“ผมเริ่มงานในวงการโฆษณาปี 2539 เคยทำอยู่ในบริษัทที่มีหัวหน้าเป็นเบอร์หนึ่งในวงการ
สมัยนั้นอีโก้ของวงการคือการประกวด มันคือการโชว์ว่าตัวคุณคิดไอเดียได้ดีแค่ไหน ผ่านรางวัลอะไรมาบ้าง
คนในวงการก็เสพติด ซึ่งเป็นสิ่งที่คนนอกวงการไม่เข้าใจ ออฟฟิศที่ผมอยู่รางวัลวางเรียงเยอะมาก
วันหนึ่งหัวหน้าป่วยหนัก แต่รางวัลไม่ช่วยอะไรเลย ผมเริ่มฉุกคิดว่า ‘โฆษณาไม่ใช่ชีวิตว่ะ’ แต่ก็ยังเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ต้องโตไปในทางนี้ แต่ผมเริ่มเห็นโทษ รู้ว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมด
“ผมออกมาเติบโตตามสายงาน ต้องรับผิดชอบครีมยี่ห้อหนึ่ง เจอนักการตลาดที่ไม่ได้หวังให้เราทำงานสร้างสรรค์
แต่มองว่าเราทำในสิ่งที่เขาอยากเห็นไหม หนังโฆษณาของครีมยี่ห้อนี้ ผมต้องดู CG ของเม็ดบีทที่ทำให้ผิวเด้ง
วิตามินวิ่งไปวิ่งมา แต่ความจริงก็คือ เม็ดพวกนี้มันไม่มีอยู่ในโลก มันเป็นภาพเพื่อใช้หลอก
คนมักชินว่า นี่คือเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ เทคนิคห่าอะไร! มันเป็นกราฟิกที่หลอก! ที่บอกว่าครีมมีวิตามินเพียบ
แต่มันใส่จริงๆ 0.0002%… เท่าไรเอง ผมโอเคกับการขายของนะ แต่นี่ต้องแก้งานจนกลับบ้านตีสอง ไม่ได้เจอหน้าลูก
เพื่อมาดูสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เรากำลังโกหกคนเป็นล้านเลยนะ
“ครั้งที่พีคมากก็คือ พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ประมาณว่า 'แฉเด็กดูทีวีอาบไฮเตอร์! อยากขาวเหมือนโฆษณา'
ผมเอาข่าวนี้ไปคุยกับ Account Director 'พี่เห็นแล้วรู้สึกอะไรไหม' แต่เขายังไม่รู้สึกอะไร ผมพูดกับเขาว่า
'วงการเราทำเรื่องนี้เลยนะ เราสร้างว่าผิวขาวมันดีมันวิเศษ ไวท์เทนนิ่งมันช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ นี่มันเพราะวงการเราเลยนะพี่!'
“ตอนนั้นผมก็ยังวางไม่ได้ แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ผ่อนบ้านแล้ว แต่ผมเลิกสนใจความสำเร็จของรางวัล
และหันมาทำโฆษณาฟรีให้องค์กรการกุศลต่างๆ จนกระทั่ง 5 ปีที่แล้ว
ผมได้เจอกับองค์กรที่มีความตั้งใจทำงานสื่อสารเพื่อสร้างสรรค์สังคม ผมจึงตัดสินใจย้ายออกมาจากวงการ
เพื่อมาทำงานสื่อสารในสิ่งที่เราคิดว่ามันน่าจะช่วยคนได้มากกว่า"
https://www.facebook.com/bkkhumans/photos/a.1433077766976167.1073741827.1432299840387293/1578736982410244/?type=1&fref=nf
ผมเริ่มงานในวงการโฆษณาปี 2539 เคยทำอยู่ในบริษัทที่มีหัวหน้าเป็นเบอร์หนึ่งในวงการ
สมัยนั้นอีโก้ของวงการคือการประกวด มันคือการโชว์ว่าตัวคุณคิดไอเดียได้ดีแค่ไหน ผ่านรางวัลอะไรมาบ้าง
คนในวงการก็เสพติด ซึ่งเป็นสิ่งที่คนนอกวงการไม่เข้าใจ ออฟฟิศที่ผมอยู่รางวัลวางเรียงเยอะมาก
วันหนึ่งหัวหน้าป่วยหนัก แต่รางวัลไม่ช่วยอะไรเลย ผมเริ่มฉุกคิดว่า ‘โฆษณาไม่ใช่ชีวิตว่ะ’ แต่ก็ยังเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ต้องโตไปในทางนี้ แต่ผมเริ่มเห็นโทษ รู้ว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมด
“ผมออกมาเติบโตตามสายงาน ต้องรับผิดชอบครีมยี่ห้อหนึ่ง เจอนักการตลาดที่ไม่ได้หวังให้เราทำงานสร้างสรรค์
แต่มองว่าเราทำในสิ่งที่เขาอยากเห็นไหม หนังโฆษณาของครีมยี่ห้อนี้ ผมต้องดู CG ของเม็ดบีทที่ทำให้ผิวเด้ง
วิตามินวิ่งไปวิ่งมา แต่ความจริงก็คือ เม็ดพวกนี้มันไม่มีอยู่ในโลก มันเป็นภาพเพื่อใช้หลอก
คนมักชินว่า นี่คือเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ เทคนิคห่าอะไร! มันเป็นกราฟิกที่หลอก! ที่บอกว่าครีมมีวิตามินเพียบ
แต่มันใส่จริงๆ 0.0002%… เท่าไรเอง ผมโอเคกับการขายของนะ แต่นี่ต้องแก้งานจนกลับบ้านตีสอง ไม่ได้เจอหน้าลูก
เพื่อมาดูสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เรากำลังโกหกคนเป็นล้านเลยนะ
“ครั้งที่พีคมากก็คือ พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ประมาณว่า 'แฉเด็กดูทีวีอาบไฮเตอร์! อยากขาวเหมือนโฆษณา'
ผมเอาข่าวนี้ไปคุยกับ Account Director 'พี่เห็นแล้วรู้สึกอะไรไหม' แต่เขายังไม่รู้สึกอะไร ผมพูดกับเขาว่า
'วงการเราทำเรื่องนี้เลยนะ เราสร้างว่าผิวขาวมันดีมันวิเศษ ไวท์เทนนิ่งมันช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ นี่มันเพราะวงการเราเลยนะพี่!'
“ตอนนั้นผมก็ยังวางไม่ได้ แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ผ่อนบ้านแล้ว แต่ผมเลิกสนใจความสำเร็จของรางวัล
และหันมาทำโฆษณาฟรีให้องค์กรการกุศลต่างๆ จนกระทั่ง 5 ปีที่แล้ว
ผมได้เจอกับองค์กรที่มีความตั้งใจทำงานสื่อสารเพื่อสร้างสรรค์สังคม ผมจึงตัดสินใจย้ายออกมาจากวงการ
เพื่อมาทำงานสื่อสารในสิ่งที่เราคิดว่ามันน่าจะช่วยคนได้มากกว่า"
https://www.facebook.com/bkkhumans/photos/a.1433077766976167.1073741827.1432299840387293/1578736982410244/?type=1&fref=nf