พอดีวันนี้คุณแม่พาญาติไปซื้อของที่แถวหน้าสันติอโศกตรงถนนนวมินทร์ค่ะ
ระหว่างที่กำลังรอบนรถคุณแม่ก็ได้ให้ไปซื้อมะละกอจากแม่ค้ารถเข็นผักผลไม้ตรงแถวๆนั้น ตอนแรกที่ดิฉันไปเลือกซื้อเขาก็พูดดีค่ะ อัธยาศัยดีทีเดียว
ตอนที่เขาชั่งเสร็จ(ขายโลละ30บาท)เขาก็บอกว่าโลเดียวนะ ซึ่งดิฉันก็ได้ยื่นแบงก์ร้อยส่งไปให้ซึ่งเขาก็รับก่อนนำมะละกอใส่ถุงวางไว้บนรถ
ดิฉันก็ยืนรอเงินทอนแต่ทางแม่ค้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยิบให้ ดิฉันจึงถามไปว่า
ดิฉัน:"เมื่อกี้มะละกอเท่าไหร่นะคะ"

ยืนยันอีกที แต่ป้ายบนรถก็เขียนไว้ว่า30บาท)
แม่ค้า:"โลเดียว30จ้ะ"
ดิฉัน:"ค่ะ แต่เมื่อกี้หนูยื่นแบงก์ร้อยไปให้แล้วนะคะ"
แม่ค้า:"แต่ป้ายังไม่ได้เงินจากหนูเลยนะ ป้าก็รอว่าหนูยืนทำอะไรอยู่ เมื่อไหร่จะจ่ายป้าสักที"
เจออย่างนี้ดิฉันก็เงิบเลยสิคะ ก็ได้แต่ยืนยันว่าส่งเงินไปให้แล้วจริง ทางแม่ค้าก็ได้แต่ยืนยันว่าไม่ได้เงินจริงๆแถมถามดิฉันว่าทำตกไว้ที่ไหนหรือเปล่า
ซึ่งตอนแรกดิฉันก็คิดว่าตอนรับเธอคงทำตกมั้งก็เลยช่วยหาที่พื้นพร้อมกับลูกสาวแม่ค้าแต่ก็ไม่มี แต่ดิฉันก็ยืนยันว่าส่งเงินไปให้แล้วจริง ลูกสาวของแม่ค้าก็ถามดิฉันว่าตอนส่งเงินนั้นส่งให้กับใคร ดิฉันก็บอกว่าส่งให้กับตัวแม่ค้าเองนั่นแหละ เพราะตอนนั้นลูกสาวแม่ค้ากำลังจัดของอยู่ข้างๆ ซึ่งตัวแม่ค้าก็ยังอ้างว่า
"ตามความเป็นจริงแล้วเงินจะหายไปได้ไง ป้าเป็นคนที่รับเงินลูกค้าแล้วก็ให้ของเลย แบบยื่นหมูยื่นแมวกัน แต่นี่ป้ายังไม่ได้ตังค์จากหนูเลย" ดิฉันเริ่มเซ็งก็เลยฝากวางมะละกอไว้ก่อนแล้วเดินกลับไปที่รถที่จอดไม่ห่างกันนัก ซึ่งคุณแม่ฉันที่มองเหตุการณ์ตลอดก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงไม่ได้มะละกอเลยเล่าเรื่องราวให้ฟัง แม่ดิฉันเลยบอกให้ดิฉันรีบเดินกลับไปเพราะที่ดิฉันเดินกลับมาเท่ากับยอมรับผิด
เมื่อดิฉันเดินกลับไปแล้วก็ยืนยันกับแม่ค้าว่าจ่ายแล้วจริงๆ ซึ่งก็ได้รับคำตอบเดิมๆกลับมา แล้วสักพักคุณป้าและลูกพี่ลูกน้องดิฉัน(ขอเรียกว่าพี่สาว)ก็เดินกลับมาถึงที่รถ แล้วพี่สาวก็เดินเข้ามาถามเหตุการณ์ ซึ่งดิฉันก็เล่าไปตามตรงส่วนแม่ค้าก็ยังยืนยันว่าไม่ได้เงินจากดิฉันและพูดว่าเป็นการเข้าใจผิด และแม่ค้าก็บอกว่าปกติเขารับเงินก็จะใส่กระเป๋าสะพายหน้าสีดำไว้ตลอด เมื่อพี่สาวดิฉันขอดูแม่ค้าก็อ้างว่าเขาขายของทั้งวันตั้งแต่ตี4เงินก็ต้องมีอยู่แล้วมากมาย และยังบอกอีกว่าตอนนี้เขาก็กลัวไม่รับทั้งแบงก์ห้าร้อยและแบงก์พัน(เกี่ยวไหม?)
แต่จุดไคลแมกซ์อยู่ที่ว่าพอพี่สาวดิฉันให้เขาดูกระเป๋าเสื้อเผื่อแม่ค้าจะเผลอใส่ไว้ แม่ค้าก็ปฏิเสธว่าเขา
ไม่เคยใส่เงินไว้ในกระเป๋าเสื้อเลย มีแต่พวกถุงกับหนังยางเท่านั้น ส่วนเงินจะเก็บไว่ในกระเป๋าสีดำตลอด แต่พอล้วงออกมาก็ปรากฏว่า
"เจอแบงก์หนึ่งร้อยหนึ่งใบ"ตรงตามที่ดิฉันยื่นส่งให้
แต่ตอนที่ล้วงออกมาเจอนั้นแม่ค้าพูดถึงแต่ถุงกับหนังยางเท่านั้น ไม่พูดถึงแบงก์ร้อยนั่นเลย จนพี่สาวดิฉันจี้เข้าเธอจึงพูดว่า
"ขายของทั้งวันมันก็ต้องมีหลงมาบ้าง"
ค่ะ หลงแต่แบงก์ร้อยเจ้าปัญหาใบเดียวไม่มีแบงก์หรือเหรียญใดๆผสมเลย ณ จุดๆนี้คนเริ่มมุงเยอะแล้ว
ขณะที่พี่สาวดิฉันกำลังมองหากล้องวงจรปิดและท้าให้แม่ค้าไปดูกล้องวงจรปิดด้วยกันนั้น คุณแม่ของดิฉันก็ลงจากรถมา เมื่อท่านจับใจความได้ว่าเจอหลักฐานนั้นแล้ว ท่านก็โมโหมากแล้วถามว่าตกลงทางแม่ค้าจะเอายังไง แม่ค้าก็ได้แต่แก้ตัวตามเดิม จนแม่ดิฉันคิดว่าไม่จบแน่จึงบอกไปว่า"ถ้าคุณไม่คืนก็ดี ถือว่าทำบุญไปแล้วกัน" พร้อมบอกให้พวกดิฉันกลับไปที่รถ ส่วนแม่ค้าที่คาดว่าคงฟิวส์ขาดแล้วก็หลุดคำหยาบคายและกล่าวหาว่าพวกดิฉันเป็นหน้าม้าที่ถูกจ้างมา(โธ่แม่คุณ มะละกอลูกละ30ต้องใช้หน้าม้า3คนเลยเร๊อะ) ส่วนลูกสาวแม่ค้าก็พยายามทอนเงินให้ดิฉันก็ถูกแม่ค้าตีมือแล้วบอกว่า
"จะทอนเงินทำไม ไม่ต้องทอน ก ู ไม่ยอมรับ) และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ดิฉันได้ยินจากปากนางก่อนเดินไปโดยไม่หยิบมะละกอ
สำหรับบางคนเงินหนึ่งร้อยบาทอาจจะเป็นเงินจำนวนนิดเดียว แต่สำหรับดิฉันเงินทุกบาททุกสตางค์ควรใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าเหมาะสมมากที่สุด
และ
"ความซื่อสัตย์"ควรเป็นคุณธรรมที่ผู้ค้าทุกคน
ต้องมี
ไม่ว่าแม่ค้าตั้งใจโกงแต่แรกหรือเป็นความพลั้งเผลอแม่ค้าเองก็ตาม แต่ถ้าหากไม่คืนเงินจำนวนที่ดิฉันควรได้รับและยังทำกิริยาวาจาใส่แบบนี้
ดิฉันก็ตีความได้อย่างเดียวว่า
"โกง"ค่ะ
เตือนภัยแม่ค้ารถเข็นโกงหน้าสันติอโศก
ระหว่างที่กำลังรอบนรถคุณแม่ก็ได้ให้ไปซื้อมะละกอจากแม่ค้ารถเข็นผักผลไม้ตรงแถวๆนั้น ตอนแรกที่ดิฉันไปเลือกซื้อเขาก็พูดดีค่ะ อัธยาศัยดีทีเดียว
ตอนที่เขาชั่งเสร็จ(ขายโลละ30บาท)เขาก็บอกว่าโลเดียวนะ ซึ่งดิฉันก็ได้ยื่นแบงก์ร้อยส่งไปให้ซึ่งเขาก็รับก่อนนำมะละกอใส่ถุงวางไว้บนรถ
ดิฉันก็ยืนรอเงินทอนแต่ทางแม่ค้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยิบให้ ดิฉันจึงถามไปว่า
ดิฉัน:"เมื่อกี้มะละกอเท่าไหร่นะคะ"
แม่ค้า:"โลเดียว30จ้ะ"
ดิฉัน:"ค่ะ แต่เมื่อกี้หนูยื่นแบงก์ร้อยไปให้แล้วนะคะ"
แม่ค้า:"แต่ป้ายังไม่ได้เงินจากหนูเลยนะ ป้าก็รอว่าหนูยืนทำอะไรอยู่ เมื่อไหร่จะจ่ายป้าสักที"
เจออย่างนี้ดิฉันก็เงิบเลยสิคะ ก็ได้แต่ยืนยันว่าส่งเงินไปให้แล้วจริง ทางแม่ค้าก็ได้แต่ยืนยันว่าไม่ได้เงินจริงๆแถมถามดิฉันว่าทำตกไว้ที่ไหนหรือเปล่า
ซึ่งตอนแรกดิฉันก็คิดว่าตอนรับเธอคงทำตกมั้งก็เลยช่วยหาที่พื้นพร้อมกับลูกสาวแม่ค้าแต่ก็ไม่มี แต่ดิฉันก็ยืนยันว่าส่งเงินไปให้แล้วจริง ลูกสาวของแม่ค้าก็ถามดิฉันว่าตอนส่งเงินนั้นส่งให้กับใคร ดิฉันก็บอกว่าส่งให้กับตัวแม่ค้าเองนั่นแหละ เพราะตอนนั้นลูกสาวแม่ค้ากำลังจัดของอยู่ข้างๆ ซึ่งตัวแม่ค้าก็ยังอ้างว่า
"ตามความเป็นจริงแล้วเงินจะหายไปได้ไง ป้าเป็นคนที่รับเงินลูกค้าแล้วก็ให้ของเลย แบบยื่นหมูยื่นแมวกัน แต่นี่ป้ายังไม่ได้ตังค์จากหนูเลย" ดิฉันเริ่มเซ็งก็เลยฝากวางมะละกอไว้ก่อนแล้วเดินกลับไปที่รถที่จอดไม่ห่างกันนัก ซึ่งคุณแม่ฉันที่มองเหตุการณ์ตลอดก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงไม่ได้มะละกอเลยเล่าเรื่องราวให้ฟัง แม่ดิฉันเลยบอกให้ดิฉันรีบเดินกลับไปเพราะที่ดิฉันเดินกลับมาเท่ากับยอมรับผิด
เมื่อดิฉันเดินกลับไปแล้วก็ยืนยันกับแม่ค้าว่าจ่ายแล้วจริงๆ ซึ่งก็ได้รับคำตอบเดิมๆกลับมา แล้วสักพักคุณป้าและลูกพี่ลูกน้องดิฉัน(ขอเรียกว่าพี่สาว)ก็เดินกลับมาถึงที่รถ แล้วพี่สาวก็เดินเข้ามาถามเหตุการณ์ ซึ่งดิฉันก็เล่าไปตามตรงส่วนแม่ค้าก็ยังยืนยันว่าไม่ได้เงินจากดิฉันและพูดว่าเป็นการเข้าใจผิด และแม่ค้าก็บอกว่าปกติเขารับเงินก็จะใส่กระเป๋าสะพายหน้าสีดำไว้ตลอด เมื่อพี่สาวดิฉันขอดูแม่ค้าก็อ้างว่าเขาขายของทั้งวันตั้งแต่ตี4เงินก็ต้องมีอยู่แล้วมากมาย และยังบอกอีกว่าตอนนี้เขาก็กลัวไม่รับทั้งแบงก์ห้าร้อยและแบงก์พัน(เกี่ยวไหม?)
แต่จุดไคลแมกซ์อยู่ที่ว่าพอพี่สาวดิฉันให้เขาดูกระเป๋าเสื้อเผื่อแม่ค้าจะเผลอใส่ไว้ แม่ค้าก็ปฏิเสธว่าเขาไม่เคยใส่เงินไว้ในกระเป๋าเสื้อเลย มีแต่พวกถุงกับหนังยางเท่านั้น ส่วนเงินจะเก็บไว่ในกระเป๋าสีดำตลอด แต่พอล้วงออกมาก็ปรากฏว่า
"เจอแบงก์หนึ่งร้อยหนึ่งใบ"ตรงตามที่ดิฉันยื่นส่งให้
แต่ตอนที่ล้วงออกมาเจอนั้นแม่ค้าพูดถึงแต่ถุงกับหนังยางเท่านั้น ไม่พูดถึงแบงก์ร้อยนั่นเลย จนพี่สาวดิฉันจี้เข้าเธอจึงพูดว่า
"ขายของทั้งวันมันก็ต้องมีหลงมาบ้าง"
ค่ะ หลงแต่แบงก์ร้อยเจ้าปัญหาใบเดียวไม่มีแบงก์หรือเหรียญใดๆผสมเลย ณ จุดๆนี้คนเริ่มมุงเยอะแล้ว
ขณะที่พี่สาวดิฉันกำลังมองหากล้องวงจรปิดและท้าให้แม่ค้าไปดูกล้องวงจรปิดด้วยกันนั้น คุณแม่ของดิฉันก็ลงจากรถมา เมื่อท่านจับใจความได้ว่าเจอหลักฐานนั้นแล้ว ท่านก็โมโหมากแล้วถามว่าตกลงทางแม่ค้าจะเอายังไง แม่ค้าก็ได้แต่แก้ตัวตามเดิม จนแม่ดิฉันคิดว่าไม่จบแน่จึงบอกไปว่า"ถ้าคุณไม่คืนก็ดี ถือว่าทำบุญไปแล้วกัน" พร้อมบอกให้พวกดิฉันกลับไปที่รถ ส่วนแม่ค้าที่คาดว่าคงฟิวส์ขาดแล้วก็หลุดคำหยาบคายและกล่าวหาว่าพวกดิฉันเป็นหน้าม้าที่ถูกจ้างมา(โธ่แม่คุณ มะละกอลูกละ30ต้องใช้หน้าม้า3คนเลยเร๊อะ) ส่วนลูกสาวแม่ค้าก็พยายามทอนเงินให้ดิฉันก็ถูกแม่ค้าตีมือแล้วบอกว่า
"จะทอนเงินทำไม ไม่ต้องทอน ก ู ไม่ยอมรับ) และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ดิฉันได้ยินจากปากนางก่อนเดินไปโดยไม่หยิบมะละกอ
สำหรับบางคนเงินหนึ่งร้อยบาทอาจจะเป็นเงินจำนวนนิดเดียว แต่สำหรับดิฉันเงินทุกบาททุกสตางค์ควรใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าเหมาะสมมากที่สุด
และ"ความซื่อสัตย์"ควรเป็นคุณธรรมที่ผู้ค้าทุกคนต้องมี
ไม่ว่าแม่ค้าตั้งใจโกงแต่แรกหรือเป็นความพลั้งเผลอแม่ค้าเองก็ตาม แต่ถ้าหากไม่คืนเงินจำนวนที่ดิฉันควรได้รับและยังทำกิริยาวาจาใส่แบบนี้
ดิฉันก็ตีความได้อย่างเดียวว่า"โกง"ค่ะ