สนช.ถกวุ่นขอประชุมลับ แถลงเปิดคดีถอดถอน “นิคม” ด้าน “วิชา” ชี้ รธน.57
ไม่ให้อำนาจถอดถอน แต่อ้างมต้องทำตามเพื่อตัดสิทธิการเมือง 5 ปี เชื่อไม่กระทบปรองดอง ช่วยสร้างศรัทธาผู้ปกครองคุณธรรมสูง
เมื่อเวลา 12.20 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม ได้เข้าสู่วาระการพิจารณากระบวนการถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ออกจากตำแหน่งตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ประกอบมาตรา 68 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2542
โดย พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ขอหารือก่อนการแถลงเปิดคดีว่า ตามข้อบังคับประชุมที่ 152 ว่าการถอดถอนต้องทำการประชุมโดยเปิดเผย เว้นแต่จะต้องคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ตนจึงมองว่า ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ยังไม่สงบ แต่ละฝ่ายยังมีความเห็นต่างกันอยู่ ยังมีคลื่นใต้น้ำ แม้จะดูเหมือนสงบก็ตาม เพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หากประชุมแล้วทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ตนจึงขอเสนอญัตติให้พิจารณาสำนวนถอดถอนในคดีนี้และคดีต่อไปเป็นการประชุมลับ
ทั้งนี้ สมาชิกสนช.หลายรายไม่เห็นด้วย ลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านญัตติขอประชุมลับ อาทิ นายกล้านรงค์ จันทิก นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ นายสมชาย แสวงการ นายตวง อันทะไชย โดยอ้างว่า ข้อประชุม 152 บังคับให้การประชุมถอดถอนต้องทำโดยเปิดเผย ซึ่งในการพิจารณาถอดถอนที่ผ่านมาก็ไม่มีเคยมีการประชุมลับ เพราะการประชุมลับอาจจะทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ชี้แจ้งและให้ประชาชนได้รับทราบจึงขอให้ถอนการเสนอญัตติ ไม่เช่นนั้นรัฐสภาจะเกิดความเสียหาย และสมาชิกสนช.ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร ขอให้ดำเนินการพิจารณาไปโดยเปิดเผย ส่วนนายพรเพชร ในฐานะประธานการประชุม ก็ได้ขอร้องให้ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ถอนญัตติประชุมลับด้วย
ขณะที่พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ยืนยันว่าจะไม่ถอนญัตติ เพราะต้องการทำเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะชนโดยรวม นอกจากนี้ยัมีสมาชิกสนช.ร่วมสนับสนุนได้แก่นายธานี อ่อนละเอียด จากนั้นที่ประชุมจึงมีมติไม่เห็นชอบให้ประชุมลับด้วยคะแนน 107 ต่อ 70 เสียง และงดออกเสียง 19 เสียง หลังอภิปรายคัดค้านกันกว่า 1 ชั่วโมง
จากนั้นจึงเข้าสู่การแถลงเปิดคดี โดยเริ่มจากนายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป.ป.ช. แถลงว่า แม้นายสมศักดิ์ และนายนิคม จะพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว แต่เนื่องจากการถอดถอนมีโทษตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. พ.ศ.2542 จึงต้องป้องกันไม่ให้ผู้นั้นกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีก แม้รัฐธรรมนูญ 2557 จะไม่ได้ระบุถึงการถอดถอนไว้โดยตรง แต่ในมาตรา 5 ก็เปิดให้มีการวินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองได้ และมาตรา 11 ก็ให้อำนาจสนช.ในการเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยไว้ กระบวนการถอดถอนจึงต้องเดินไปตามหลักการเมืองการปกครองที่เคยมี
“ข้อห่วงกังวลที่ว่า กระบวนการถอดถอนอาจมีผลทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิรูปและการปรองดอง ของคสช. ผมมองว่าตรงกันข้ามกัน เพราะกระบวนการถอดถอนนี้จะทำให้สังคมได้รับความเชื่อมั่นและศรัทธา วางใจให้การปฏิรูปประเทศจะเป็นไปด้วยดีและเรียบร้อย จากการถูกปกครองโดยผู้มีจริยธรรมและคุณธรรมระดับสูงเหนือกว่าคนอื่นทั้งหมด มิเช่นนั้นมาตรการลงโทษจะไร้ผล มิชอบด้วยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการผลักดันผู้ที่มีพฤติการณ์ส่อว่าทุจริต ประพฤติมิชอบให้ออกจากระบบ และป้องกันมิให้ผู้ในกลับมาดำรงตำแหน่งอีก นี่จึงเป็นการเริ่มต้นทำประเทศของเราให้ใสสะอาดปราศจากสิ่งที่ประชาชนไม่ไว้วางใจ” นายวิชากล่าว
นายวิชา กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 56 ที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการวุ่นวายทางการเมือง นำไปสู่การร้องศาลรัฐธรรมนูญ จนมีคำวินิจฉัยที่สำคัญที่สุดที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ในประเทศไทย เพราะประเด็นสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญหยิบยกมา คือ การคุ้มครองเสียงข้างน้อย และไม่ใช้ดูแต่ว่าเสียงข้างมากลงมติอย่างไร ซึ่งฝ่ายตุลาการจะทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบฝ่ายการเมือง
สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยเผชิญหน้ากันมาก่อนของกระบวนการนิติบัญญัติ และด้านตุลาการ จึงอยากเรียน สนช.ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นรากฐานสำคัญของการตรวจสอบของ ป.ป.ช. เพราะฉะนั้นการตรวจสอบของ ป.ป.ช. ไม่ได้ตรวจสอบนอกเหนือคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในสำนวนชี้มูลความผิดของ นายนิคมคือ สั่งปิดการอภิปรายก่อนครบกำหนดเวลา และตัดสิทธิผู้ขอแปรญัตติกว่า 47 คน ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มาส.ว. ส่อว่าใช้อำนาจหน้าที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ 2550 และพ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1420712092
สนช.ถกวุ่นขอประชุมลับ แถลงเปิดคดีถอดถอน“นิคม” - "วิชา"ชี้ต้องพักการเมือง5ปี-งัดม.11เข้าสู้
ไม่ให้อำนาจถอดถอน แต่อ้างมต้องทำตามเพื่อตัดสิทธิการเมือง 5 ปี เชื่อไม่กระทบปรองดอง ช่วยสร้างศรัทธาผู้ปกครองคุณธรรมสูง
เมื่อเวลา 12.20 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม ได้เข้าสู่วาระการพิจารณากระบวนการถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ออกจากตำแหน่งตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ประกอบมาตรา 68 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2542
โดย พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ขอหารือก่อนการแถลงเปิดคดีว่า ตามข้อบังคับประชุมที่ 152 ว่าการถอดถอนต้องทำการประชุมโดยเปิดเผย เว้นแต่จะต้องคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ตนจึงมองว่า ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ยังไม่สงบ แต่ละฝ่ายยังมีความเห็นต่างกันอยู่ ยังมีคลื่นใต้น้ำ แม้จะดูเหมือนสงบก็ตาม เพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หากประชุมแล้วทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ตนจึงขอเสนอญัตติให้พิจารณาสำนวนถอดถอนในคดีนี้และคดีต่อไปเป็นการประชุมลับ
ทั้งนี้ สมาชิกสนช.หลายรายไม่เห็นด้วย ลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านญัตติขอประชุมลับ อาทิ นายกล้านรงค์ จันทิก นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ นายสมชาย แสวงการ นายตวง อันทะไชย โดยอ้างว่า ข้อประชุม 152 บังคับให้การประชุมถอดถอนต้องทำโดยเปิดเผย ซึ่งในการพิจารณาถอดถอนที่ผ่านมาก็ไม่มีเคยมีการประชุมลับ เพราะการประชุมลับอาจจะทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ชี้แจ้งและให้ประชาชนได้รับทราบจึงขอให้ถอนการเสนอญัตติ ไม่เช่นนั้นรัฐสภาจะเกิดความเสียหาย และสมาชิกสนช.ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร ขอให้ดำเนินการพิจารณาไปโดยเปิดเผย ส่วนนายพรเพชร ในฐานะประธานการประชุม ก็ได้ขอร้องให้ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ถอนญัตติประชุมลับด้วย
ขณะที่พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ยืนยันว่าจะไม่ถอนญัตติ เพราะต้องการทำเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะชนโดยรวม นอกจากนี้ยัมีสมาชิกสนช.ร่วมสนับสนุนได้แก่นายธานี อ่อนละเอียด จากนั้นที่ประชุมจึงมีมติไม่เห็นชอบให้ประชุมลับด้วยคะแนน 107 ต่อ 70 เสียง และงดออกเสียง 19 เสียง หลังอภิปรายคัดค้านกันกว่า 1 ชั่วโมง
จากนั้นจึงเข้าสู่การแถลงเปิดคดี โดยเริ่มจากนายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป.ป.ช. แถลงว่า แม้นายสมศักดิ์ และนายนิคม จะพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว แต่เนื่องจากการถอดถอนมีโทษตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. พ.ศ.2542 จึงต้องป้องกันไม่ให้ผู้นั้นกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีก แม้รัฐธรรมนูญ 2557 จะไม่ได้ระบุถึงการถอดถอนไว้โดยตรง แต่ในมาตรา 5 ก็เปิดให้มีการวินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองได้ และมาตรา 11 ก็ให้อำนาจสนช.ในการเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยไว้ กระบวนการถอดถอนจึงต้องเดินไปตามหลักการเมืองการปกครองที่เคยมี
“ข้อห่วงกังวลที่ว่า กระบวนการถอดถอนอาจมีผลทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิรูปและการปรองดอง ของคสช. ผมมองว่าตรงกันข้ามกัน เพราะกระบวนการถอดถอนนี้จะทำให้สังคมได้รับความเชื่อมั่นและศรัทธา วางใจให้การปฏิรูปประเทศจะเป็นไปด้วยดีและเรียบร้อย จากการถูกปกครองโดยผู้มีจริยธรรมและคุณธรรมระดับสูงเหนือกว่าคนอื่นทั้งหมด มิเช่นนั้นมาตรการลงโทษจะไร้ผล มิชอบด้วยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการผลักดันผู้ที่มีพฤติการณ์ส่อว่าทุจริต ประพฤติมิชอบให้ออกจากระบบ และป้องกันมิให้ผู้ในกลับมาดำรงตำแหน่งอีก นี่จึงเป็นการเริ่มต้นทำประเทศของเราให้ใสสะอาดปราศจากสิ่งที่ประชาชนไม่ไว้วางใจ” นายวิชากล่าว
นายวิชา กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 56 ที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการวุ่นวายทางการเมือง นำไปสู่การร้องศาลรัฐธรรมนูญ จนมีคำวินิจฉัยที่สำคัญที่สุดที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ในประเทศไทย เพราะประเด็นสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญหยิบยกมา คือ การคุ้มครองเสียงข้างน้อย และไม่ใช้ดูแต่ว่าเสียงข้างมากลงมติอย่างไร ซึ่งฝ่ายตุลาการจะทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบฝ่ายการเมือง
สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยเผชิญหน้ากันมาก่อนของกระบวนการนิติบัญญัติ และด้านตุลาการ จึงอยากเรียน สนช.ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นรากฐานสำคัญของการตรวจสอบของ ป.ป.ช. เพราะฉะนั้นการตรวจสอบของ ป.ป.ช. ไม่ได้ตรวจสอบนอกเหนือคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในสำนวนชี้มูลความผิดของ นายนิคมคือ สั่งปิดการอภิปรายก่อนครบกำหนดเวลา และตัดสิทธิผู้ขอแปรญัตติกว่า 47 คน ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มาส.ว. ส่อว่าใช้อำนาจหน้าที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ 2550 และพ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1420712092