คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
เท่าที่ดูเป็นหนังที่เอามันด้านจินตนาการ มากกว่า ข้อสังเกตุจากการตีกรอบความคิดให้คิดตามทฤษฎีที่ตนตั้งในตอนต้นเรื่อง พิสูจน์ในจิตนาการที่ตนคิดกลางเรื่อง และปฏิบัติตอนท้ายเรื่อง สรุปประเด็นสั้นๆว่า
การถ่ายทอดพันธุกรรมจาก DNA มีการสะสมข้อมูลจำนวนมาก ข้อมูลเหล่านี้เก็บไว้ที่DNA โดยมีสมองเป็นหน่วยประมวลผล (สมองทำงานโดยการถ่ายโอนข้อมูลโดยสารสื่อประสาท และไฟฟ้า) เมื่อมีการกระตุ้นให้มีการคลายข้อมูลจำนวนมาก การรับรู้ย่อมจะรู้มากขึ้น(แต่ไม่ทั้งหมดในโลก ได้ข้อมูลเฉพาะที่สะสมไว้ เช่นข้อมูลตอนคลอด เป็นต้น) แน่นอนเมื่อมีการกระตุ้นย่อมมีการคลายพลังงานที่สะสมไว้ ร่างกายจึงร้อน จนไม่สามารถคงอยู่ได้ แต่ที่คงเหลือไว้คือพลังงาน (พลังงานไม่สูญสลาย พลังงานที่อยู่ในรูปข้อมูล)
ส่วนนอกจากนี้ต้องศึกษาต่อเองแล้วล่ะ เพราะความรู้ไม่ถึงแล้ว แต่ถ้าจะให้ดูสนุกก็ขอเพิ่มที่คิดเอาเองตามหนังนะครับจากนี้
ถ้าพลังงานในรูปข้อมูลสามารถเชื่อมต่อกันได้ ท่านอาจได้รับรู้ข้อมูลจากพลังงานของคนอื่นได้ จากการกระตุ้นหรือสื่อสารของข้อมูลเองโดยการสื่อไฟฟ้า เช่นการนำข้อมูลจากการสัมผัสอีกฝ่าย ทำให้รู้ข้อมูลของคนที่ได้สัมผัส เนื่องจากอยู่ในรูปของพลังงาน จึงไม่สามารถจับต้องได้ จึงมีการแปลงพลังงานเป็นรูปที่จะสามารถคงอยู่ได้ จับต้องต้องได้ จึงต้องกำเนิดคอมพิวเตอร์ควอนตั๊ม ซึ่งบรรจุข้อมูลในรูปแบบควอนตั๊ม ในลักษณะของ เมมโมรี่สติ๊กที่คนทั่วไปรู้จัก จะได้ไม่งงกันมาก(หรือจะทำให้งงมากขึ้นไม่รู้ จะเอาไปใช้เครื่องคอมไหนดีว่ะ เครื่องคอมจะพังหรือเปล่า)
จะเห็นได้ว่าไม่เกี่ยวกับศาสนาหรอก วิทยาศาสตร์ล้วนๆ ชอบดึงมากันจัง
เหตุ เพราะคุณไม่รู้จักศาสนาเพียงพอ ไม่รู้จักวิทยาศาสตรเพียงพอ ไม่รู้จักนักบวชของแต่ละศาสนาเพียงพอ
หากคุณลงทุนศึกษาให้จริงจังแล้ว จะรู้ว่าวิทยาศาสตร์ที่พบตอนนี้มันน้อยนิด ศาสนาบางศาสนาแค่ต้องการความสงบ ความรัก สามัคคี และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข บางศาสนาก็แค่ให้ความสุขแก่ตนเอง แต่บางศาสนาก็ค้นพบในสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายความลึกซึ้งให้คนทั่วไปรู้ได้โดยง่าย แต่ถ้าทำได้คุณก็จะพ้นจากทุกข์นิรันต์
การถ่ายทอดพันธุกรรมจาก DNA มีการสะสมข้อมูลจำนวนมาก ข้อมูลเหล่านี้เก็บไว้ที่DNA โดยมีสมองเป็นหน่วยประมวลผล (สมองทำงานโดยการถ่ายโอนข้อมูลโดยสารสื่อประสาท และไฟฟ้า) เมื่อมีการกระตุ้นให้มีการคลายข้อมูลจำนวนมาก การรับรู้ย่อมจะรู้มากขึ้น(แต่ไม่ทั้งหมดในโลก ได้ข้อมูลเฉพาะที่สะสมไว้ เช่นข้อมูลตอนคลอด เป็นต้น) แน่นอนเมื่อมีการกระตุ้นย่อมมีการคลายพลังงานที่สะสมไว้ ร่างกายจึงร้อน จนไม่สามารถคงอยู่ได้ แต่ที่คงเหลือไว้คือพลังงาน (พลังงานไม่สูญสลาย พลังงานที่อยู่ในรูปข้อมูล)
ส่วนนอกจากนี้ต้องศึกษาต่อเองแล้วล่ะ เพราะความรู้ไม่ถึงแล้ว แต่ถ้าจะให้ดูสนุกก็ขอเพิ่มที่คิดเอาเองตามหนังนะครับจากนี้
ถ้าพลังงานในรูปข้อมูลสามารถเชื่อมต่อกันได้ ท่านอาจได้รับรู้ข้อมูลจากพลังงานของคนอื่นได้ จากการกระตุ้นหรือสื่อสารของข้อมูลเองโดยการสื่อไฟฟ้า เช่นการนำข้อมูลจากการสัมผัสอีกฝ่าย ทำให้รู้ข้อมูลของคนที่ได้สัมผัส เนื่องจากอยู่ในรูปของพลังงาน จึงไม่สามารถจับต้องได้ จึงมีการแปลงพลังงานเป็นรูปที่จะสามารถคงอยู่ได้ จับต้องต้องได้ จึงต้องกำเนิดคอมพิวเตอร์ควอนตั๊ม ซึ่งบรรจุข้อมูลในรูปแบบควอนตั๊ม ในลักษณะของ เมมโมรี่สติ๊กที่คนทั่วไปรู้จัก จะได้ไม่งงกันมาก(หรือจะทำให้งงมากขึ้นไม่รู้ จะเอาไปใช้เครื่องคอมไหนดีว่ะ เครื่องคอมจะพังหรือเปล่า)
จะเห็นได้ว่าไม่เกี่ยวกับศาสนาหรอก วิทยาศาสตร์ล้วนๆ ชอบดึงมากันจัง
เหตุ เพราะคุณไม่รู้จักศาสนาเพียงพอ ไม่รู้จักวิทยาศาสตรเพียงพอ ไม่รู้จักนักบวชของแต่ละศาสนาเพียงพอ
หากคุณลงทุนศึกษาให้จริงจังแล้ว จะรู้ว่าวิทยาศาสตร์ที่พบตอนนี้มันน้อยนิด ศาสนาบางศาสนาแค่ต้องการความสงบ ความรัก สามัคคี และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข บางศาสนาก็แค่ให้ความสุขแก่ตนเอง แต่บางศาสนาก็ค้นพบในสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายความลึกซึ้งให้คนทั่วไปรู้ได้โดยง่าย แต่ถ้าทำได้คุณก็จะพ้นจากทุกข์นิรันต์
แสดงความคิดเห็น
อยากรู้ทฤษฎี + ความเป็นจริงจากภาพยนต์เรื่อง Lucy และแง่คิดเล็กๆน้อยๆที่ได้
2- ทฤษฏีของ Professor Norman ถูกต้องหรือเปล่า แล้วในโลก (ความเป็นจริง) มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนใช้ทฤษฏีเดียวกันหรือเปล่า?
3- จากที่ไปอ่านมา สมองของมนุษย์เราใช้งาน 90%-100% ไม่ใช่ 10% อย่างที่บางคนพูดใช่หรือไม่?
4- Lucy เป็นหนังออกไปแนว จิตวิทยาชีวิต+วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ ศาสนา+วิทยาศาสตร์ อย่างที่ผมคิดใช่ไหม
5- ตอนจบ Lucy สามารถหยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง (อาจจะไม่ทุกอย่าง) และเธอได้หายไปจากเอกภพ ก็ไม่เชิงว่าหายหรอก ประมาณว่าอยู่ทุกๆที่ในเอกภพ
Lucy ในที่นี้ถ้าไม่ใช่บรรลุหรือคิดง่ายๆในแง่ของศาสนา แต่เอาตามหลักวิทยาศาสตร์ Lucy ในความคิดของคุณ เธอหายไปไหน?
ขอทราบหลักความจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ไม่เอาหลักศาสนา
ปล.ถ้าคำถามผมน่าหมั่นไส้ก็ขอให้คิดว่า ผมมันก็แค่ตั้งข้อสงสัยที่หาข้อ (พิสูจน์ได้) ตามประสาเด็ก 14 ที่อยากรู้อยากเห็นคนนึง
ขอบคุณครับ