พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สามารถทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุติ และ ปัญญาวิมุติ คือความหลุดพ้นทั้งทางใจและทางปัญญา
เป็นการหลุดพ้นที่สิ้นอาสวะโดยสิ้นเชิง
รู้แจ้งในปัจจุบัน ด้วยปัญญาอันยอดยิ่งของตนเอง
เขาทำได้
เพราะเป็นผู้ เจริญและทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาทสี่
อิทธิบาทสี่คืออะไร
ภิกษุเจริญอิทธิบาท ซึ่งประกอบด้วย
1 ฉันทะสมาธิ คือมีฉันทะ มีใจรัก มีความพอใจในการปฏิบัติ ทำให้จิตตั้งมั่น ประกอบด้วยความเพียรที่ชอบ
2 วิริยสมาธิ คือมีความเพียร มีความตั้งใจทำกิจให้สำเร็จ ทำให้จิตตั้งมั่น ประกอบด้วยความเพียรที่กล้าแข็ง
3 จิตตสมาธิ คือมีการตั้งจิตแน่วแน่ ใส่ใจในธรรมอย่างจริงจัง ทำให้จิตตั้งมั่น ประกอบด้วยความเพียรที่ต่อเนื่อง
4 วิมังสาสมาธิ คือใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง ทดลอง ตรวจสอบ ทำให้จิตตั้งมั่น ประกอบด้วยความเพียรที่มีเหตุผล
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ผู้ที่ทำอิทธิบาทสี่เหล่านี้ให้มาก ทำเนืองๆ ย่อมทำให้แจ้งซึ่งความหลุดพ้นทั้งทางใจและปัญญา
สิ้นอาสวะหมดจด เห็นจริงในปัจจุบันด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเอง
ปฏิบัติให้มาก คือ หนทางหลุดพ้น
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สามารถทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุติ และ ปัญญาวิมุติ คือความหลุดพ้นทั้งทางใจและทางปัญญา
เป็นการหลุดพ้นที่สิ้นอาสวะโดยสิ้นเชิง
รู้แจ้งในปัจจุบัน ด้วยปัญญาอันยอดยิ่งของตนเอง
เขาทำได้
เพราะเป็นผู้ เจริญและทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาทสี่
อิทธิบาทสี่คืออะไร
ภิกษุเจริญอิทธิบาท ซึ่งประกอบด้วย
1 ฉันทะสมาธิ คือมีฉันทะ มีใจรัก มีความพอใจในการปฏิบัติ ทำให้จิตตั้งมั่น ประกอบด้วยความเพียรที่ชอบ
2 วิริยสมาธิ คือมีความเพียร มีความตั้งใจทำกิจให้สำเร็จ ทำให้จิตตั้งมั่น ประกอบด้วยความเพียรที่กล้าแข็ง
3 จิตตสมาธิ คือมีการตั้งจิตแน่วแน่ ใส่ใจในธรรมอย่างจริงจัง ทำให้จิตตั้งมั่น ประกอบด้วยความเพียรที่ต่อเนื่อง
4 วิมังสาสมาธิ คือใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง ทดลอง ตรวจสอบ ทำให้จิตตั้งมั่น ประกอบด้วยความเพียรที่มีเหตุผล
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ผู้ที่ทำอิทธิบาทสี่เหล่านี้ให้มาก ทำเนืองๆ ย่อมทำให้แจ้งซึ่งความหลุดพ้นทั้งทางใจและปัญญา
สิ้นอาสวะหมดจด เห็นจริงในปัจจุบันด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเอง