“ศีล” ก็คือความรักษากายวาจา “สมาธิ” ความตั้งใจมั่น “ปัญญา”ความรอบรู้ เป็นคนละอย่าง
ชื่อมัน
ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ว่า
สิ่งทั้ง ๓ นี้ ไม่เคยทิ้งกันสักครั้ง มันเกาะเกี่ยวกันอยู่เสมอ
เหมือนกับรสมันเฝื่อน มันขมมันขื่นนั่นแหละ แต่ว่าความเอร็ดอร่อยมันกลมเกลียวกันอยู่ มันไม่ได้ไปไหน
ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ” ศีล” มันก็เรื่องกายกับวาจา “สมาธิ” กับ “ปัญญา” มันก็เรื่องจิต มันก็มี “กาย” กับ “จิต” นั่นแหละคนเรา
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ว่าไปเฉยๆหรอก สิ่งเหล่านี้มันก็ออกมาจากกายกับจิตเท่านั้น
ฉะนั้น เมื่อรวมแล้ว คนเรานั้นก็มีกายกับจิตอย่าไปคิดอะไรให้มันมากมายเกินไปกว่านี้
กายมันก็เรื่องกายกับวาจามันเรื่องศีลนี่ เรื่องจิตมันก็เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา มีสองอย่างเท่านี้ นั่งอยู่ที่นี่ก็มีเท่านี้
มันจะฉลาดหรือโง่ก็มีเท่านี้ แล้วเราก็มาดูเรื่องกายกับจิตนี้ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญาก็ดี…ก็เหมือนกัน
เรามีปัญญาก็รู้จักรักษาศีล คือกาย วาจา กายวาจาเรียบร้อย ไม่มีโทษ ใจมันก็มั่นเข้า สงบเข้านี่มันก็เป็นสมาธิ
เมื่อจิตสงบแล้วปัญญามันก็เกิด มันก็คล่องแคล่ว ในความสงบนั้น มันก็เกิดเป็นตัวปัญญา
เมื่อเพิ่มปัญญาสักนิดหนึ่ง ปัญญาจะแบ่งมาหาศีลนิดหนึ่ง เมื่อแบ่งมาหาศีลนิดหนึ่ง
ศีลมันก็แบ่งไปหาสมาธิสักนิดหนึ่ง
ไม่ใช่ว่ามะม่วงเกิดมาแล้วมันจะสุกทันที มันเป็นดอกแล้วก็เป็นผลเล็กๆก่อน ต่อมาก็ห่าม มันแบ่งทีละน้อยๆไป จนกว่ามะม่วงมันสุก
มีทั้งดอกมะม่วง มีทั้งรสมะม่วง สารพัดอย่าง…มันเปลี่ยน ถ้าอ่อนมันก็ฝาด นั่นรสของมัน แก่ขึ้นมาสักหน่อยหนึ่งมันก็เปรี้ยว
แก่ขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง มันก็มีรสหวานมาแทรก แต่จนถึงที่สุกมันก็หวาน
ความเปรี้ยวก็ดี ความฝาดก็ดี ความหวานก็ดี คือมันเป็นอันเดียวกัน ไม่ได้เป็นหลายอย่าง
แต่ว่ามันเปลี่ยนลักษณะมันนั้นมันเป็นลักษณะเฉยๆ มันอยู่ที่มะม่วงใบเดียวกัน แม้ตลอดสีมะม่วงมันก็เปลี่ยน
ครั้งแรกมันก็เขียวแล้วมันก็เปลี่ยนเป็นเหลืองรสมันก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนตามมะม่วงใบเดียว ไม่ใช่หลายใบ
แม้จะเป็นลูกเล็กๆก็ช่าง มันก็มะม่วงลูกนั้น แม้จะลูกใหญ่มันก็คือมะม่วงลูกนั้น แม้มันจะแก่ก็มะม่วงลูกนั้น
แม้ว่ามันจะสุกมันก็มะม่วงลูกนั้น ไม่มีมะม่วงลูกอื่นจะมาให้ผลในมะม่วงลูกนั้น เป็นลูกเดียว
ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี นั้นชื่อมันต่างกันเหมือนกับมะม่วง
ถ้ามันแก่…มันรวมเข้ามาแล้ว จะเกิดเป็นปัญญาก้อนเดียว มีอันเดียว
เอโกธัมโม ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เอโกธัมโม…ธรรมมีอันเดียวเท่านั้น ไม่มีหลายอัน
เรื่องศีลมันแก่ขึ้นมันก็ไปอบรมสมาธิ สมาธิแก่ขึ้นไปก็อบรมปัญญา
ก็เหมือนกับดอกมะม่วง รสมะม่วง สีมะม่วง มันก็มาลงมะม่วงลูกเดียวทำให้มันหวานเท่านั้น
มันเปลี่ยนไปก็มะม่วงลูกเดียวกันนั่นแหละ ไม่ใช่อื่นไกล ครูบาอาจารย์บอกว่า เอโกธัมโมธรรมอันเดียว ไม่มีหลายอัน
อันนี้ก็เหมือนกัน ยังไม่เข้าล็อคกันก็เป็นศีล แล้วก็เป็นสมาธิ ผลที่สุดถ้าหากว่ามันเข้าล็อคกันจริงๆก็เหมือนมะม่วงลูกนั้น
ลูกเล็กๆ แล้วก็โตจนสุก มันก็เข้าล็อคเดียวกันเป็นมะม่วงสุก ไม่ใช่มะม่วงลูกอื่นจะมาเพิ่มเติม มะม่วงลูกนั้นแหละที่มันลูกเล็กๆนั่นแหละ
มันอ่อนนั่นแหละ มันแก่ก็มะม่วงลูกนั้นแหละ มันสุกก็มะม่วงลูกนั้นแหละ นี่ให้เรียนอย่างนี้
ทีนี้เรื่องการอบรม มันเกี่ยวแก่กายกับใจ เอา “กาย” ก้อนนี้แหละมาดู เอา “จิต” อันนี้แหละมาอบรม ไม่ได้คว้าเอาที่ไหน
เรื่องสมาธิของเรานั้นมันจะมีทางสงสัยมาก เรื่องทำสมาธินี้ยาก.....ยากเพราะมันสงสัยมาก พอไปนั่งดูก็ไม่สงบง่าย
อันนี้เราก็ไม่สบายใจ มันวุ่นๆวายๆมันนึกคิดต่างๆนานาอย่างนี้ เราก็อยากเร่งให้มันสงบ
ทำไมมันถึงไม่สงบ มันวุ่นวาย บางทีก็เลยหยุดทำ
สิ่งทั้ง ๓ นี้ ไม่เคยทิ้งกันสักครั้ง มันเกาะเกี่ยวกันอยู่เสมอ
ชื่อมัน ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ว่าสิ่งทั้ง ๓ นี้ ไม่เคยทิ้งกันสักครั้ง มันเกาะเกี่ยวกันอยู่เสมอ
เหมือนกับรสมันเฝื่อน มันขมมันขื่นนั่นแหละ แต่ว่าความเอร็ดอร่อยมันกลมเกลียวกันอยู่ มันไม่ได้ไปไหน
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ว่าไปเฉยๆหรอก สิ่งเหล่านี้มันก็ออกมาจากกายกับจิตเท่านั้น
ฉะนั้น เมื่อรวมแล้ว คนเรานั้นก็มีกายกับจิตอย่าไปคิดอะไรให้มันมากมายเกินไปกว่านี้
กายมันก็เรื่องกายกับวาจามันเรื่องศีลนี่ เรื่องจิตมันก็เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา มีสองอย่างเท่านี้ นั่งอยู่ที่นี่ก็มีเท่านี้
มันจะฉลาดหรือโง่ก็มีเท่านี้ แล้วเราก็มาดูเรื่องกายกับจิตนี้ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญาก็ดี…ก็เหมือนกัน
เมื่อจิตสงบแล้วปัญญามันก็เกิด มันก็คล่องแคล่ว ในความสงบนั้น มันก็เกิดเป็นตัวปัญญา
เมื่อเพิ่มปัญญาสักนิดหนึ่ง ปัญญาจะแบ่งมาหาศีลนิดหนึ่ง เมื่อแบ่งมาหาศีลนิดหนึ่ง
ศีลมันก็แบ่งไปหาสมาธิสักนิดหนึ่ง
เหมือนกันกับมะม่วง ถ้ามันเป็นดอกมันก็มาเพิ่มเป็นลูกอ่อนสักนิดหนึ่ง
พอลูกอ่อนเกิดขึ้นมันก็เพิ่มเป็นลูกแก่ขึ้นมาอีกสักนิดหนึ่ง ลูกมันแก่สักนิดหนึ่งมันก็จะเพิ่มความห่ามของมัน
มันก็จะเพิ่มกันไปจนกว่ามะม่วงใบนั้นมันจะสุก ทำไมมันถึงสุก
เพราะมันเพิ่มมาตั้งแต่ดอกมันโน้น ตั้งแต่เป็นลูกเล็กๆโน้น จนถึงมันห่าม จนถึงมันสุก มันจะไม่ทิ้งกันแม้แต่ครั้งเดียว
มันจะไม่ทิ้งกันสักครั้งเดียว สภาวะทั้งหลายเหล่านี้มันจะทำให้มะม่วงใบนั้นใหญ่ แต่มันจะใหญ่วันเดียวไม่ได้
มันจึงเป็นดอก เป็นลูกเล็กๆจนเป็นผลใหญ่ แก่มาก็สุก จนถึงว่ามันสุก มันก็มะม่วงใบเดียวนั่นแหละ
ไม่ใช่ว่ามะม่วงเกิดมาแล้วมันจะสุกทันที มันเป็นดอกแล้วก็เป็นผลเล็กๆก่อน ต่อมาก็ห่าม มันแบ่งทีละน้อยๆไป จนกว่ามะม่วงมันสุก
มีทั้งดอกมะม่วง มีทั้งรสมะม่วง สารพัดอย่าง…มันเปลี่ยน ถ้าอ่อนมันก็ฝาด นั่นรสของมัน แก่ขึ้นมาสักหน่อยหนึ่งมันก็เปรี้ยว
แก่ขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง มันก็มีรสหวานมาแทรก แต่จนถึงที่สุกมันก็หวาน
แต่ว่ามันเปลี่ยนลักษณะมันนั้นมันเป็นลักษณะเฉยๆ มันอยู่ที่มะม่วงใบเดียวกัน แม้ตลอดสีมะม่วงมันก็เปลี่ยน
ครั้งแรกมันก็เขียวแล้วมันก็เปลี่ยนเป็นเหลืองรสมันก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนตามมะม่วงใบเดียว ไม่ใช่หลายใบ
แม้จะเป็นลูกเล็กๆก็ช่าง มันก็มะม่วงลูกนั้น แม้จะลูกใหญ่มันก็คือมะม่วงลูกนั้น แม้มันจะแก่ก็มะม่วงลูกนั้น
แม้ว่ามันจะสุกมันก็มะม่วงลูกนั้น ไม่มีมะม่วงลูกอื่นจะมาให้ผลในมะม่วงลูกนั้น เป็นลูกเดียว
ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี นั้นชื่อมันต่างกันเหมือนกับมะม่วง
ถ้ามันแก่…มันรวมเข้ามาแล้ว จะเกิดเป็นปัญญาก้อนเดียว มีอันเดียว
เอโกธัมโม ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เอโกธัมโม…ธรรมมีอันเดียวเท่านั้น ไม่มีหลายอัน
ก็เหมือนกับดอกมะม่วง รสมะม่วง สีมะม่วง มันก็มาลงมะม่วงลูกเดียวทำให้มันหวานเท่านั้น
มันเปลี่ยนไปก็มะม่วงลูกเดียวกันนั่นแหละ ไม่ใช่อื่นไกล ครูบาอาจารย์บอกว่า เอโกธัมโมธรรมอันเดียว ไม่มีหลายอัน
เมื่อจิตสงบแล้วความคิดอ่านมันเกิดขึ้นมาจากความสงบนั้นมันจะละเอียดมากมันเป็นปัญญา
เมื่อปัญญาเกิดจะอบรมศีล เมื่อศีลเกิดจะอบรมสมาธิ สมาธิก็อบรมปัญญา เวียนไปจนกว่ามะม่วงลูกนั้นมันจะสุก
เมื่อมันสุกแล้วมันก็ทิ้งรสฝาดของมัน ทิ้งสีเขียวของมัน ทิ้งอาการของมันคือลูกมันเล็ก ทิ้งมาจนเป็นลูกโต
ทั้งรสฝาดก็ดี รสเปรี้ยวก็ดี เมื่อมาถึงมันสุกแล้วมันจะหวานเหมือนกันหมด มันจัดยังไม่เข้าล็อคกัน มันจึงไม่หวาน
ลูกเล็กๆ แล้วก็โตจนสุก มันก็เข้าล็อคเดียวกันเป็นมะม่วงสุก ไม่ใช่มะม่วงลูกอื่นจะมาเพิ่มเติม มะม่วงลูกนั้นแหละที่มันลูกเล็กๆนั่นแหละ
มันอ่อนนั่นแหละ มันแก่ก็มะม่วงลูกนั้นแหละ มันสุกก็มะม่วงลูกนั้นแหละ นี่ให้เรียนอย่างนี้
เรื่องสมาธิของเรานั้นมันจะมีทางสงสัยมาก เรื่องทำสมาธินี้ยาก.....ยากเพราะมันสงสัยมาก พอไปนั่งดูก็ไม่สงบง่าย
อันนี้เราก็ไม่สบายใจ มันวุ่นๆวายๆมันนึกคิดต่างๆนานาอย่างนี้ เราก็อยากเร่งให้มันสงบ
ทำไมมันถึงไม่สงบ มันวุ่นวาย บางทีก็เลยหยุดทำ
---------------------------------
เนื้อหาบางส่วนจาก สติ สมาธิ ปัญญา - หลวงปู่ชา สุภัทโท
http://anuchah.com/awareness-balance-wisdom/