จับตาถอดถอน ชี้ชะตาประเทศ รายงานพิเศษ ข่าวสดออนไลน์ .../sao..เหลือ..noi

เป็นไปตามที่หลายคนคาดการณ์ว่าบรรยากาศการเมืองจะร้อนแรงตั้งแต่ต้นปีใหม่ 2558

/โดยเฉพาะประเด็นถอดถอนนักการเมือง 2 คดีสำคัญ คดีแรก
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา กับนายนิคม ไวยรัชพานิช
อดีตประธานวุฒิสภา ถูกกล่าวหาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา
ของส.ว.


กับคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถูกกล่าวหาละเลยการทุจริต
โครงการรับจำนำข้าว ทั้งสองคดีมี ผู้กล่าวหาเดียวกันคือป.ป.ช.

หลังยืดเยื้อนานข้ามปี คดีถอดถอน 3 นักการเมืองดังกล่าวได้มาถึงช่วง
หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งมีมติรับเรื่อง
ถอดถอนทั้ง 2 คดีไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

กำหนดให้คู่ความ ป.ป.ช.ในฐานะผู้กล่าวหาและ 3 นักการเมือง
ผู้ถูกกล่าวหาเข้าแถลงเปิดสำนวนคดี

วันที่ 8 ม.ค. เป็นคิวนายสมศักดิ์ กับนายนิคม วันที่ 9 ม.ค. เป็นคิวของ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยมีนายวิชา มหาคุณ เป็นตัวแทนแถลงเปิดคดีในส่วน
ของป.ป.ช.ทั้ง 2 วัน


หลังรับฟังการแถลงเปิดคดี สนช.ตั้งคณะกรรมาธิการซักถามขึ้น 2 ชุด
ชุดละ 9 คน เพื่อรวบรวมประเด็นซักถามจากสมาชิกสนช. และเป็นตัว
แทนซักถามคู่กรณี

คดีถอดถอน "สมศักดิ์-นิคม" กำหนดซักถามวันที่ 15 ม.ค. คดีถอดถอน
ยิ่งลักษณ์ กำหนดซักถามวันที่ 16 ม.ค. เสร็จจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ
คือการลงมติว่าจะถอดถอนหรือไม่

ล่าสุดข่าวแจ้งว่าการลงมติคดี "สมศักดิ์-นิคม" จะมีขึ้นวันที่ 22 ม.ค.
ส่วนของ "ยิ่งลักษณ์" จะมีขึ้นวันที่ 23 ม.ค. เร็วขึ้นจากกำหนดเดิม
ปลายเดือนม.ค.หรือต้นเดือนก.พ. ตามที่นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย
รองประธานสนช. กล่าวไว้ในตอนแรก

ในห้วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้มีกระแสข่าวหนาหูว่า

ถึงที่สุดแล้วเกมถอดถอน ฉากหนึ่งของสงครามการเมืองในภาพใหญ่
ที่สองฝ่ายผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่าน
มา

ครั้งนี้ผลน่าจะออกมาเป็นบวกกับฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา

ด้วยเงื่อนไขสมาชิกสนช.ส่วนใหญ่โดยเฉพาะสายทหาร ตำรวจและ
ข้าราชการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีจำนวนกว่าครึ่งของสมาชิกทั้งหมด 220 คน

รู้ดีว่าเนื้อแท้ของเกมถอดถอนครั้งนี้มีต้นตอความเป็นมาอย่างไร เป็นเรื่อง
ของการจงใจฝ่าฝืนข้อกฎหมาย หรือเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ

เนื่องจากว่าถึงผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คน จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ถ้าหาก
โดนถอดถอนซ้ำก็ต้องรับโทษถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี

แน่นอนว่าการลงมติที่กำลังจะมีขึ้นในอีกราว 10 วันข้างหน้า ไม่ว่า
ผลออกมาอย่างไรย่อมมีทั้งกลุ่มคนพอใจและ ไม่พอใจ

แต่นั่นไม่ได้อยู่เหนือการตัดสินใจของเหล่าบรรดาสมาชิก สนช.ทั้ง 220 คน
ที่ต้องพิจารณาโดยยึดหลักความยุติธรรม หลักกฎหมาย และความเป็นกลาง

เหมือนที่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.เคยกล่าวไว้ว่า สนช.ต้อง
ไม่ทำหรือแสดงให้เห็นว่าเข้าข้างหรือมีอคติต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

เพราะความจริงที่ไม่อาจมองข้ามก็คือ สนช.ชุดนี้ไม่ได้มาตามวิถีทาง
ประชาธิปไตย แต่ถือกำเนิดจากคณะรัฐประหาร คสช. ทำให้มีต้นทุน
ภาพลักษณ์อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าสภาปกติ

รวมถึงข้อเคลือบแคลงของสังคมที่ว่า องค์กรที่มาจากการลากตั้ง
ด้วยอำนาจพิเศษ สมควรหรือไม่ที่จะใช้อำนาจถอดถอนผู้ที่มาจาก
การเลือกตั้งของประชาชน และพ้นจากตำแหน่งไปแล้วนาน 8 เดือน

ดังนั้น จึงมีแต่การปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักความยุติธรรม โปร่งใส
ยึดหลักกฎหมาย และวางตัวเป็นกลาง ไม่หลงกลตกเป็นเครื่องมือ
ทางการเมืองให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเท่านั้นที่จะเป็นเกราะป้องกันสนช.
ที่สำคัญจะมีผลช่วยให้ความขัดแย้งของคนในสังคมลดน้อยลง

สนช.เปรียบเสมือนกรรมการผู้ตัดสิน ถ้าไม่มีความเป็นธรรมก็จะยิ่ง
เป็นการซ้ำเติมความรู้สึกเกลียดชังให้กับคนในสังคม สิ่งที่ตามมา
ไม่ใช่แค่สนช.ที่ขาดความน่าเชื่อถือ แต่ยังเป็นการจุดชนวนความ
ขัดแย้งรอบใหม่

กระทบถึงการสร้างบรรยากาศความปรองดองสมานฉันท์ หมุนกงล้อ
ประเทศกลับไปสู่ความแตกแยกเหมือนก่อนวันที่ 22 พ.ค. 2557 ซึ่ง
หมายความว่าสิ่งที่คสช.พากเพียรทำมาเกือบ 8 เดือน

อาจพังทลายลงไปในพริบตา

ภายใต้คำแถลงต่อที่ประชุม สนช.ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อ
วันที่ 9 ม.ค. แม้จะใช้เวลาสรุปเรื่องราวเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเศษ

แต่ก็เป็นการเปิดโปงขบวนการโจมตีโครงการรับจำนำข้าว เพื่อหวังผล
ทำลายล้างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้อย่างหมดเปลือก


ทั้งยังลำดับความชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่า กลไกองค์กรอิสระอย่างป.ป.ช.
อดีตฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ องค์กรทีดีอาร์ไอ และม็อบกปปส.

ทำงานเป็นทีมเวิร์ก สอดประสานกันอย่างไรกว่าจะปั้นเรื่องถอดถอน
ผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสนช.ได้เป็นผลสำเร็จ

ทั้งที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ถูกยกเลิกไปแล้วจากการรัฐประหารโดยคสช.
รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ก็ไม่ได้ให้อำนาจสนช.ดำเนินการถอดถอน

ในสำนวนของป.ป.ช.ก็ไม่มีหลักฐานการทุจริตจำนำข้าวในระดับรัฐบาล
อัยการสูงสุดที่ได้หารือร่วมกับป.ป.ช.มาแล้วหลายรอบ ก็ยังไม่พบพยาน
หลักฐานหนักแน่นพอสรุปได้ว่าจะสั่งฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่


ป.ป.ช.เองก็บ่ายเบี่ยงที่จะดำเนินการสิ่งใดเพิ่มเติมนอกเหนือจากหลักฐาน
ปกรายงานวิจัยของทีดีอาร์ไอ

ในช่วงท้ายของการชี้แจง สิ่งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ร้องขอจากที่ประชุมสนช.
คือการพิจารณาตัดสินคดีอย่างเที่ยงธรรม ตามหลักนิติธรรมสากล
เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการปฏิรูปประเทศโดยเฉพาะเรื่องความยุติธรรม

ไม่ให้มีการกล่าวหาว่าสองมาตรฐาน อันเป็นสาเหตุสำคัญที่สร้างความ
ขัดแย้ง และไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างความปรองดองของชาติ

บทเรียนที่ประชาชนในสังคมเรียนรู้ร่วมกันตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นั่นก็คือความยุติธรรมสองมาตรฐาน เป็นชนวนวิกฤตความ ขัดแย้งที่
แท้จริงของประเทศไทย

สำหรับสนช.ทั้ง 220 คน ได้เรียนรู้ไปพร้อมกับประชาชนหรือไม่
อีกไม่กี่วันนับจากนี้คงได้รู้กัน


http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU1EazJNemd5Tnc9PQ==&subcatid=

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่