม ทำให้ผมมีความเชื่อเข้มแข็ง วางใจในพระองค์
รู้สึกเหมือนไม่เดินลำพังแต่คนเดียวอีกต่อไป
คำพูดของ ศิษยาภิบาลที่มีต่อเขา.....กล่าวว่า...
เขาเป็นคนที่เข้มแข็งในความเชื่อมาก รักษาชีวิตในการเดินติดตามพระเจ้า(พระเยซู) ในคริสตจักรผม
เขาเล่าชีวิตเขาต่อว่า.....
ผมถูกเปลี่ยนแปลง ให้รักการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอยู่เสมออย่างไม่หยุดนิ่ง และ ผมถูกเปลี่ยนให้เป็นคนสุภาพมากขึ้น
ผมได้ตัดสินใจทำหนังเกี่ยวกับอิสลาม โดยให้ทุกคนมีความรู้ ความเข้าใจว่าอิสลามเป็นอย่างไร และได้รู้จักชีวิตจริงของ Mohamed
ซึ่งได้เผยแพร่ที่ ยูทูป ด้วย และผ่านสื่อต่างๆ ด้วยเช่นกัน
อัศจรรย์มากเรื่องของผมได้ถูกนำมาพิจารณาอีกครั้ง ผ่านทางรัฐบาลสเปน ได้เสนอเรื่องราวต่างๆ ที่อิสลามได้กระทำ ไปยังปากีสถานอีกครั้ง
ไม่ว่าจเป็นการเผาสถานทูต การลอบทำร้ายร่างกาย
แต่ก่อนผมเกลียดและโกรธอิสลามมาก เมื่อปี 2003 และ ปัจจุบัน 2013 ได้ต่างกันสิ้นเชิง ตั้งแต่ผมมารู้จักพระเยซูคริสต์
ทำให้ผมค่อยๆเปลี่ยนทีละเล็ก ละน้อย
ศิษยาภิบาลของผม ก็บอกให้ผม ให้อภัยเขาเหล่านั้น ตอนแรกผมก็เถียง บอกมันทำได้ยาก พูดง่ายแต่ทำยาก ผมบอกศิษยาภิบาลของผม
สำหรับศาสนาที่ได้ทำร้ายชีวิตของผม ท่านก็พูดต่อไปอีกว่า ถ้าผมไม่ให้อภัย ผมก็ไม่ใช่
คริสเตียนที่แท้จริง
ผมคิดตลอดว่า ผมจะยกโทษให้กับคนที่มาทำร้ายผมได้ยังไง ซึ่งทำลายอนาคต ของผม เหยียบย่ำชีวิตของผม และ ครอบครัวของผมด้วย
แต่ว่า วันต่อวันที่ผมเดินติดตามพระเยซู ได้ฟังคำสอนของพระองค์ พระองค์ทำให้จิตใจผมเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อผมรับบัพติสมาในน้ำ ผมได้ตัดสินใจยกโทษ ให้กับคนที่มาทำร้ายผม ผมจะไม่โกรธ หรือเกลียดเขาอีกต่อไป
ผมจะเชื่อฟังในคำสอนของพระองค์ และ จะติดตามพระองค์ตลอดไป นี่คือ สิ่งที่เขาประกาศความตั้งใจ
และผมอยากรู้จักพระเยซูคริสต์มากขึ้น และ ได้อยู่กับครอบครัวที่ผมรัก แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
ผมได้ถูกเชิญไปพูด เกี่ยวกับอิสลาม สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักอิสลามมากเท่าไหร่ ผมอยากให้อิสลามรู้ความจริง
ว่าใครคือ The true God and The real God และใครคือพระผู้ช่วยให้รอดเที่ยงแท้แต่องค์เดียว
สุดท้าย
ในวีดีโอบอกว่า ให้พวกเราอธิษฐานเผื่อเขาด้วยที่จะไม่ถูกฆ่าตายโดยอิสลาม และเขาเองก็ไม่สามารถเข้าประเทศกลุ่มอิสลามได้
เพราะอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของเขาด้วยเช่นกัน
คำพยาน - Imran Firasat
Please pray for Brother Imran:
ลิงค์ http://www.ibtimes.com/fighting-words/islam-critic-imran-firasat-i-am-going-die-1286539
ผมไม่ใช่คนที่มักโกรธ หรือ โมโหร้าย แต่อิสลามทำผมให้เป็นแบบนี้ ผมไม่คิด ที่อยากจากจะประเทศของผม จากภรรยาของผม
แต่อิสลามทำให้ผมถูกเนรเทศออกนอกประเทศ ไม่ให้อยู่ที่ปากีสถานอีกต่อไป ไม่ได้เจอหน้าภรรยาของผมอีก
เพราะเหตุนี้ผมขอเปิดเผยตัวจริงของอิสลาม อ้างอิงจาก Karan ที่ผมอ่าน
เขาได้ขึ้นศาล เนื่องจาก เขาเป็นอิสลาม ได้เปลี่ยนความเชื่อมาเป็น คริสเตียน
GERARD BATTEN M.E.P. London Region
UK Independence Party (EFD Group)
แถลงโดย European commission.ปี 2004 เพื่อขอลี้ภัย
ผมชื่อ Imran Firasat
อาชญากรรม : พูดจาดูหมิ่นไม่เคารพศาสนา (อิสลาม)
บทลงโทษ : เพิกถอนการเป็นพลเมือง (ปากีสถาน)
รับบทลงโทษในระยะอันใกล้ : การเนรเทศ (ขับไล่ออกนอกประเทศ)
รับบทลงโทษในอนาคต : ประหารชีวิต
นี่คือเรื่องราวของผม
ผมถูกสอนให้เป็นมุสลิม และ ให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งอายุ 26ปี ก่อนที่ผมถูกจะเนรเทศ
แท้จริงแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าอิสลาม จริงๆแล้ว คืออะไร เพราะผมถูกบังคับให้ละหมาด อ่าน Koran เรียนอารบิค แต่ละครั้งที่ผม
ละหมาดผมไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร
เพราะไม่เห็นพระเจ้า(Allah)มาพูดคุยสื่อสาร กับผม ไม่มีความสัมพันธ์สนิท ทุกอย่างถูกบังคับให้ทำ ห้ามสงสัย ห้ามถามคำถามใดๆทั้งสิ้น
เพราะถ้าถามคำถาม หรือ มีข้อสงสัย หมายถึงผมขาดความเชื่อ หรือไม่ก็หาว่า พูดจาดูถูกดูหมิ่นศาสนา(ALLah) ผมจึงเกิดความกลัวในการตั้งคำถาม
ผมได้เจอภรรยา เป็นคนอินโดนีเชีย นับถือพุทธ เรารักกัน ผมอยากแต่งงานกับเธอ แต่กฎอิสลามห้ามแต่งกับคนนอกศาสนา ซึ่งผมก็ไม่อยากบังคับเธอ
ผมจึงตัดสินใจอยู่ด้วยกันโดยไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งผมรักเธอ และเธอก็รักผม
ปัญหาใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ ภรรยาผมท้อง และได้คลอดลูกชายที่โรงพยาบาล พวกเขาถามหาใบทะเบียนสมรส ซึ่งผมก็ไม่มี
และถ้าไม่มีพวกเขาจะเรียกตำรวจมาจับ แขวนคอ ทั้งหมด
ซึ่งตำรวจก็มาจริงๆ กลุ่มใหญ่มาก จับผม จับภรรยาผม ทำให้ผมพูดไม่ออก(น้ำตาคลอด้วยความสงสาร ภรรยา และ ลูก)
ตำรวจแจ้งว่าเธอต้องถูกเนรเทศออกนอกประเทศ เธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ ไม่ก็ต้องเข้าอิสลาม ให้เลือกเอา
ผมถูกเนรเทศออกนอกประเทศ พร้อมภรรยาและลูก เนื่องจากกฏหมายอิสลาม(Sharia law) ผมคิดว่า ชีวิตของผมจบแล้ว
หมดหวังในทุกสิ่ง ผมต้องจากครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง บ้านที่ผมเคยอยู่ ผมคิดจะฆ่าตัวตายเผื่อช่วยแก้ปัญหาได้
เพราะยังไงผมอาจถูกฆ่าโดยอิสลามอยู่ดี
ผมไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับผม ลูกชายเป็นความหวังของผม ทำให้ผมคิดได้ ผมจะอยู่เพื่อลูก
พวกเราย้ายไปอยู่ที่สเปน (จากคำสั่งศาลของยุโรปที่ช่วยเขา ไม่ต้องถูกประหารชีวิตให้ไปอยู่ที่นั่น)
ตอนแรก เราก็ไม่มีความสุขมากนัก ที่ได้จากปากีสถาน และ ครอบครัวของเรามาอยู่ที่นี่ เพราะเราไม่คุ้นเคย
ชีวิตเราได้เริ่มต้นใหม่หมด ต้องเรียนภาษาใหม่ วัฒนธรรมใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ เราไม่รู้จักใครเลยที่นั่น ไม่มีแม้แต่เพื่อน
การเป็นอยู่ทุกอย่างค่อนข้างลำบากเพราะภาษาก็ยังไม่ได้
แต่ผมคิดได้ว่า ยังไง ผมก็ยินดีเพราะครอบครัวของผมก็ปลอดภัย ไม่มีความกลัวใดๆอีก ทุกคนได้ต้อนรับผมอย่างดีที่นี่
ผมก็ได้รับการช่วยเหลือจากหลายฝ่าย เพราะคนที่นี่เข้าใจเคส ของผม
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ลืม ก็คือ ความโกรธที่มีต่ออิสลาม ผมเขียนบทความ คอลัมส์หนังสือพิมพ์ MTV TV วิทยุ ข้อความต่างๆ
เพื่อเปิดโปรงอิสลามให้กับคนที่นั่นได้รับรู้
ผมถูกเชิญไป สัมภาษณ์ ออกทีวีบ่อยๆ ให้การช่วยเหลือสนันสนุน คนที่ประสพภัยแบบผม ไม่ว่าจะเป็นที่ ปากีสถาน อินเดีย
หรือ กลุ่มประเทศอิสลาม
เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมของอิสลาม
สิ่งที่ผมทำข้างต้น ได้สร้างความโกรธเคืองให้กับคนมุสลิมเป็นอย่างมาก เพราะอิสลามไม่ใช่ศาสนาที่มีความอดทน และใจกว้าง
วันหนึ่งผม ถูกคนมุสลิมลอบทำร้ายร่างกาย บาดเจ็บ เอาการ ซึ่งผมต้องระวังตัวมากขึ้น
อิสลามโกรธแค้นผมมากขึ้นที่ได้เปิดโปงเรื่องราวที่ผมประสบมา
เคสของผม สื่อได้นำไปถ่ายทอดสากล เพื่อเปิดเผยต่อทั่วโลกได้รับรู้ สื่อเองก็ถูกโจมตีอย่างหนัก
จนทำให้ ผมเลยต้องย้ายไปอยู่ที่ประเทศอื่นซักพัก และ กลับมาใหม่เมื่อเรื่องราวต่างๆ สงบลง
ผมได้สัญญากับภรรยาว่า ผมจะไม่พูด หรือ เขียนอะไรเกี่ยวกับอิสลามอีก
ผมกับภรรยาได้ไปเที่ยวที่อินโดนีเซีย ซึ่งลืมระวังเรื่องประเทศนั้นมีคนมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ยังไงๆ ผมยังไม่สามารถหยุดเขียน หรือ พูดเกี่ยวกับอิสลาม ผมเริ่มเขียนบทความอีกครั้ง ผมระวัง ในการโพสข้อความ
ไม่ว่าจะเป็น ที่อยู่ อีเมลต่างๆ
ผมตระหนักว่า ผมอยู่ในประเทศอิสลาม ณ ตอนนี้
วันหนึ่ง ไอพี แอดเดรส ของผม ถูกจับได้
ตำรวจ ได้มาจับกุมผมที่บ้าน แจ้งข้อหา พูดจาดูหมิ่นไม่เคารพศาสนาอิสลาม ผมก็แจ้งไปยังสถานฑูตสเปนเพื่อรับการช่วยเหลือ
*** ผมก็ได้กลับไปที่สเปนอีกครั้ง
ซึ่งภรรยาและลูก ไม่ได้กลับไปด้วยกับผม เพราะติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ยังไงผมแจ้งภรรยาว่า ผมจะกลับไปหาเธออีกแน่นอน
ผมอยู่ที่สเปนได้ทำงาน เก็บเงิน พูดคุยกับภรรยา ทุกวัน
อยู่ๆวันหนึ่ง มีตำรวจมาจับผม บอกว่าอินโดนีเซียกล่าวหา ว่าผมมีคดีอาชญากรรม ซึ่งผมก็พิสูจน์ว่าไม่มี ผมก็รอดมาได้ เรื่องนี้ทำให้ผมช็อคพอสมควร
ครอบครัวผมไม่ได้เป็นคริสเตียน ผมมีเพื่อนคริสเตียน เราเคยพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน บางครั้งผมก็โมโห และเกลียดคริสเตียน
ผมไม่เคยคิดที่จะเชื่อพระเยซู ไม่เคยมีความรู้สึกและไม่สนใจ
วันหนึ่ง ภรรยาผมบอกได้ไปโบสถ์ และ รับเชื่อพระเยซู ที่อินโดนีเซีย ผมไม่เศร้า หรือ มีความสุข (รู้สึกเฉยๆ) ผมก็บอกภรรยาว่า
แล้วแต่เธอจะตัดสินใจ เพราะญาติพี่น้อง ในฝั่งภรรยา ได้มาเชื่อเกือบหมด
มี 2 เหตุการณ์ที่ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผม
สิ่งแรก.ลูกผมไปโบสถ์กัน และ อธิษฐานเผื่อ ให้ผมเชื่อพระเยซู และบอกว่า วันหนึ่งพวกเราจะได้อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยกัน นะครับพ่อ
สิ่งที่สอง.ผมได้ถามลูกสาวของผมว่า พระเยซูคือใคร
ลูกสาวผม ทำมือในท่าอธิษฐาน กุมมือที่หน้าอก และพูดว่า พระเจ้าก็คือพระเยซู ค่ะพ่อ พอผมได้ผมยินดังนั้น
เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาสัมผัสจิตใจของผม ที่ไม่สามรถให้คำอธิบายได้ ซึ่งลูกสาวผม ได้นำผมมารู้จักกับพระเยซู นั่นคือจุดเริ่มต้น
มีคนชวนผมไปโบสถ์ แต่ผมก็ไม่ได้ไป แต่ท้ายที่สุดผมคิดว่า ลองไปดูสักครั้ง ว่าเป็นอย่างไร
สิ่งแรกที่ผมเห็นคือการอธิษฐาน ซึ่งเราจะอธิษฐาน อย่างไรก็ได้ ออกมาจากความรู้สึกของเรา ไม่เหมือนกับอิสลามที่ถูกจำกัด
ต้องรูปแบบนี้เท่านั้น ท่องจำเป็นข้อๆ
ผมถูกนำโดยพระเจ้าให้เข้าโบสถ์ และผมก็ร้องหาพระเยซูในครั้งแรกจากใจของผม ผมได้อธิษฐานโดยตรงต่อพระเยซู
มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์เอง ซึ่งแตกต่างจากมุสลิมมาก
ผมอธิษฐานต่อพระเยซู ในครั้งนั้นว่า ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ ได้โปรดช่วยผมได้เจอหน้าครอบครัวอีก ผมยอมจำนนต่อพระองค์
ผมเชื่อในพระองค์ ได้โปรดช่วยผมด้วย ผมมองไม่เห็นหนทางเลย ว่าจะกลับไปหาภรรยาได้อย่างไร
นั่นคือจุดพลิกผันในชีวิตของผม เมื่อผมต้อนรับพระเยซู เข้ามาในชีวิต และ สารภาพโดยความเชื่อ
ผมเริ่มเห็นบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ผมรู้สึกถึงใครบางคนคอยปกป้องผม ช่วยผม ทำให้ผมมีความเชื่อเข้มแข็ง วางใจในพระองค์
รู้สึกเหมือนไม่เดินลำพังแต่คนเดียวอีกต่อไป
คำพูดของ ศิษยาภิบาลที่มีต่อเขา.....กล่าวว่า...
เขาเป็นคนที่เข้มแข็งในความเชื่อมาก รักษาชีวิตในการเดินติดตามพระเจ้า(พระเยซู) ในคริสตจักรผม
เขาเล่าชีวิตเขาต่อว่า.....
ผมถูกเปลี่ยนแปลง ให้รักการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอยู่เสมออย่างไม่หยุดนิ่ง และ ผมถูกเปลี่ยนให้เป็นคนสุภาพมากขึ้น
ผมได้ตัดสินใจทำหนังเกี่ยวกับอิสลาม โดยให้ทุกคนมีความรู้ ความเข้าใจว่าอิสลามเป็นอย่างไร และได้รู้จักชีวิตจริงของ Mohamed
ซึ่งได้เผยแพร่ที่ ยูทูป ด้วย และผ่านสื่อต่างๆ ด้วยเช่นกัน
อัศจรรย์มากเรื่องของผมได้ถูกนำมาพิจารณาอีกครั้ง ผ่านทางรัฐบาลสเปน ได้เสนอเรื่องราวต่างๆ ที่อิสลามได้กระทำ ไปยังปากีสถานอีกครั้ง
ไม่ว่าจเป็นการเผาสถานทูต การลอบทำร้ายร่างกาย
แต่ก่อนผมเกลียดและโกรธอิสลามมาก เมื่อปี 2003 และ ปัจจุบัน 2013 ได้ต่างกันสิ้นเชิง ตั้งแต่ผมมารู้จักพระเยซูคริสต์
ทำให้ผมค่อยๆเปลี่ยนทีละเล็ก ละน้อย
ศิษยาภิบาลของผม ก็บอกให้ผม ให้อภัยเขาเหล่านั้น ตอนแรกผมก็เถียง บอกมันทำได้ยาก พูดง่ายแต่ทำยาก ผมบอกศิษยาภิบาลของผม
สำหรับศาสนาที่ได้ทำร้ายชีวิตของผม ท่านก็พูดต่อไปอีกว่า ถ้าผมไม่ให้อภัย ผมก็ไม่ใช่
คริสเตียนที่แท้จริง
ผมคิดตลอดว่า ผมจะยกโทษให้กับคนที่มาทำร้ายผมได้ยังไง ซึ่งทำลายอนาคต ของผม เหยียบย่ำชีวิตของผม และ ครอบครัวของผมด้วย
แต่ว่า วันต่อวันที่ผมเดินติดตามพระเยซู ได้ฟังคำสอนของพระองค์ พระองค์ทำให้จิตใจผมเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อผมรับบัพติสมาในน้ำ ผมได้ตัดสินใจยกโทษ ให้กับคนที่มาทำร้ายผม ผมจะไม่โกรธ หรือเกลียดเขาอีกต่อไป
ผมจะเชื่อฟังในคำสอนของพระองค์ และ จะติดตามพระองค์ตลอดไป นี่คือ สิ่งที่เขาประกาศความตั้งใจ
และผมอยากรู้จักพระเยซูคริสต์มากขึ้น และ ได้อยู่กับครอบครัวที่ผมรัก แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
ผมได้ถูกเชิญไปพูด เกี่ยวกับอิสลาม สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักอิสลามมากเท่าไหร่ ผมอยากให้อิสลามรู้ความจริง
ว่าใครคือ The true God and The real God และใครคือพระผู้ช่วยให้รอดเที่ยงแท้แต่องค์เดียว
สุดท้าย
ในวีดีโอบอกว่า ให้พวกเราอธิษฐานเผื่อเขาด้วยที่จะไม่ถูกฆ่าตายโดยอิสลาม และเขาเองก็ไม่สามารถเข้าประเทศกลุ่มอิสลามได้
เพราะอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของเขาด้วยเช่นกัน