.....
ระบบศักดินา (Feudal System)
สังคมศักดินา หมายถึงระบบสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น ซึ่งกำหนดสิทธิหน้าที่และฐานะของแต่ละบุคคลในสังคม จุดประสงค์ก็เพื่อควบคุมกำลังคนและแบ่งฐานะของบุคคลเป็นสำคัญ สังคมไทยในอดีตมีการจัดระเบียบของคนในสังคมออกเป็น 2 ชนชั้นใหญ่ ๆ
1.ชนชั้นนายหรือชนชั้นผู้ปกครอง เป็นกลุ่มคนส่วนน้อยในสังคมที่มีบทบาทและอำนาจมาก แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ
- เจ้านาย เป็นเชื้อพระวงศ์ได้มาจากการสืบทอด (Ascriptive status) หรือได้มาโดยกำเนิด เป็นระบบปิด เปลี่ยนไม่ได้ คล้ายระบบวรรณะ(Caste system) ของพราหมณ์ เจ้านายเริ่มตั้งแต่ชั้นเจ้าฟ้าแล้วก็ลดขั้นลงเรื่อยๆจนถึงหม่อมหลวง หลังจากหม่อมหลวงแล้วจะเป็นสามัญชน ทุกGeneration จะลดลงเรื่อยๆ
- ขุนนาง คือบุคคลที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์แต่ได้ถวายตัวรับใช้พระเจ้าแผ่นดิน มียศตำแหน่งเป็น
ตามลำดับชั้นจากล่างขึ้นบนตั้งแต่ขุน หลวง พระ พระยา เจ้าพระยา สามารถปรับเปลี่ยนสถานภาพได้ และได้มาจากการกระทำเป็น Achieved status เป็นระบบเปิดปรับเปลี่ยนได้ ถ้าทำความดีความชอบจะได้เลื่อนยศตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ มีศักดินาและอำนาจบารมีมากขึ้น เป็นระบบเปิดจงเปิดโอกาสให้คนเข้ามารับตำแหน่งได้แต่ส่วนใหญ่จะดึงกันมาตามสายของขุนนาง มาอุปถัมภ์ค้ำชูกันมาหรือบางคนอาจมาด้วยความสามารถส่วนตัวซึ่งจะพบได้น้อยมาก
2.ชนชั้นไพร่หรือชนชั้นผู้ใต้ปกครอง เป็นชนส่วนใหญ่ ที่ต้องใช้แรงกายทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการของชนชั้นปกครอง
แต่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงยกเลิกระบบ “ไพร่และทาส”
ระบบศักดินาในไทยจึงคล้ายเสื่อมสลายไปในตอนนั้น
ในประวัติศาสตร์บอกเช่นนั้น
แต่จริงๆคือ ไม่ ระบบศักดินา ยังคงมีบทบาทและอำนาจวาสนาในสังคมไทยต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน แม้ว่ารัชกาลที่ 7 ทรงพระราชทาน ประชาธิปไตย ให้กับปวงชนชาวไทย ให้มีสิทธิ เสรีภาพเท่าเทียมกันในหมู่คนทุกชั้นในสังคม แต่พวกนิยม “ศักดินา” ก็ยังคงแฝงตัวเกาะกุมอำนาจของประชาชนไว้เพียงฝ่ายเดียวอยู่ในทุกช่วงเวลาประวัติศาสตร์ หลังจากได้รับพระราชทาน ประชาธิปไตย
โดยคนกลุ่มนี้ หาวิธีครอบครองอำนาจโดยผ่านรัฐบาลเผด็จการทหาร หรือไม่ก็ใช้ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบแย่งชิงอำนาจประชาชนมาโดยตลอด
และไม่ต้องย้อนเวลาไปไกลมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สภาวะความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาร่วมสิบปีจาก พ.ศ. 2544 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจที่สำคัญยิ่ง เพราะในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางอำนาจนั้นมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ซับซ้อน แต่ละกลุ่มการเมืองก็ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยง/ใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันโดยที่ไม่สามารถที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถที่จะกำหนดความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้
การต่อสู้ทางการเมืองในช่วงสิบปีที่มีการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ขั้นอยู่ตรงกลางนั้นเป็นกระบวนการต่อสู้เพื่อเคลื่อนเข้าสู่สังคมประชาธิปไตย อันเป็นการยื้อทางอำนาจระหว่างโครงสร้างอำนาจทางการเมือง "ประชาธิปไตยครึ่งใบ" กับ “ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเต็มใบ” โดยเป็นการยื้อทางอำนาจของการเมืองจากพวกเสรีนิยม โดยพวกอนุรักษ์นิยม
ประชาธิปไตยครึ่งใบ คืออะไร
ประชาธิปไตยครึ่งใบ คือระบอบการปกครองเผด็จการที่ยังใช้ชื่อเรียกตัวเองว่าประชาธิปไตย เป็นระบบรวมศูนย์ครอบครองอำนาจทั้งหมดไว้ที่กลุ่มบุคคลกลุ่มเดียว แต่งตั้งพวกพ้องให้มาดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆเพื่อยึดครองอำนาจการบริหารไปตราบนานเท่านาน
การชุมนุมที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2556 เป็นผลผลิตของการอยากกลับไปใช้ระบบเก่าของคนกลุ่มหนึ่ง
ที่ไม่สามารถแข่งขันและต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางได้ จึงพยายามจะทำทุกอย่างให้ระบบกลับกลายไปเป็นระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบแบบในอดีต
การสถาปนาระบอบประชาธิปไตยแบบครึ่งใบที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 2520 เป็นการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจใหม่ในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตัวแทนคนที่ 2 ของกลุ่มรัฐประหารของ พลเอก สงัด ชะลออยู่ ซึ่งก้าวขึ้นมาแทน พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ตัวแทนคนแรก เพราะสภาวะทางการเมืองในช่วงนั้น ขาดวิสัยทัศน์ในการดูแลเศรษฐกิจ เพราะมัวแต่แย่งชิงอำนาจทางการเมือง หรืออาจเป็นเพราะรัฐบาลที่มาจาก คณะรัฐประหารทุกยุคทุกสมัย
ไม่มีฝีมือด้านการบริหาร มีแต่เพียงความอยากที่จะนั่งบนเก้าอี้ผู้บริหารสูงสุดของประเทศเท่านั้น
และนั้นเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่ยอมรับและอาจนำมาซึ่งการสูญเสียอำนาจ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการจัดการใหม่ ด้วย
รัฐระบบราชการ ปิดปากเสียงต่อต้านด้วย การจัดสรรประโยชน์กลุ่มเครือข่ายทุนนิยมที่อิงแอบอยู่กับรัฐระบบราชการ เน้นภาพลักษณ์แอบอิงสถาบัน ใช้เป็นแนวป้องกันเสียงต่อต้านจากพวก ประชาธิปไตยเต็มขั้น
การเมืองประชาธิปไตยครึ่งใบมีลักษณะเด่น คือ การเลือกตั้งมีความสำคัญเพียงแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น เ
พราะอำนาจตัดสินใจสูงสุดยังอยู่ในผู้นำสูงสุดของระบบราชการ หรือคนที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จของประชาธิปไตยแบบ”ลากตั้ง” แต่ยอมให้มี "เสียง" จากการเมืองแบบเลือกตั้งบางส่วน เพื่อไว้หลอกประชาชนว่าเป็นประชาธิปไตย รัฐสภาในช่วงสมัยพลเอก เปรม จึงมี สส.ที่ผ่านการเลือกตั้งโดยประชาชนประมาณ 300 คน และมี สว.ที่มาจากการแต่งตั้งโดยกลุ่มถือครองอำนาจประมาณ 200 คน (สัดส่วน2ใน3) และการเสนอชื่อและลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีของ ประชาธิปไตยครึ่งใบ สว.ที่มาจากการแต่งตั้งมีสิทธิลงมติด้วย
การออกแบบการควบคุมอำนาจผ่านระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ มิได้กระทำเพียงในสภาที่ขนพวกพ้องตนเองเข้าไปนั่งคอยเป็น Back up แต่ยังสร้างค่านิยม “
ศักดินา” โดยตำแหน่งให้กับข้าราชการระดับสูงหน่วยงานอื่น เช่น ข้าราชการระดับ อธิบดี มีสิทธิจะได้เป็น ส.ว.โดยอัตโนมัติ โดยอ้างความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ความรู้ความสามารถ ซึ่งนั้นทำให้ข้าราชการหลายคน หลงใหลได้ปลื้ม อยากมีศักดินาซึ่งผมขอเรียกวิธีแบบนี้ว่า "
ศักดินาตราตั้ง" และยอมกลายเป็นพวกเดียวกับฝ่ายทหารโดยไม่สนใจว่ากำลังละเมิดสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนในการเลือกตัวแทน
แต่ระบอบนี้ก็ได้ผลเป็นอย่างดี เมื่อมีทั้งกำลังพลและข้าราชการสนับสนุน เสียงคัดค้านจากสื่อมวลชนก็เบาบาง เพราะถูกอำนาจณัฐปิดปาก ระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงยาวนานเป็นพิเศษ 3 สมัย 8 ปี 6 เดือน ทั้
งๆที่ พลเอก เปรม ไม่เคยลงเลือกตั้งแม้แต่ครั้งเดียว และอาจเพราะพรรคการเมืองเก่าแก่ที่มีเสียงมากจากการเลือกตั้ง อย่างพรรคประชาธิปัตย์ อิงแอบกับอำนาจโหวตเลือกขั้วอำนาจเผด็จการในคราบประชาธิปไตยของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มาตลอดก็เป็นได้
การเมืองประชาธิปไตยครึ่งใบจึงเป็นระบอบการปกครอง ที่มีความชอบธรรมไม่มากนักจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการเดียวกันกับรัฐบาลเผด็จการในอดีต ทุกยุคทุกสมัย ล้วนแต่อ้างอิงกับสถาบันสูงสุด (เหตุผลยอดนิยม เพราะสมัย 2556 อ้างรักพ่อ เป็นคนดีเพื่อพ่อ) ความขัดแย้งทางการเมืองรอบนี้จึงเป็นความขัดแย้งของคนที่อยากจะเอาการเมืองแบบ "
ครึ่งราชการ/ครึ่งเลือกตั้ง" กลับมาใช้ แต่ไม่มีหนทาง จึงต้องพยายามจะใช้อำนาจนอกระบบมาเป็นตัวจัดตั้ง
ในอดีต
โครงสร้างอำนาจในระบบประชาธิปไตยครึ่งใบของพวกศักดินาตราตั้งถูกสั่นคลอนครั้งแรกจากการรุกคืบหน้าทางอำนาจของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเข้ามาแทนที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่หน้าฉากเหมือนเต็มใจจะวางมือทางการเมือง โดยพลเอกชาติชาย รุกเข้าไปในพื้นที่อำนาจของระบบราชการในทุกเรื่อง กลุ่มที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก (ซึ่งมีพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นประธาน) ได้พยายามเปิดพื้นที่การเมืองแบบใหม่ๆ ขึ้น จนในที่สุด อำนาจในการเมืองนอกประชาธิปไตยก็ตีโต้กลับเพื่อรักษาอำนาจระบบราชการที่เหลืออยู่ ด้วยการรัฐประหาร พ.ศ. 2535 (รสช.)
ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ครองอำนาจในช่วงหลังไต่ลวดเส้นแบ่งอำนาจระหว่างระบบราชการกับการเมืองแบบเลือกตั้ง อดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ทั้งสองสมัย (2535-2538,2540-2544) ได้นั่งเก้าอี้ควบรัฐมนตรีกลาโหมและนายกรัฐมนตรีเพื่อที่จะทำให้ไม่เกิดการปีนเกลียวและการก้าวข้าม "
ดุลอำนาจทหาร" ที่ดำรงอยู่ ดดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวของพรรคประชาธิปัตถ์ ที่อยู่ในฐานะ “
เบ๊” ของพลเอกเปรมมาอย่างยาวนาน เป็นกาวเชื่อมความสัมพันธ์
และการเปลี่ยนแปลงอำนาจรูปแบบประชาธิปไตย ให้มาเป็นของประชาชน เจ้าของอำนาจที่แท้จริง ก็มาจากนายกรัฐมนตรีที่พยายามแก้ไขปัญหาโครงสร้างอำนาจการเมืองประชาธิปไตยครึ่งใบ ได้แก่ บรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งพยายามปลดล็อกอำนาจในระบบประชาธิปไตยครึ่งใบด้วยการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เมื่อนาย บรรหาร ทำสำเร็จ
รัฐธรรมนูญ 2540 กลายเป็นจุดเริ่มต้นการดึงประชาชนเข้าร่วมทางการเมือง และกลายเป็นจุดหายนะของ ลัทธิข้าราชการเป็นใหญ่
และด้วยหลักการของรัฐธรรมนูญ 2540 จึงทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ตัวแทนที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากประชาชน ก็ได้เข้าไปจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างระบบราชการใน "
ส่วนที่เหลืออยู่" ของประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งนั้นเหมือนเป็นการเข้าไปทำลาย “
ฐานที่มั่นสุดท้าย” ของกลุ่ม”ศักดินาข้าราชการ”
คงด้วยความอหังการที่ทักษิณคิดว่าตนเองคุมพื้นที่การเมืองได้ทั้งหมด ซึ่งถือได้ว่าดำเนินการเมืองแบบไม่แยแสอำนาจในระบบประชาธิปไตยครึ่งใบ ของ ทักษิณ ชินวัตร ทำให้เกิดความขัดแย้งในการปรับโครงสร้างอำนาจจนและนำไปสู่การรัฐประหาร 2549 เพราะกลุ่ม ”
ศักดินาข้าราชการ” คิดว่าหากยอมให้ทักษิณต่อไป วันข้างหน้าจะไม่เหลือพื้นที่ให้ตนเองและพวกพ้องทรงกายอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่กุมอำนาจไว้ได้อีก
หลังการรัฐประหาร 2549 จึงเห็นได้ว่ามีความพยายามจรรโลงหลักการบางส่วนของประชาธิปไตยครึ่งใบ เพื่อรักษาอำนาจของระบบราชการในการตัดสินใจในการแบ่งสรรทรัพยากรกลาง เห็นได้ชัดเจนจากรัฐธรรมนูญ 2550 และการสร้างกฎเกณฑ์ในการโยกย้ายข้าราชการทหาร พร้อมทั้งพยายามสร้างและใช้ความชอบธรรมลักษณะเดิม เช่นเดียวกับสมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
และพล็อตเรื่องเดิมของบทละครโง่ๆบนเส้นทางการเเมืองไทยก็กลับมาอีกครั้ง หลังการชิงอำนาจมาจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ตัวแปรสำคัญ ในการต่อสู้ทางการเมืองในสิบปีที่ผ่านมาคือ ข้าราชการ
แต่ข้าราชการระดับสูงของไทย กับเป็นผู้ฝักใฝ่ ศักดินาข้าราชการ
ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้น เพราะการยื้อทางอำนาจระหว่างประชาธิปไตยระหว่างประชาชน กับกลุ่ม ศักดินาข้าราชการ ที่พยายามยามอ้างแต่ปากถึงคุณธรรมความดีของตัวเอง แต่พยายามแย่งชิงอำนาจประชาชนด้วย ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ โดยอาศัยการลากตั้ง ขึ้นมาฮุบอำนาจการเลือกตั้ง
เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ผมก็รู้ได้ว่า ระบบ “
ศักดินา” ในอดีต ไม่เคยจางหายไปจากสังคมไทย เพียงแต่แปลงโฉมใหม่มาในรูปของ “
ศักดินาตราตั้ง” แทนก็เท่านั้นเอง
ป.ล. ยาวอีกแล้ว จะมีคนอ่านไหมน๊า ไอ้พระรองเอ๋ย
แก้ไขคำผิด
ศักดินาตราตั้ง ภัยร้ายที่แฝงอยู่ในระบอบประชาธิปไตย (บทความการเมืองที่ยาวเกิน 3 บรรทัด)
สังคมศักดินา หมายถึงระบบสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น ซึ่งกำหนดสิทธิหน้าที่และฐานะของแต่ละบุคคลในสังคม จุดประสงค์ก็เพื่อควบคุมกำลังคนและแบ่งฐานะของบุคคลเป็นสำคัญ สังคมไทยในอดีตมีการจัดระเบียบของคนในสังคมออกเป็น 2 ชนชั้นใหญ่ ๆ
1.ชนชั้นนายหรือชนชั้นผู้ปกครอง เป็นกลุ่มคนส่วนน้อยในสังคมที่มีบทบาทและอำนาจมาก แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ
- เจ้านาย เป็นเชื้อพระวงศ์ได้มาจากการสืบทอด (Ascriptive status) หรือได้มาโดยกำเนิด เป็นระบบปิด เปลี่ยนไม่ได้ คล้ายระบบวรรณะ(Caste system) ของพราหมณ์ เจ้านายเริ่มตั้งแต่ชั้นเจ้าฟ้าแล้วก็ลดขั้นลงเรื่อยๆจนถึงหม่อมหลวง หลังจากหม่อมหลวงแล้วจะเป็นสามัญชน ทุกGeneration จะลดลงเรื่อยๆ
- ขุนนาง คือบุคคลที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์แต่ได้ถวายตัวรับใช้พระเจ้าแผ่นดิน มียศตำแหน่งเป็น
ตามลำดับชั้นจากล่างขึ้นบนตั้งแต่ขุน หลวง พระ พระยา เจ้าพระยา สามารถปรับเปลี่ยนสถานภาพได้ และได้มาจากการกระทำเป็น Achieved status เป็นระบบเปิดปรับเปลี่ยนได้ ถ้าทำความดีความชอบจะได้เลื่อนยศตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ มีศักดินาและอำนาจบารมีมากขึ้น เป็นระบบเปิดจงเปิดโอกาสให้คนเข้ามารับตำแหน่งได้แต่ส่วนใหญ่จะดึงกันมาตามสายของขุนนาง มาอุปถัมภ์ค้ำชูกันมาหรือบางคนอาจมาด้วยความสามารถส่วนตัวซึ่งจะพบได้น้อยมาก
2.ชนชั้นไพร่หรือชนชั้นผู้ใต้ปกครอง เป็นชนส่วนใหญ่ ที่ต้องใช้แรงกายทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการของชนชั้นปกครอง
แต่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงยกเลิกระบบ “ไพร่และทาส” ระบบศักดินาในไทยจึงคล้ายเสื่อมสลายไปในตอนนั้น
ในประวัติศาสตร์บอกเช่นนั้น แต่จริงๆคือ ไม่ ระบบศักดินา ยังคงมีบทบาทและอำนาจวาสนาในสังคมไทยต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน แม้ว่ารัชกาลที่ 7 ทรงพระราชทาน ประชาธิปไตย ให้กับปวงชนชาวไทย ให้มีสิทธิ เสรีภาพเท่าเทียมกันในหมู่คนทุกชั้นในสังคม แต่พวกนิยม “ศักดินา” ก็ยังคงแฝงตัวเกาะกุมอำนาจของประชาชนไว้เพียงฝ่ายเดียวอยู่ในทุกช่วงเวลาประวัติศาสตร์ หลังจากได้รับพระราชทาน ประชาธิปไตย
โดยคนกลุ่มนี้ หาวิธีครอบครองอำนาจโดยผ่านรัฐบาลเผด็จการทหาร หรือไม่ก็ใช้ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบแย่งชิงอำนาจประชาชนมาโดยตลอด
และไม่ต้องย้อนเวลาไปไกลมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สภาวะความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาร่วมสิบปีจาก พ.ศ. 2544 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจที่สำคัญยิ่ง เพราะในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางอำนาจนั้นมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ซับซ้อน แต่ละกลุ่มการเมืองก็ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยง/ใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันโดยที่ไม่สามารถที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถที่จะกำหนดความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้
การต่อสู้ทางการเมืองในช่วงสิบปีที่มีการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ขั้นอยู่ตรงกลางนั้นเป็นกระบวนการต่อสู้เพื่อเคลื่อนเข้าสู่สังคมประชาธิปไตย อันเป็นการยื้อทางอำนาจระหว่างโครงสร้างอำนาจทางการเมือง "ประชาธิปไตยครึ่งใบ" กับ “ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเต็มใบ” โดยเป็นการยื้อทางอำนาจของการเมืองจากพวกเสรีนิยม โดยพวกอนุรักษ์นิยม
ประชาธิปไตยครึ่งใบ คืออะไร
ประชาธิปไตยครึ่งใบ คือระบอบการปกครองเผด็จการที่ยังใช้ชื่อเรียกตัวเองว่าประชาธิปไตย เป็นระบบรวมศูนย์ครอบครองอำนาจทั้งหมดไว้ที่กลุ่มบุคคลกลุ่มเดียว แต่งตั้งพวกพ้องให้มาดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆเพื่อยึดครองอำนาจการบริหารไปตราบนานเท่านาน
การชุมนุมที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2556 เป็นผลผลิตของการอยากกลับไปใช้ระบบเก่าของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่สามารถแข่งขันและต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางได้ จึงพยายามจะทำทุกอย่างให้ระบบกลับกลายไปเป็นระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบแบบในอดีต
การสถาปนาระบอบประชาธิปไตยแบบครึ่งใบที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 2520 เป็นการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจใหม่ในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตัวแทนคนที่ 2 ของกลุ่มรัฐประหารของ พลเอก สงัด ชะลออยู่ ซึ่งก้าวขึ้นมาแทน พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ตัวแทนคนแรก เพราะสภาวะทางการเมืองในช่วงนั้น ขาดวิสัยทัศน์ในการดูแลเศรษฐกิจ เพราะมัวแต่แย่งชิงอำนาจทางการเมือง หรืออาจเป็นเพราะรัฐบาลที่มาจาก คณะรัฐประหารทุกยุคทุกสมัย ไม่มีฝีมือด้านการบริหาร มีแต่เพียงความอยากที่จะนั่งบนเก้าอี้ผู้บริหารสูงสุดของประเทศเท่านั้น
และนั้นเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่ยอมรับและอาจนำมาซึ่งการสูญเสียอำนาจ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการจัดการใหม่ ด้วยรัฐระบบราชการ ปิดปากเสียงต่อต้านด้วย การจัดสรรประโยชน์กลุ่มเครือข่ายทุนนิยมที่อิงแอบอยู่กับรัฐระบบราชการ เน้นภาพลักษณ์แอบอิงสถาบัน ใช้เป็นแนวป้องกันเสียงต่อต้านจากพวก ประชาธิปไตยเต็มขั้น
การเมืองประชาธิปไตยครึ่งใบมีลักษณะเด่น คือ การเลือกตั้งมีความสำคัญเพียงแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะอำนาจตัดสินใจสูงสุดยังอยู่ในผู้นำสูงสุดของระบบราชการ หรือคนที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จของประชาธิปไตยแบบ”ลากตั้ง” แต่ยอมให้มี "เสียง" จากการเมืองแบบเลือกตั้งบางส่วน เพื่อไว้หลอกประชาชนว่าเป็นประชาธิปไตย รัฐสภาในช่วงสมัยพลเอก เปรม จึงมี สส.ที่ผ่านการเลือกตั้งโดยประชาชนประมาณ 300 คน และมี สว.ที่มาจากการแต่งตั้งโดยกลุ่มถือครองอำนาจประมาณ 200 คน (สัดส่วน2ใน3) และการเสนอชื่อและลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีของ ประชาธิปไตยครึ่งใบ สว.ที่มาจากการแต่งตั้งมีสิทธิลงมติด้วย
การออกแบบการควบคุมอำนาจผ่านระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ มิได้กระทำเพียงในสภาที่ขนพวกพ้องตนเองเข้าไปนั่งคอยเป็น Back up แต่ยังสร้างค่านิยม “ศักดินา” โดยตำแหน่งให้กับข้าราชการระดับสูงหน่วยงานอื่น เช่น ข้าราชการระดับ อธิบดี มีสิทธิจะได้เป็น ส.ว.โดยอัตโนมัติ โดยอ้างความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ความรู้ความสามารถ ซึ่งนั้นทำให้ข้าราชการหลายคน หลงใหลได้ปลื้ม อยากมีศักดินาซึ่งผมขอเรียกวิธีแบบนี้ว่า "ศักดินาตราตั้ง" และยอมกลายเป็นพวกเดียวกับฝ่ายทหารโดยไม่สนใจว่ากำลังละเมิดสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนในการเลือกตัวแทน
แต่ระบอบนี้ก็ได้ผลเป็นอย่างดี เมื่อมีทั้งกำลังพลและข้าราชการสนับสนุน เสียงคัดค้านจากสื่อมวลชนก็เบาบาง เพราะถูกอำนาจณัฐปิดปาก ระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงยาวนานเป็นพิเศษ 3 สมัย 8 ปี 6 เดือน ทั้งๆที่ พลเอก เปรม ไม่เคยลงเลือกตั้งแม้แต่ครั้งเดียว และอาจเพราะพรรคการเมืองเก่าแก่ที่มีเสียงมากจากการเลือกตั้ง อย่างพรรคประชาธิปัตย์ อิงแอบกับอำนาจโหวตเลือกขั้วอำนาจเผด็จการในคราบประชาธิปไตยของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มาตลอดก็เป็นได้
การเมืองประชาธิปไตยครึ่งใบจึงเป็นระบอบการปกครอง ที่มีความชอบธรรมไม่มากนักจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการเดียวกันกับรัฐบาลเผด็จการในอดีต ทุกยุคทุกสมัย ล้วนแต่อ้างอิงกับสถาบันสูงสุด (เหตุผลยอดนิยม เพราะสมัย 2556 อ้างรักพ่อ เป็นคนดีเพื่อพ่อ) ความขัดแย้งทางการเมืองรอบนี้จึงเป็นความขัดแย้งของคนที่อยากจะเอาการเมืองแบบ "ครึ่งราชการ/ครึ่งเลือกตั้ง" กลับมาใช้ แต่ไม่มีหนทาง จึงต้องพยายามจะใช้อำนาจนอกระบบมาเป็นตัวจัดตั้ง
ในอดีต โครงสร้างอำนาจในระบบประชาธิปไตยครึ่งใบของพวกศักดินาตราตั้งถูกสั่นคลอนครั้งแรกจากการรุกคืบหน้าทางอำนาจของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเข้ามาแทนที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่หน้าฉากเหมือนเต็มใจจะวางมือทางการเมือง โดยพลเอกชาติชาย รุกเข้าไปในพื้นที่อำนาจของระบบราชการในทุกเรื่อง กลุ่มที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก (ซึ่งมีพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นประธาน) ได้พยายามเปิดพื้นที่การเมืองแบบใหม่ๆ ขึ้น จนในที่สุด อำนาจในการเมืองนอกประชาธิปไตยก็ตีโต้กลับเพื่อรักษาอำนาจระบบราชการที่เหลืออยู่ ด้วยการรัฐประหาร พ.ศ. 2535 (รสช.)
ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ครองอำนาจในช่วงหลังไต่ลวดเส้นแบ่งอำนาจระหว่างระบบราชการกับการเมืองแบบเลือกตั้ง อดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ทั้งสองสมัย (2535-2538,2540-2544) ได้นั่งเก้าอี้ควบรัฐมนตรีกลาโหมและนายกรัฐมนตรีเพื่อที่จะทำให้ไม่เกิดการปีนเกลียวและการก้าวข้าม "ดุลอำนาจทหาร" ที่ดำรงอยู่ ดดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวของพรรคประชาธิปัตถ์ ที่อยู่ในฐานะ “เบ๊” ของพลเอกเปรมมาอย่างยาวนาน เป็นกาวเชื่อมความสัมพันธ์
และการเปลี่ยนแปลงอำนาจรูปแบบประชาธิปไตย ให้มาเป็นของประชาชน เจ้าของอำนาจที่แท้จริง ก็มาจากนายกรัฐมนตรีที่พยายามแก้ไขปัญหาโครงสร้างอำนาจการเมืองประชาธิปไตยครึ่งใบ ได้แก่ บรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งพยายามปลดล็อกอำนาจในระบบประชาธิปไตยครึ่งใบด้วยการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เมื่อนาย บรรหาร ทำสำเร็จ รัฐธรรมนูญ 2540 กลายเป็นจุดเริ่มต้นการดึงประชาชนเข้าร่วมทางการเมือง และกลายเป็นจุดหายนะของ ลัทธิข้าราชการเป็นใหญ่
และด้วยหลักการของรัฐธรรมนูญ 2540 จึงทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ตัวแทนที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากประชาชน ก็ได้เข้าไปจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างระบบราชการใน "ส่วนที่เหลืออยู่" ของประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งนั้นเหมือนเป็นการเข้าไปทำลาย “ฐานที่มั่นสุดท้าย” ของกลุ่ม”ศักดินาข้าราชการ”
คงด้วยความอหังการที่ทักษิณคิดว่าตนเองคุมพื้นที่การเมืองได้ทั้งหมด ซึ่งถือได้ว่าดำเนินการเมืองแบบไม่แยแสอำนาจในระบบประชาธิปไตยครึ่งใบ ของ ทักษิณ ชินวัตร ทำให้เกิดความขัดแย้งในการปรับโครงสร้างอำนาจจนและนำไปสู่การรัฐประหาร 2549 เพราะกลุ่ม ”ศักดินาข้าราชการ” คิดว่าหากยอมให้ทักษิณต่อไป วันข้างหน้าจะไม่เหลือพื้นที่ให้ตนเองและพวกพ้องทรงกายอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่กุมอำนาจไว้ได้อีก
หลังการรัฐประหาร 2549 จึงเห็นได้ว่ามีความพยายามจรรโลงหลักการบางส่วนของประชาธิปไตยครึ่งใบ เพื่อรักษาอำนาจของระบบราชการในการตัดสินใจในการแบ่งสรรทรัพยากรกลาง เห็นได้ชัดเจนจากรัฐธรรมนูญ 2550 และการสร้างกฎเกณฑ์ในการโยกย้ายข้าราชการทหาร พร้อมทั้งพยายามสร้างและใช้ความชอบธรรมลักษณะเดิม เช่นเดียวกับสมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
และพล็อตเรื่องเดิมของบทละครโง่ๆบนเส้นทางการเเมืองไทยก็กลับมาอีกครั้ง หลังการชิงอำนาจมาจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ตัวแปรสำคัญ ในการต่อสู้ทางการเมืองในสิบปีที่ผ่านมาคือ ข้าราชการ
แต่ข้าราชการระดับสูงของไทย กับเป็นผู้ฝักใฝ่ ศักดินาข้าราชการ
ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้น เพราะการยื้อทางอำนาจระหว่างประชาธิปไตยระหว่างประชาชน กับกลุ่ม ศักดินาข้าราชการ ที่พยายามยามอ้างแต่ปากถึงคุณธรรมความดีของตัวเอง แต่พยายามแย่งชิงอำนาจประชาชนด้วย ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ โดยอาศัยการลากตั้ง ขึ้นมาฮุบอำนาจการเลือกตั้ง
เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ผมก็รู้ได้ว่า ระบบ “ศักดินา” ในอดีต ไม่เคยจางหายไปจากสังคมไทย เพียงแต่แปลงโฉมใหม่มาในรูปของ “ศักดินาตราตั้ง” แทนก็เท่านั้นเอง
ป.ล. ยาวอีกแล้ว จะมีคนอ่านไหมน๊า ไอ้พระรองเอ๋ย
แก้ไขคำผิด