จากที่ได้ติดตามและ สอบถามหลวงพี่เตชมาหลายวันเรื่อง ตัวตนมายา ที่ธรรมชาติ ปรุงแต่งขึ้นมาและ ด้วยอวิชชาที่หลอกหลอนให้เราเข้าใจผิดๆไปว่า ตัวเรานี่มันมีอยู่จริง และจะลอยไปเกิดเป็นคนใหม่หลังจากกายนี้ตายลงมาได้ วันนี้ก็ถึงเวลานำความรู้สัจธรรมนั้นไปประยุกต์และสำเร็จเป็นครั้งแรก
มาเข้าเรื่องเลยละกัน เมื่อเช้าตอนเดินจากที่จอดรถมาที่ทำงานได้เจอผู้ร่วมงาน 2 ท่านที่เคยมีความขัดแย้งถึงขั้นไม่มองหน้ากันไม่เผาผีกันที่เดียว
ตอนแรกเราก็รู้สึก Feel Bad ขึ้นมาในจิต แต่ด้วยสติที่เริ่มฝึกมาตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ทำให้มาพิจารณาว่าทั้งตัวเราตัวเขาต่างก็เกิดจากการปรุงแต่งของขันธ์ 5 ซึ่งเป็นการเกิดขึ้น เป็นขณะๆ และจบลงตลอดเวลาไม่ได้มีตัวตนจริงๆนี่นาเป็นแค่มายาที่จิตไปยึดเข้ามาเอง การที่ในวันนั้นเขาทำไม่ดีกับเราก็คงเป็นเพราะเหตุปัจจัยบางอย่างมันถึงพร้อม ณ ตอนนั้นและมันคงจะประทับอยู่ใน สัญญา ของเขา รวมทั้งของเราด้วยเลยทำให้ รู้สึกไม่ดัทุกครั้งเวลาเจอกัน
หลังจากใช้เวลาประมาณ 5 วินาทีพิจารณาข้อธรรมข้างต้นปรากฏว่าความรู้สึก Feel Bad นั้นหายไปทันที
เหลือแต่ความรู้สึกรู้ตัวในปัจจุบันขณะเท่านั้น
อีกเหตุการณ์หนึ่งพอมาถึงที่ทำงานเจอรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งตอนนี้ ด้วยเหตุปัจจัยบางประการทำให้เขาก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน นำหน้าเราไปแล้ว
แวบแรกก็ตามเดิมรู้สึก Feel Bad น้อยเนื้อต่ำใจในความโชคร้ายของตัวเราว่า ทำไมเราไปทำอะไรพลาดมานะถึงโดนแซงไปเสียได้
แต่แวบนั้นเองมาคิดถึงคำสอนเรื่องอนัตตา ก็เลยพิจารณาข้อธรรมที่ว่า การที่น้องเขาก้าวหน้ากว่าเราก็เพราะว่ามีเหตุปัจจัยบางอย่างที่ประกอบกันขึ้นมา และส่งผลให้เกิดผลแบบนั้น ส่วนตัวเรานั้นด้วยเหตุปัจจัยที่ผิดพลาดบางอย่างก็เลยส่งผลให้เกิดความไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานเท่าที่เราคาดหวัง
และข้อดีของการรุ้อนัตตาก็คือ การที่เราเข้าใจว่าสิ่งทั้งปวงนั้นมันไม่ได้เป็นตัวตน ถาวร แต่เกิดจากปัจจัยแวดล้อม ในการเอื้อหนุนให้เกิด ผลนั้นๆ
ใช้เวลา 5 วินทีเช่นเดิมพิจารณาข้อธรรมข้างต้น จิตก็เย็นลงทันที
ความกระวนกระวาย น้อยใจ เสียใจ ดับไปเหมือนเปลวเทียนดับไปเพราะเหตุปัจจัยในการเผาไหม้ไม่ครบถ้วน
ซึ่งผมมองว่า สติ และปัญญา (ความรุ้ ความเข้าใจเรื่อง อนัตตา)นั้นแหละทำให้เหตุปัจจัย ในการเผาไหม้ของเทียน (ในที่นี้คือความเผาลนของใจผม) มันหมดไป
วันนี้ผมทำได้สองครั้งแล้วครับหลวงพี่เตช
วันนี้ได้นำหลัก อนัตตาที่หลวงพี่ เตช อธิบายมาใช้สำเร็จเป็นวันแรก
มาเข้าเรื่องเลยละกัน เมื่อเช้าตอนเดินจากที่จอดรถมาที่ทำงานได้เจอผู้ร่วมงาน 2 ท่านที่เคยมีความขัดแย้งถึงขั้นไม่มองหน้ากันไม่เผาผีกันที่เดียว
ตอนแรกเราก็รู้สึก Feel Bad ขึ้นมาในจิต แต่ด้วยสติที่เริ่มฝึกมาตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ทำให้มาพิจารณาว่าทั้งตัวเราตัวเขาต่างก็เกิดจากการปรุงแต่งของขันธ์ 5 ซึ่งเป็นการเกิดขึ้น เป็นขณะๆ และจบลงตลอดเวลาไม่ได้มีตัวตนจริงๆนี่นาเป็นแค่มายาที่จิตไปยึดเข้ามาเอง การที่ในวันนั้นเขาทำไม่ดีกับเราก็คงเป็นเพราะเหตุปัจจัยบางอย่างมันถึงพร้อม ณ ตอนนั้นและมันคงจะประทับอยู่ใน สัญญา ของเขา รวมทั้งของเราด้วยเลยทำให้ รู้สึกไม่ดัทุกครั้งเวลาเจอกัน
หลังจากใช้เวลาประมาณ 5 วินาทีพิจารณาข้อธรรมข้างต้นปรากฏว่าความรู้สึก Feel Bad นั้นหายไปทันที
เหลือแต่ความรู้สึกรู้ตัวในปัจจุบันขณะเท่านั้น
อีกเหตุการณ์หนึ่งพอมาถึงที่ทำงานเจอรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งตอนนี้ ด้วยเหตุปัจจัยบางประการทำให้เขาก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน นำหน้าเราไปแล้ว
แวบแรกก็ตามเดิมรู้สึก Feel Bad น้อยเนื้อต่ำใจในความโชคร้ายของตัวเราว่า ทำไมเราไปทำอะไรพลาดมานะถึงโดนแซงไปเสียได้
แต่แวบนั้นเองมาคิดถึงคำสอนเรื่องอนัตตา ก็เลยพิจารณาข้อธรรมที่ว่า การที่น้องเขาก้าวหน้ากว่าเราก็เพราะว่ามีเหตุปัจจัยบางอย่างที่ประกอบกันขึ้นมา และส่งผลให้เกิดผลแบบนั้น ส่วนตัวเรานั้นด้วยเหตุปัจจัยที่ผิดพลาดบางอย่างก็เลยส่งผลให้เกิดความไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานเท่าที่เราคาดหวัง
และข้อดีของการรุ้อนัตตาก็คือ การที่เราเข้าใจว่าสิ่งทั้งปวงนั้นมันไม่ได้เป็นตัวตน ถาวร แต่เกิดจากปัจจัยแวดล้อม ในการเอื้อหนุนให้เกิด ผลนั้นๆ
ใช้เวลา 5 วินทีเช่นเดิมพิจารณาข้อธรรมข้างต้น จิตก็เย็นลงทันที
ความกระวนกระวาย น้อยใจ เสียใจ ดับไปเหมือนเปลวเทียนดับไปเพราะเหตุปัจจัยในการเผาไหม้ไม่ครบถ้วน
ซึ่งผมมองว่า สติ และปัญญา (ความรุ้ ความเข้าใจเรื่อง อนัตตา)นั้นแหละทำให้เหตุปัจจัย ในการเผาไหม้ของเทียน (ในที่นี้คือความเผาลนของใจผม) มันหมดไป
วันนี้ผมทำได้สองครั้งแล้วครับหลวงพี่เตช