ม.หอการค้าฯ จ่อหั่นจีดีพีปีนี้เหลือ 3-3.5% แนะรัฐชะลอขึ้นพลังงาน
ม.หอการค้าฯ จ่อทบทวนหั่นจีดีพีปีนี้ เหลือ 3-3.5% จากเดิม 3.5-4% มองศก.ฟื้นตัวไม่โดดเด่น ประเมินเชื่อมั่นผู้บริโภคจะกระเตื้องไตรมาส 2 จากเม็ดเงินอัดฉีดรัฐ แนะชะลอปรับขึ้นเอ็นจีวี-แอลพีจี ชี้เงินเฟ้อไม่ควรติดลบเกิน 5 เดือน หวั่นเกิดเงินฝืด...
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุเตรียมทบทวนตัวเลขคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้ช่วงเดือน เม.ย.58 เบื้องต้นคาดว่าจะปรับลดเหลือเติบโตราว 3-3.5% จากเดิมคาดไว้ 3.5-4% ขณะที่ตัวเลขการส่งออกคาดว่าจะลดลงเหลือขยายตัว 1-2% จากเดิม 3-4% และเงินเฟ้อลดลงเหลือ 0.5-1.3% จากเดิม 1-1.8% เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างโดดเด่น และการบริโภคยังไม่ได้เป็นแรงขับในการเคลื่อนเศรษฐกิจมากเท่าที่ควร อีกทั้งเม็ดเงินจากการลงทุนของภาครัฐลงไปสู่ระบบได้อย่างล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม คาดว่าปลายไตรมาส 2/58 ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะเริ่มฟื้นตัว ภายใต้ปัจจัยที่รัฐบาลสามารถอัดฉีดเม็ดเงินในโครงการลงทุนต่างๆ เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. และหวังว่า ธปท.จะลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง หลังจากที่ธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทั้งหมดนี้หากสามารถดำเนินการได้จะเป็นตัวช่วยกระตุกเศรษฐกิจไทยให้ปรับตัวขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 2 นี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจไทยยังไม่มีสัญญาณฟื้น การบริโภคจะยิ่งซึมตัวลง ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ คือ 1.การท่องเที่ยว 2.การลงทุนของภาครัฐที่ต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่ออัดฉีดเข้าสู่ระบบ เศรษฐกิจ และ 3.หากการส่งออกเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากค่าเงินบาทที่อยู่ในกรอบ 32.50-33.00 บาท/ดอลลาร์ น่าจะมีอานิสงส์ต่อภาคการส่งออกให้เริ่มฟื้นในปลายไตรมาส 2 ซึ่งจะช่วยให้การบริโภคจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นตามสถานการณ์ดังกล่าว
สำหรับมาตรการในการลดภาษีต่างๆ คงไม่สามารถจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในช่วงนี้ สิ่งที่สำคัญรัฐบาลต้องไม่ทำให้มาตรการภาษีที่จะออกมากลายเป็นปัจจัยลบ ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินไป เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งรัฐบาลต้องให้มุมมองที่ชัดเจนว่าการบังคับใช้ยังไม่ใช่ในช่วงเร็วๆ นี้ แต่อาจจะมีผลในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และเพดานภาษีควรปรับลดลง เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชนมากเกินไป ซึ่งข้อมูลที่จะเป็นผลต่อจิตวิทยาในเชิงบวกนี้รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างความเข้าใจให้เกิดแก่ประชาชนมากที่สุด
“ส่วนสิ่งที่รัฐบาลพอจะทำได้คือชะลอการปรับขึ้นราคาพลังงานไว้ เช่น ก๊าซ เอ็นจีวี และก๊าซ แอลพีจี จนกว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นขึ้น หรือเริ่มมีเม็ดเงินจากการเบิกจ่ายในโครงการของรัฐลงสู่ระบบได้มากในระดับหนึ่งแล้ว จึงค่อยดำเนินการปรับขึ้นราคา”
สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อในประเทศ มองว่าอัตราเงินเฟ้อไม่ควรติดลบเกิน 5 เดือน ซึ่งตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไปอัตราเงินเฟ้อควรกลับมาเป็นบวกในช่วงที่ราคาน้ำมันเริ่มปรับสู่ขาขึ้น พร้อมๆ กับเศรษฐกิจที่ถูกกระตุ้นจากภาครัฐ และหากทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้างก็จะช่วยสนับสนุนทั้งภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวได้ดี แต่หากเงินเฟ้อติดลบเป็นเดือนที่ 6 แม้จะเข้าสู่สัญญาณของเงินฝืดเล็กๆ แต่ไม่ควรทะลุเกินเดือนที่ 7 หรือ 8 เพราะฉะนั้นภาวะเงินฝืดทางเทคนิคในประเทศไทยไม่ควรเกิด ควรจะจบลงที่ 4-5 เดือน
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 จะเริ่มฟื้นขึ้นอย่างแน่นอน แต่ในช่วงรอยต่อของไตรมาสที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่สินค้าเกษตรยังมีราคาทรงตัวในระดับต่ำ รัฐบาลจะต้องเร่งให้เศรษฐกิจเงยหัวขึ้นให้ได้ เพื่อทำให้ภาพเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังโตได้อย่างโดดเด่นขึ้น
ที่มา -
ไทยรัฐ
ศก.ฟื้นช้า-กังวลค่าครองชีพ กดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ.ดิ่งเดือนที่ 2
ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ.ติดลบเป็นเดือนที่ 2 จากเศรษฐกิจไม่กระเตื้อง คนกังวลค่าครองชีพสูง น้ำมันขึ้นราคา ส่งออกวูบ สินค้าเกษตรราคาตก บาทแข็ง ทำคนไม่กล้าจับจ่าย ชงรัฐอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ แนะ กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25%...
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.พ. 2558 ปรับตัวลดลงทุกรายการ ซึ่งติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง โดยดัชนีอยู่ที่ระดับ 79.1 ลดจาก 80.4 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ 59.8 ลดจาก 60.7
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ 86.4 ลดจาก 87.9 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 68.4 ลดจาก 69.7 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำอยู่ที่ 73.0 ลดจาก 74.1 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 95.8 ลดจาก 87.4
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงต่อเนื่องทุกรายการ มาจากการปรับเป้าหมายอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2558 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เหลือ 3.5-4.3% ราคาน้ำมันเบนซินในเดือน ก.พ.ปรับเพิ่มขึ้น 2.80 บาทต่อลิตร และดีเซล 2.30 บาทต่อลิตร การส่งออกเดือน ม.ค.ลดลง 3.46% ภายใต้เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ราคาพืชผลเกษตรยังตกต่ำ ทั้งข้าวและยางพารา และผู้บริโภคยังกังวลในเรื่องค่าครองชีพสูงและความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
“คนยังมีความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ และยิ่งน้ำมันกลับมาแพงขึ้นต่อเนื่อง ยิ่งเป็นแรงกดดันทำให้คนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย คาดว่ากำลังซื้อจะยังคงลดลง ซึ่งรัฐจะต้องเร่งแก้ไขโดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ”
ส่วนปัจจัยบวก มีแค่ดัชนี SET เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 5.76 จุด และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) เปิดเผย GDP ไตรมาส 4/57 โต 2.3% ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภค และการลงทุนของภาคเอกชน
พร้อมกันนี้ ยังสนับสนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในการประชุมวันที่ 11 มี.ค.นี้ พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อช่วยทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง และเป็นการช่วยให้ต้นทุนของผู้ประกอบการถูกลงในขณะที่รายได้ยังไม่ได้เข้ามามากนัก ซึ่งจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง
ที่มา -
ไทยรัฐ
สินเชื่อซื้อบ้านปี 57 วูบ 12.4% สวนทางราคาบ้านและที่ดิน!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 57 พบว่า จำนวนที่อยู่อาศัยที่ได้รับสินเชื่อใหม่จากธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพฯและปริมณฑลมี 62,839 หน่วย ลดลง 12.4% จากปีก่อน และยังคงลดลงต่อเนื่องในเดือน ม.ค.ปี 58 โดยยอดจำนวนที่อยู่อาศัยที่ได้รับสินเชื่อใหม่มีทั้งสิ้น 2,688 หน่วย ลดลง 22.6% จากปีก่อน โดยจำนวนนี้เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ที่ได้สินเชื่อใหม่จากธนาคารพาณิชย์ 15,694 หน่วย ลดลง 14.5% ขณะที่เดือน ม.ค.ปีนี้ยอดสินเชื่อใหม่ของบ้านเดี่ยวบ้านแฝดลดลงต่ออีก 22.2% สำหรับทาวน์เฮาส์และอาคารพาณิชย์ที่ได้รับสินเชื่อใหม่มีทั้งสิ้น 21,764 หน่วย ลดลง 13.8% และยังลดลงต่อเดือน ม.ค.ปีนี้ 16.2% ส่วนอาคารชุดที่ได้สินเชื่อใหม่ปี 57 มี 25,381 หน่วย ลดลง 9.6% และเดือน ม.ค.ปีนี้ยังลดอีก 28.8% แต่หากคิดเป็นมูลค่าพบว่า ยอดคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์สิ้นปี 57 เพิ่มขึ้น 12.1% ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อที่ให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเพียง 3.5% จากปีก่อน
ส่วนราคาที่อยู่อาศัยปี 57 จากการจัดทำดัชนีราคาของ ธปท.พบว่า ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินเพิ่มขึ้น 4.9% และเดือน ม.ค.ปีนี้เพิ่มอีก 5.6% เช่นเดียวกับดัชนีราคาทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดินเพิ่มขึ้น 7.4% เดือน ม.ค.ปีนี้เพิ่มอีก 7.2% ด้านดัชนีราคาอาคารชุดปี 57 เพิ่มขึ้น 8.9% และยังคงเพิ่มอีก 14.6% ในเดือน ม.ค.สอดคล้องกับดัชนีราคาที่ดินปี 57 เพิ่มขึ้น 9%ส่วนดัชนีราคาขายส่งวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น 0.7% แต่ ม.ค.ปีนี้ดัชนีราคาลดลง 2.8%
ที่มา -
ไทยรัฐ
ไทยรัฐ: ม.หอการค้าฯ หั่น GDP เหลือ 3-3.5% เศรษฐกิจฟื้นช้า ดัชนีเชื่อมั่นฯยังลด, สินเชื่อซื้อบ้านปี 57 วูบ 12% สวนทางราคา
ม.หอการค้าฯ จ่อหั่นจีดีพีปีนี้เหลือ 3-3.5% แนะรัฐชะลอขึ้นพลังงาน
ม.หอการค้าฯ จ่อทบทวนหั่นจีดีพีปีนี้ เหลือ 3-3.5% จากเดิม 3.5-4% มองศก.ฟื้นตัวไม่โดดเด่น ประเมินเชื่อมั่นผู้บริโภคจะกระเตื้องไตรมาส 2 จากเม็ดเงินอัดฉีดรัฐ แนะชะลอปรับขึ้นเอ็นจีวี-แอลพีจี ชี้เงินเฟ้อไม่ควรติดลบเกิน 5 เดือน หวั่นเกิดเงินฝืด...
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุเตรียมทบทวนตัวเลขคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้ช่วงเดือน เม.ย.58 เบื้องต้นคาดว่าจะปรับลดเหลือเติบโตราว 3-3.5% จากเดิมคาดไว้ 3.5-4% ขณะที่ตัวเลขการส่งออกคาดว่าจะลดลงเหลือขยายตัว 1-2% จากเดิม 3-4% และเงินเฟ้อลดลงเหลือ 0.5-1.3% จากเดิม 1-1.8% เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างโดดเด่น และการบริโภคยังไม่ได้เป็นแรงขับในการเคลื่อนเศรษฐกิจมากเท่าที่ควร อีกทั้งเม็ดเงินจากการลงทุนของภาครัฐลงไปสู่ระบบได้อย่างล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม คาดว่าปลายไตรมาส 2/58 ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะเริ่มฟื้นตัว ภายใต้ปัจจัยที่รัฐบาลสามารถอัดฉีดเม็ดเงินในโครงการลงทุนต่างๆ เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. และหวังว่า ธปท.จะลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง หลังจากที่ธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทั้งหมดนี้หากสามารถดำเนินการได้จะเป็นตัวช่วยกระตุกเศรษฐกิจไทยให้ปรับตัวขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 2 นี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจไทยยังไม่มีสัญญาณฟื้น การบริโภคจะยิ่งซึมตัวลง ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ คือ 1.การท่องเที่ยว 2.การลงทุนของภาครัฐที่ต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่ออัดฉีดเข้าสู่ระบบ เศรษฐกิจ และ 3.หากการส่งออกเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากค่าเงินบาทที่อยู่ในกรอบ 32.50-33.00 บาท/ดอลลาร์ น่าจะมีอานิสงส์ต่อภาคการส่งออกให้เริ่มฟื้นในปลายไตรมาส 2 ซึ่งจะช่วยให้การบริโภคจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นตามสถานการณ์ดังกล่าว
สำหรับมาตรการในการลดภาษีต่างๆ คงไม่สามารถจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในช่วงนี้ สิ่งที่สำคัญรัฐบาลต้องไม่ทำให้มาตรการภาษีที่จะออกมากลายเป็นปัจจัยลบ ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินไป เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งรัฐบาลต้องให้มุมมองที่ชัดเจนว่าการบังคับใช้ยังไม่ใช่ในช่วงเร็วๆ นี้ แต่อาจจะมีผลในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และเพดานภาษีควรปรับลดลง เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชนมากเกินไป ซึ่งข้อมูลที่จะเป็นผลต่อจิตวิทยาในเชิงบวกนี้รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างความเข้าใจให้เกิดแก่ประชาชนมากที่สุด
“ส่วนสิ่งที่รัฐบาลพอจะทำได้คือชะลอการปรับขึ้นราคาพลังงานไว้ เช่น ก๊าซ เอ็นจีวี และก๊าซ แอลพีจี จนกว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นขึ้น หรือเริ่มมีเม็ดเงินจากการเบิกจ่ายในโครงการของรัฐลงสู่ระบบได้มากในระดับหนึ่งแล้ว จึงค่อยดำเนินการปรับขึ้นราคา”
สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อในประเทศ มองว่าอัตราเงินเฟ้อไม่ควรติดลบเกิน 5 เดือน ซึ่งตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไปอัตราเงินเฟ้อควรกลับมาเป็นบวกในช่วงที่ราคาน้ำมันเริ่มปรับสู่ขาขึ้น พร้อมๆ กับเศรษฐกิจที่ถูกกระตุ้นจากภาครัฐ และหากทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้างก็จะช่วยสนับสนุนทั้งภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวได้ดี แต่หากเงินเฟ้อติดลบเป็นเดือนที่ 6 แม้จะเข้าสู่สัญญาณของเงินฝืดเล็กๆ แต่ไม่ควรทะลุเกินเดือนที่ 7 หรือ 8 เพราะฉะนั้นภาวะเงินฝืดทางเทคนิคในประเทศไทยไม่ควรเกิด ควรจะจบลงที่ 4-5 เดือน
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 จะเริ่มฟื้นขึ้นอย่างแน่นอน แต่ในช่วงรอยต่อของไตรมาสที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่สินค้าเกษตรยังมีราคาทรงตัวในระดับต่ำ รัฐบาลจะต้องเร่งให้เศรษฐกิจเงยหัวขึ้นให้ได้ เพื่อทำให้ภาพเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังโตได้อย่างโดดเด่นขึ้น
ที่มา - ไทยรัฐ
ศก.ฟื้นช้า-กังวลค่าครองชีพ กดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ.ดิ่งเดือนที่ 2
ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ.ติดลบเป็นเดือนที่ 2 จากเศรษฐกิจไม่กระเตื้อง คนกังวลค่าครองชีพสูง น้ำมันขึ้นราคา ส่งออกวูบ สินค้าเกษตรราคาตก บาทแข็ง ทำคนไม่กล้าจับจ่าย ชงรัฐอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ แนะ กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25%...
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.พ. 2558 ปรับตัวลดลงทุกรายการ ซึ่งติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง โดยดัชนีอยู่ที่ระดับ 79.1 ลดจาก 80.4 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ 59.8 ลดจาก 60.7
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ 86.4 ลดจาก 87.9 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 68.4 ลดจาก 69.7 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำอยู่ที่ 73.0 ลดจาก 74.1 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 95.8 ลดจาก 87.4
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงต่อเนื่องทุกรายการ มาจากการปรับเป้าหมายอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2558 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เหลือ 3.5-4.3% ราคาน้ำมันเบนซินในเดือน ก.พ.ปรับเพิ่มขึ้น 2.80 บาทต่อลิตร และดีเซล 2.30 บาทต่อลิตร การส่งออกเดือน ม.ค.ลดลง 3.46% ภายใต้เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ราคาพืชผลเกษตรยังตกต่ำ ทั้งข้าวและยางพารา และผู้บริโภคยังกังวลในเรื่องค่าครองชีพสูงและความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
“คนยังมีความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ และยิ่งน้ำมันกลับมาแพงขึ้นต่อเนื่อง ยิ่งเป็นแรงกดดันทำให้คนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย คาดว่ากำลังซื้อจะยังคงลดลง ซึ่งรัฐจะต้องเร่งแก้ไขโดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ”
ส่วนปัจจัยบวก มีแค่ดัชนี SET เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 5.76 จุด และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) เปิดเผย GDP ไตรมาส 4/57 โต 2.3% ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภค และการลงทุนของภาคเอกชน
พร้อมกันนี้ ยังสนับสนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในการประชุมวันที่ 11 มี.ค.นี้ พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อช่วยทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง และเป็นการช่วยให้ต้นทุนของผู้ประกอบการถูกลงในขณะที่รายได้ยังไม่ได้เข้ามามากนัก ซึ่งจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง
ที่มา - ไทยรัฐ
สินเชื่อซื้อบ้านปี 57 วูบ 12.4% สวนทางราคาบ้านและที่ดิน!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 57 พบว่า จำนวนที่อยู่อาศัยที่ได้รับสินเชื่อใหม่จากธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพฯและปริมณฑลมี 62,839 หน่วย ลดลง 12.4% จากปีก่อน และยังคงลดลงต่อเนื่องในเดือน ม.ค.ปี 58 โดยยอดจำนวนที่อยู่อาศัยที่ได้รับสินเชื่อใหม่มีทั้งสิ้น 2,688 หน่วย ลดลง 22.6% จากปีก่อน โดยจำนวนนี้เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ที่ได้สินเชื่อใหม่จากธนาคารพาณิชย์ 15,694 หน่วย ลดลง 14.5% ขณะที่เดือน ม.ค.ปีนี้ยอดสินเชื่อใหม่ของบ้านเดี่ยวบ้านแฝดลดลงต่ออีก 22.2% สำหรับทาวน์เฮาส์และอาคารพาณิชย์ที่ได้รับสินเชื่อใหม่มีทั้งสิ้น 21,764 หน่วย ลดลง 13.8% และยังลดลงต่อเดือน ม.ค.ปีนี้ 16.2% ส่วนอาคารชุดที่ได้สินเชื่อใหม่ปี 57 มี 25,381 หน่วย ลดลง 9.6% และเดือน ม.ค.ปีนี้ยังลดอีก 28.8% แต่หากคิดเป็นมูลค่าพบว่า ยอดคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์สิ้นปี 57 เพิ่มขึ้น 12.1% ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อที่ให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเพียง 3.5% จากปีก่อน
ส่วนราคาที่อยู่อาศัยปี 57 จากการจัดทำดัชนีราคาของ ธปท.พบว่า ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินเพิ่มขึ้น 4.9% และเดือน ม.ค.ปีนี้เพิ่มอีก 5.6% เช่นเดียวกับดัชนีราคาทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดินเพิ่มขึ้น 7.4% เดือน ม.ค.ปีนี้เพิ่มอีก 7.2% ด้านดัชนีราคาอาคารชุดปี 57 เพิ่มขึ้น 8.9% และยังคงเพิ่มอีก 14.6% ในเดือน ม.ค.สอดคล้องกับดัชนีราคาที่ดินปี 57 เพิ่มขึ้น 9%ส่วนดัชนีราคาขายส่งวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น 0.7% แต่ ม.ค.ปีนี้ดัชนีราคาลดลง 2.8%
ที่มา - ไทยรัฐ