บางครั้ง...เราลืมพูดคุยกัน
บางครั้ง...เราลืมยิ้มให้กัน
บางครั้ง...เราลืมใบหน้าของกันและกัน
บางครั้ง...เราลืมเพื่อน
บางครั้ง...เราลืมคนรัก
บางครั้ง...เราลืมมองออกไปสู่สองข้างทาง
บางครั้ง...เราลืมที่จะมีความสุข
บางครั้ง....เราลืมที่จะซึมซับความรู้สึกดีดี
เริ่มด้วยคำว่า "ลืม" ครับ คำว่า "ลืม" คือการที่เราพลาดอะไรบางอย่างไปแล้วเราไม่รู้ตัว สรุปความรู้จากทฤษฎีของผู้เขียนบทความ ยกตัวอย่าง ผมเราลืมสิ่งของไว้ที่ไหนสักแห่ง เรามักจะโดนถามว่า "แล้วเอาไปไว้ไหนหละ?" คือ...ถ้าเรารู้ก็คงหาเจอแล้วจริงไหม?
ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโดนถามบ่อยๆ เข้าประเด็นกันดีกว่าครับ อย่างที่บอกไปการลืมคือพลาดในสิ่งที่ไม่รู้ตัว ผมก็เลยตั้งชื่อบทความนี้ว่า
" (เกือบ)ลืมไปแล้ว " เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง เพราะอะไรถึงพลาดไป ซึ่งผมได้ถ่ายทอดแนวคิดนี้ผ่านทาง
สื่อที่หลายคนอาจจะเรียกว่า คลิปวิดีโอ,หนังสั้น,โฆษณา หรืออะไรก็ตาม ที่เลือกสื่อชนิดนี้เพราะว่าปัจจุบันนิยมกันอย่างแพร่หลาย
และเข้าถึงได้ง่าย ไปดูกันดีกว่าครับว่า "ลืมอะไรและเพราะอะไรถึงลืม"
งานชิ้นนี้ผมขอเรียกว่าสื่อรณรงค์ก็แล้วกันนะครับ เพราะว่าผมอยากฝากแนวคิดนี้แก่ผู้ที่รับชม และเป็นแรงบัลดาลใจให้สังคมเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้ดีขึ้น ซึ่งเริ่มจากตัวเราเอง จุดเริ่มต้นของงานชิ้นนี้คือผมมีการบ้านที่จะต้องทำส่ง ซึ่งโจทย์ก็คือการสร้างสื่อ
เพื่อให้ความรู้หรือข้อคิด ในเรื่องการใช้ของคอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างเหมาะสม จริงๆแล้วที่เลือกทำเป็นสื่อวิดิโอก็เพราะว่า โดยส่วนตัวผมอยากจะลองสร้างชิ้นงานแบบนี้มานานแล้วแต่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสสักเท่าไหร่ เคยเป็นคนถ่ายภาพเป็นส่วนใหญ่ พอมีโอกาสที่เราจะได้ลอง ได้กำกับเอง ถ่ายทำเอง ตัดต่อเอง ผมก็เลยไม่ลีรอจรลี รีบวางแผนเขียนสตอรี่บอร์ดและจัดสรรเวลาเวลาถ่ายทำ บังเอิญเปิดเจอกระทู้ในเว็บบอร์ดพันทิปเรื่อง "รณรงค์ใช้ชีวิตออนไลน์ให้น้อยลงใช้ชีวิตจริงให้มากขึ้น" (
http://pantip.com/topic/31508975) เลยเกิดเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจให้กับผลงานชิ้นนี้
ว่าด้วยเรื่องของเนื้อหาสาระดีกว่าเลอะเทอะมาเยอะแล้ว เรื่องของเรื่องคือผมต้องการเปรียบเทียบให้เห็นว่า ในสมัยนี้เรามุ่งเน้นไปที่โลกออนไลน์มากกว่าโลกความเป็นจริง ลืมที่จะสื่อสารกันในรูปแบบอื่นๆ ลืมที่จะมองบรรยากาศข้างทางเมื่อออกไปท่องเที่ยว ลืมที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับคนอื่น จนบางครั้งเราอาจจะพลาดสิ่งที่ดีไปอย่างน่าเสียดาย บ่อยครั้งเราก็ไม่รู้ตัว แต่มุมที่คนอื่นมองมานั้นต่างกันกับเรา บางครั้งเรามองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ที่จริงอาจจะไม่ใช่ผมไม่ได้สื่อว่าห้ามทุกคนเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค แต่ผมสื่อออกไปว่าควรใช้อย่างเหมาะสม ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด
ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนเปลี่ยนแปลงได้และเชื่อว่าจริงๆแล้วทุกๆคนยังไม่ลืมสิ่งที่ดีครับ เราทุกคนยังเป็นผู้สร้างเช่นเดิม คือ สร้างสังคมให้ดีขึ้น และนี่คือเหตุผลที่ผมตั้งชื่อบทความนี่ว่า " (เกือบ)ลืมไปแล้ว " เพราะเราแค่ "เกือบ" แต่อันที่จริงแล้ว.... "เรายังไม่ลืม" .
กราบสวัสดีมิตรรักแฟนเพลงและพ่อยกแม่ยกทุกคนแล้วพบกันใหม่ครับ ^^
เสียเวลาดูสัก 3 นาที อาจจะคุ้มค่าก็ได้ ^_^
บางครั้ง...เราลืมยิ้มให้กัน
บางครั้ง...เราลืมใบหน้าของกันและกัน
บางครั้ง...เราลืมเพื่อน
บางครั้ง...เราลืมคนรัก
บางครั้ง...เราลืมมองออกไปสู่สองข้างทาง
บางครั้ง...เราลืมที่จะมีความสุข
บางครั้ง....เราลืมที่จะซึมซับความรู้สึกดีดี
เริ่มด้วยคำว่า "ลืม" ครับ คำว่า "ลืม" คือการที่เราพลาดอะไรบางอย่างไปแล้วเราไม่รู้ตัว สรุปความรู้จากทฤษฎีของผู้เขียนบทความ ยกตัวอย่าง ผมเราลืมสิ่งของไว้ที่ไหนสักแห่ง เรามักจะโดนถามว่า "แล้วเอาไปไว้ไหนหละ?" คือ...ถ้าเรารู้ก็คงหาเจอแล้วจริงไหม?
ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโดนถามบ่อยๆ เข้าประเด็นกันดีกว่าครับ อย่างที่บอกไปการลืมคือพลาดในสิ่งที่ไม่รู้ตัว ผมก็เลยตั้งชื่อบทความนี้ว่า
" (เกือบ)ลืมไปแล้ว " เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง เพราะอะไรถึงพลาดไป ซึ่งผมได้ถ่ายทอดแนวคิดนี้ผ่านทาง
สื่อที่หลายคนอาจจะเรียกว่า คลิปวิดีโอ,หนังสั้น,โฆษณา หรืออะไรก็ตาม ที่เลือกสื่อชนิดนี้เพราะว่าปัจจุบันนิยมกันอย่างแพร่หลาย
และเข้าถึงได้ง่าย ไปดูกันดีกว่าครับว่า "ลืมอะไรและเพราะอะไรถึงลืม"
งานชิ้นนี้ผมขอเรียกว่าสื่อรณรงค์ก็แล้วกันนะครับ เพราะว่าผมอยากฝากแนวคิดนี้แก่ผู้ที่รับชม และเป็นแรงบัลดาลใจให้สังคมเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้ดีขึ้น ซึ่งเริ่มจากตัวเราเอง จุดเริ่มต้นของงานชิ้นนี้คือผมมีการบ้านที่จะต้องทำส่ง ซึ่งโจทย์ก็คือการสร้างสื่อ
เพื่อให้ความรู้หรือข้อคิด ในเรื่องการใช้ของคอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างเหมาะสม จริงๆแล้วที่เลือกทำเป็นสื่อวิดิโอก็เพราะว่า โดยส่วนตัวผมอยากจะลองสร้างชิ้นงานแบบนี้มานานแล้วแต่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสสักเท่าไหร่ เคยเป็นคนถ่ายภาพเป็นส่วนใหญ่ พอมีโอกาสที่เราจะได้ลอง ได้กำกับเอง ถ่ายทำเอง ตัดต่อเอง ผมก็เลยไม่ลีรอจรลี รีบวางแผนเขียนสตอรี่บอร์ดและจัดสรรเวลาเวลาถ่ายทำ บังเอิญเปิดเจอกระทู้ในเว็บบอร์ดพันทิปเรื่อง "รณรงค์ใช้ชีวิตออนไลน์ให้น้อยลงใช้ชีวิตจริงให้มากขึ้น" (http://pantip.com/topic/31508975) เลยเกิดเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจให้กับผลงานชิ้นนี้
ว่าด้วยเรื่องของเนื้อหาสาระดีกว่าเลอะเทอะมาเยอะแล้ว เรื่องของเรื่องคือผมต้องการเปรียบเทียบให้เห็นว่า ในสมัยนี้เรามุ่งเน้นไปที่โลกออนไลน์มากกว่าโลกความเป็นจริง ลืมที่จะสื่อสารกันในรูปแบบอื่นๆ ลืมที่จะมองบรรยากาศข้างทางเมื่อออกไปท่องเที่ยว ลืมที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับคนอื่น จนบางครั้งเราอาจจะพลาดสิ่งที่ดีไปอย่างน่าเสียดาย บ่อยครั้งเราก็ไม่รู้ตัว แต่มุมที่คนอื่นมองมานั้นต่างกันกับเรา บางครั้งเรามองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ที่จริงอาจจะไม่ใช่ผมไม่ได้สื่อว่าห้ามทุกคนเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค แต่ผมสื่อออกไปว่าควรใช้อย่างเหมาะสม ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด
ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนเปลี่ยนแปลงได้และเชื่อว่าจริงๆแล้วทุกๆคนยังไม่ลืมสิ่งที่ดีครับ เราทุกคนยังเป็นผู้สร้างเช่นเดิม คือ สร้างสังคมให้ดีขึ้น และนี่คือเหตุผลที่ผมตั้งชื่อบทความนี่ว่า " (เกือบ)ลืมไปแล้ว " เพราะเราแค่ "เกือบ" แต่อันที่จริงแล้ว.... "เรายังไม่ลืม" .
กราบสวัสดีมิตรรักแฟนเพลงและพ่อยกแม่ยกทุกคนแล้วพบกันใหม่ครับ ^^