[CR] Lucy (2014) กับมุมมองที่ไม่ขอตีความไปทางศาสนา

R, 89 Min – Action, Sci-fi, Thriller

ตัวอย่าง
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

Film by: Luc Besson

เมื่อพูดถึง Lucy หนังกระแสฮอตที่มีคนหยิบโยงไปถึงหลักศาสนาและว่ากันไปถึงขั้นอภิปรัชญา บ้างก็ว่ามีความคล้ายกับ Transcendence (2014) ซึ่งก็มีบางส่วนที่คล้ายกันในบางแง่มุมและดูจะเป็นแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ซะมากกว่า บ้างก็เทียบไปถึงหนังอย่าง 2001: A Space Odyssey (1968)

โดยส่วนตัวหลังจากรับชมแล้วมอง Lucy ที่ว่ามีเรื่องของปรัชญามาเกี่ยวข้องนั้นช่างน้อยนิดเหลือเกินจนไม่น่าหยิบ 2001 มาพูดถึงเลย อาจเพราะโครงสร้างที่ผู้เขียนมองยังพึงเห็นว่า Lucy เป็นเพียงภาพยนตร์ Action Thriller ที่นำเสนอจินตนาการทางวิทยาศาสตร์เพียงเท่านั้น และเมื่อมองไปที่ตัวผู้กำกับอย่าง  Luc Besson ก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะเน้นเรื่องศาสนาหรือปรัชญาที่ยิ่งใหญ่อะไร...

Lucy ใช้หลักการนำเสนอและตั้งคำถามว่าหากมนุษย์ที่ปกติใช้สมองเพียงแค่ 10% สามารถใช้ได้ถึง 100% จะเป็นเช่นไรมาเล่น นั่นทำให้หลายคนนึกถึงหนังอย่าง Limitless (2011) ที่นำเสนอคล้ายๆกัน แต่จะเน้นไปที่ความ Mystery เสียมากกว่า ดังนั้นแล้วทั้ง 2 เรื่องนี้อาจคล้ายกันที่การนำเสนอแต่ตัวหนังจริงๆต่างกันพอสมควร

ที่กล่าวมาข้างต้นผู้เขียนแค่อยากเอ่ยว่า “เราพูดถึงสิ่งเดียวกันหรือนำเสนอสิ่งเดียวกันแต่ไม่ได้หมายความว่าบทสรุปของเราทุกคนจะต้องเหมือนกัน ดังที่บอกตั้งแต่หัวกระทู้ว่าจะไม่ขอตีความไปทางศาสนาเพราะมองเห็นว่าหนังนำเสนอไปด้านวิทยาศาสตร์มากกว่า พึงคาดหวังแค่ให้ผู้อ่านลืมเรื่องของศาสนาก่อนแล้วค่อยๆติดตามสิ่งที่ผู้เขียนพูดถึงจนจบราวกับว่าเป็นอีกมุมมองที่นำมาเสนอ ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนี้มี Spoil ครับ



หนังเริ่มต้นด้วยการนำเสนอภาพของเซลล์กับธรรมชาติสิ่งมีชีวิตและลิงที่เขาว่าเป็นตัวแรกของโลกชื่อ Lucy บังเอิญไปสอดคล้องกับ Lucy ชื่อที่ Scarlett Johansson ได้รับบทเป็นตัวละครหลักของเรื่อง

หนังแสดงให้เห็นถึงการวิวัฒนาการ ซึ่งมนุษย์บัญญัติให้ลิงที่คิดว่าเป็นตัวแรกของโลกชื่อ Lucy - หากนึกถึงมิติของหนังคงไม่แปลกถ้าหากมนุษย์จะบัญญัติให้ Lucy (ตัวละครเอก) เป็นคนที่เข้าถึงสมองได้ 100% คนแรก เช่นนั้นแล้ว Lucy (ลิง) วิวัฒนาการต่อไป (ลิงตัวที่ 2 ลิงตัวที่ 3 ....) จนถึง Lucy (ตัวละครเอก) หลังจากตอนจบเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นแค่จุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการขั้นถัดไปเฉกเช่น Lucy (ลิง) - ชื่อภาพยนตร์ Lucy อาจไม่ใช่แค่เพียงชื่อภาพยนตร์...

ในฉากถัดมาที่ Luc Besson เสนอภาพปัจจุบัน Lucy (ตัวละครเอก) ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ปกติก่อนจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายด้วยความบังเอิญโดยมีภาพธรรมชาติและสัตว์ตัดสลับเป็นระยะๆ

โดยภาพที่ถูกแทรกเข้ามาคือการนำเสนอถึงธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตซึ่งแม้แต่มนุษย์ที่ยกยอตัวเองว่าสูงค่าที่สุดก็ไม่ได้แตกต่างกัน

ต่อมาก็ไม่ได้มีอะไรถูกสอดแทรกขึ้นมาระหว่างเรื่องนอกซะจากตอนจบกับตอนที่ Prof. Norman (Morgan Freeman) บรรยายเรื่องสมองของมนุษย์ ซึ่งภาพที่ถูกแทรกเข้ามาก็ลักษณะเดียวกับตอนต้นที่แทบไม่ต้องตีความอะไรเลยเพราะเป็นคำอธิบายที่ชัดเจนและเป็นการอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น มีก็แค่คำพูดของ Norman บอกว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง (ยังพิสูจน์ไม่ได้แต่มีสมมติฐาน) ทำให้เกิดคำถาม “เชิงปรัชญา” ก็เท่านั้น

“ดังนั้นส่วนตัวมองว่าหนังต้องการจะนำเสนอจินตนาการทางวิทยาศาสตร์ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้และมีสมมติฐาน แต่ยังไม่ใช่ปรัชญา”



จึงขอข้ามฉาก Thriller ผสมมุขนิดหน่อยแต่จะพูดถึงช่วงที่ Lucy ได้รับยาเพราะอุบัติเหตุเลยจนเธอลอยเหนือแรงโน้มถ่วง ยอมรับว่าตอนแรกแปลกใจจนคิดว่าเป็นไปได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ แต่พอนึกถึงตอนที่ Norman พูดว่าสามารถควบคุมสิ่งของหรือคนได้ กรณีความปรวนแปรทางร่างกายเพราะได้รับยาจนทำให้เป็นขนาดนี้จึงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ (ถ้ายึดตามมิติของหนัง)

ขอแซว Norman หน่อย ภาพที่หยิบยกขึ้นมาว่าสะกดจิตคนหรือยกสิ่งของนั้นเป็น Trick ไม่ใช่พลังจิตทั้งหมด อีกอย่างคือถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็มีคนตั้งมากมายที่ใช้สมองได้เกิน 10% หากยึดตามนั้น แต่ถ้ายกมาเพื่อให้เห็นภาพตอนใช้งานสมองเกิน 10% สามารถทำแบบนี้ได้โดยไม่มี Trick ก็เป็นการอธิบายที่โอเค

กลับเข้าเรื่องต่อ - Lucy กลายเป็นคนมีทักษะและเล่ห์เหลี่ยมทันทีหลังจากนั้น จึงเกิดคำถามว่าการใช้สมองได้มากขึ้นเพียงไม่กี่ % ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งทักษะการฝึกฝนเลยหรือ เช่นนั้นแล้วการเอาถุงออกจากท้องตัวเองคงไม่ใช่ความลำบากจนต้องพึ่งมือหมอ ผู้เขียนเลยคาดว่าหนังต้องการนำเสนอความ Thriller นั่นเอง

ที่น่าติจริงๆคือการใส่ดราม่าเข้ามาในเรื่อง เพราะตั้งแต่ช่วงแรกดูเหมือน Lucy จะข้ามความเจ็บปวดหรืออารมณ์ด้านอื่นๆไปแล้ว แต่พอโทรหาแม่กลับทำให้ดูเหมือนซึ้ง น่าจะเป็นการจงใจใส่ดราม่าเข้าไปและอธิบายว่าเธอสามารถสัมผัสสิ่งต่างๆได้ขนาดไหน

เช่นเดียวกับการใส่ Action ลงไปก็คือการจงใจ เพราะระดับสมอง Lucy สามารถเคลียร์และคำนวณถึงผลกระทบทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ที่น่าขันสุดคือคนสมองทำงานเกิน 10% ไประดับนึงแล้วเข้าใจภาษาและควบคุมได้หลายสิ่งบนโลกดันปรึกษาคนใช้สมองได้น้อยกว่า ซึ่งยังได้คำตอบด้วยว่าควรทำเช่นไร

“นั่นจึงพอสรุปได้ว่าหนังเรื่องนี้พยายามใส่ Action Thriller ด้วย จึงเป็นอีกครั้งที่ผู้เขียนคิดว่าหนังไม่ได้ต้องการพูดถึงปรัชญาเป็นหลัก”



เพื่อความรวดเร็วขอข้ามไปตอนที่ Lucy ใช้งานสมองได้ 100% แต่จะย้อนมองสิ่งต่างๆในเรื่องเพื่อเปรียบเทียบว่าเป็นเพียงจินตนาการทางวิทยาศาสตร์

การรับรู้ความรู้สึกและความเจ็บปวดต่างๆถูกกระตุ้นผ่านสมองส่วนควบคุมอารมณ์-ความรู้สึก โดยปกติคือถูกกระตุ้น แต่สำหรับ Lucy หนังพาไปไกลกว่านั้นคือเธอสามารถปิดส่วนนี้ไม่ให้ถูกกระตุ้นรับรู้

การมองเห็นสัญญาณ - สำหรับ Lucy ไม่ถือว่าเป็นไปไม่ได้ ลักษณะเป็นเส้นๆเหมือนเสาสัญญาณก็คือกระบวนการที่รับและแปลงจากนั้นส่งต่อไปให้ผู้รับอีกที เพียงแต่ทั้งหมดนั้นทำงานไวมากจนเรารู้สึกว่าพึ่งพูดออกไปคนฟังก็ได้ยินแล้ว - Lucy จึงขยายสัญญาณออกมาดูเหมือนเล่น Ipad (จิ้มเล่นจับขยายเลย อันนี้ผมว่าเกินไป)

ดวงตาของสัตว์บางชนิดสามารถจับความร้อนได้ หากจะมีวิวัฒนาการมองเห็นถึงสัญญาณหรือสิ่งที่ Lucy มองเห็นและสัมผัสจึงมีความเป็นไปได้

การควบคุมให้คนปลิว อันนี้ลักษณะให้นึกถึง Magneto ใน X-men ที่หากว่า Lucy ควบคุมบางอย่างในร่างกายมนุษย์ก็สามารถควบคุมให้ลอยได้รวมทั้งวัตถุด้วย

นั่นทำให้ Lucy สามารถหลอนประสาทได้เช่นกัน ควบคุมสิ่งที่อยู่ข้างในร่างกายมนุษย์ได้ทั้งทีจะควบคุมสารคัดหลั่งบางอย่างให้คนรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเดินติดกำแพงก็คงไม่ยาก (สร้างภาพหลอน)

แปลงผมตัวเองหรือแปลงสภาพแขนก็เป็นไปได้ อย่างเช่นกิ้งก่าที่เปลี่ยนสีเพราะเซลล์พิเศษในตัวเอง - Lucy อาจไปไกลถึงระดับนั้นหรือไกลกว่าชนิดแปลงเซลล์ได้ดั่งใจ

การเข้าไปดูความทรงจำก็เป็นไปได้ หากมีการ Connect และ Share กัน ลักษณะหลังเชื่อมต่อกันแล้วคงคล้ายคนที่บังคับหุ่นใน Pacific Rim แต่เลือกซูมและค้นหาได้ขนาดนั้นอันนี้ผมว่าเกินไป

ยังมีอีกหลายอย่างที่ส่วนตัวผู้เชียนมองว่าเป็นจินตนาการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งแน่นอนครับว่าทั้งหมดยังไม่ใช่ความจริงที่พิสูจน์ได้และเหนือจริงมากๆ โดยรากฐานทั้งหมดถูกมองว่าเป็นวิวัฒนาการ ภาพยนตร์ Lucy ก็เล่นไม่มีคำอธิบายอะไรที่ชัดเจนเลยนอกซะจากบอกว่าใช้สมองมากกว่าปกติจึงทำสิ่งเหล่านี้ได้ ระหว่างเรื่องก็นำเสนอ  Action Thriller ไปพลางๆ



ด้านคำพูดที่ว่า “มนุษย์ถูกมอบชีวิตให้ แต่จะใช้เพื่ออะไร” เป็นการตั้งคำถามและหนังสรุปเป็นนัยว่าสืบทอดหรือส่งต่อเฉกเช่นที่ Lucy ทำ

แม้กระทั่งคำพูดตอนขับรถว่า “เราไม่ได้ตายจริงๆหรอก” ซึ่งหากคิดดูแล้วมนุษย์มาจากอะไร ? หนังนำเสนอไปแล้ว คนหนึ่งคนตายก็ยังมีอีกกี่ล้านคนยังอยู่ (ลองนึกถึงเซลล์ใน Dragonball) การตายไปก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆที่ถูกแบ่งออกมา ไม่ได้ตายจริงๆ

มาพูดกันถึงช่วงจะจบเลยละกัน ตอน Lucy ดูดข้อมูลจากเวลา - จินตนาการของผู้เขียนคิดว่า Lucy ทำการอัพโหลดข้อมูลที่ได้จากเวลาเข้าสู่คอมพิวเตอร์ที่เธอสร้างขึ้นมา (จินตนาการว่า Lucy คือ Thumb Drive ที่ดูดสิ่งต่างๆจากเวลาไปสู่คอมพิวเตอร์ที่เธอสร้างขึ้น)

- คอมพิวเตอร์ที่ Lucy สร้างขึ้น ให้ผู้อ่านนึกว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง

- Lucy คือ Thumb Drive ที่ไปดูดข้อมูลและส่งต่อซึ่งทำงานพร้อมกัน

- เวลา คือคอมพิวเตอร์อีกเครื่อง ซึ่ง Lucy ดูดสิ่งต่างๆในเวลาไปใส่ไว้ในคอมพิวเตอร์ที่เธอสร้าง

- อนาคต คือสิ่งต่างๆที่จะถูกอัพโหลดเข้าสู่เวลา

- Thumb Drive ในมือ Norman คือสิ่งต่างๆทั้งหมดของช่วงเวลานั้นๆที่ไม่เกี่ยวกับอนาคต

ลักษณะประมาณนี้ [อนาคต -> เวลา -> Lucy -> คอมพิวเตอร์ที่สร้าง -> Thumb Drive ในมือ Norman]

ภาพต่างๆที่เข้ามาจึงเริ่มจากช่วงเวลาที่ Lucy ดูดย้อนไปถึงปรากฏการณ์ Big bang และเมื่อ Lucy ดูดจนหมด ตัวเองก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งต่างๆที่เธอดูด (แปลงรูป) เข้าสู่คอมพิวเตอร์ ซึ่งเธอออนไลน์ได้ลักษณะคล้ายๆ Transcendence ที่แทรกซึมไปหมด จึงไปโผล่ในมือถือตำรวจว่า “เธออยู่ทุกที่”



คำถามก็คือ Lucy เข้าไปสู่เวลาได้อย่างไร คำอธิบายเรื่องเซลล์ที่ Norman พูดคือคำตอบครับ นั่นจึงทำให้ตระหนักว่า “Lucy ไม่ได้ย้อนเวลา แต่สำรวจผ่านเซลล์ตัวเองที่มีการส่งต่อข้อมูลจากรุ่นสู่รุ่น”

สรุปหลังจากรับชม - ภาพยนตร์ Lucy อาจดูเกินจริงแต่ก็ไม่เกินจริง คือเกินจริงในการนำเสนอ แต่ความคิดเบื้องหลังสิ่งต่างๆเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่พยายามใช้จินตนาการผสมผสานกับความบันเทิงได้เป็นอย่างดี...

ปล. ประหลาดใจเหลือเกินว่า 2001: A Space Odyssey (1968) มาเกี่ยวได้อย่างไร - The Tree of Life (2011) ที่เดินหน้าเต็มตัวเล่นปรัชญาดราม่ายังไม่รู้สึกว่าไปถึงระดับ 2001 เลย คงแล้วแต่มุมมองจริงๆนั่นแหละ...

ปล. 2 เกือบลืม ส่วนตัวเห็นว่า Lucy พยายามเย้ยหยันปรัชญาและพระเจ้าพอสมควร ทั้งในแง่คำพูดของ Norman ที่เปรียบว่าปรัชญาคือสิ่งที่ยังให้คำตอบไม่ชัดเจน (สมมติฐาน) และฉากที่ Lucy ยื่นนิ้วแตะลิง หากเห็นฉากนี้แล้วคิดว่า Lucy คือพระเจ้าหรือใกล้เคียงพระเจ้า "ดูเหมือนพระเจ้าหรือใกล้เคียงพระเจ้าจะมีตามมาอีกหลายคน"

7.8/10 (Good)

Lucy (2014) กับมุมมองที่ไม่ขอตีความไปทางศาสนา

Edit* Thumb Drive
ชื่อสินค้า:   Lucy (2014)
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่