คนที่ไม่นับถือศาสนาเป็นคนที่ปฎิเสธความเชื่อทุกๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระเจ้า เรื่องปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ แต่พวกเขาก็ยังมีความศรัทธากับความสามารถของมนุษย์ด้วยกันและก็ยอมรับเหตุผลทางด้านวิทยาศาสตร์ พวกเขามีความเชื่อในเรื่องคุณธรรมจริยธรรม และก็เชื่อในเรื่องความสำเร็จในชีวิตและความรักที่เข้ามา แต่ไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร ลองมาดูเหตุผล 10 อันดับกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
10.จุดประสงค์หลักๆก็คือ การหาความสุขแบบไร้ขีดจำกัด
ผู้คนส่วนใหญ่อ้างว่ามีศาสนาแล้วพวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีความสุขและพ้นทุกข์ได้ แน่นอนว่าศาสนาทุกๆศาสนาสอนพวกเราว่า จะค้นพบความสุขได้อย่างไร แต่คนที่ไม่นับถือศาสนาเองก็เชื่อว่าความสุขก็มาจากการที่ไม่มีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อที่จะทำให้พวกเรามีอิสระจากความสุขและความทุกข์ เป็นมุมมองง่ายๆแต่จริงๆแล้วศาสนาเองก็สอนให้เราปลดแอกจากร่างกายและจิตใจออกมาเช่นกัน
9.การเปลี่ยนแปลงทางจักรวาล
ศาสนาทุกๆศาสนาที่มีอยู่บนโลกใบนี้มักจะมีการอธิบายเกี่ยวกับที่มาของจักรวาล ส่วนใหญ่ก็จะมาจากผู้เล่าเรื่องทางศาสนาที่บอกต่อๆกันมา คนที่ไม่นับถือศาสนาก็มีความเชื่อเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการของ Darwin เป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับรอบตัวเราว่ามาจากไหนและอย่างไร และเชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้มาจากการสร้างมาจากสิ่งไหน สิ่งหนึ่ง แต่เป็นวิวัฒนาการเหมือนกับสปีชี่สอื่นๆเหมือนกับโลกใบนี้
8.คนที่ไม่นับถือศาสนากับคุณธรรม ศีลธรรม
ไม่ว่าจะนับถือศาสนาหรือไม่นับถือศาสนา พวกเราทุกคนก็ล้วนตระหนักถึงคุณธรรม ศีลธรรมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น บอกความจริง ให้ความรักกับผู้คนที่อยู่รอบๆตัวเรา ซึ่งส่วนใหญ่เราคิดว่าเรื่องนี้จะมาจากหลักศาสนา แต่สำหรับคนที่ไม่นับถือศาสนานั้น ก็มีเหตุผลของเขาก็คือ คุณธรรมจะต้องมาจากสติปัญญา และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลักคำสอนทางศาสนาแต่อย่างใด
7.ความศรัทธาของคนที่ไม่นับถือศาสนา
แม้ว่าศาสนาทุกๆศาสนาสอนให้ผู้คนเคารพศรัทธาต่อคำสอนของพระศาสดา และให้ยอมรับคำสอนของพระศาสดา สำหรับคนที่ไม่นับถือศาสนาก็จะเน้นเรื่องทักษะความสามารถของมนุษย์และผลตอบแทนที่ได้กลับมามากกว่า คนที่ไม่นับถือศาสนาจะมีความศรัทธาต่อหลักทฤษฎีทั้งวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา กฎฟิสิกข์ หลักคณิตศาสตร์ เน้นการแก้ไขปัญหาทุกมุมมอง และศรัทธาต่อความเป็นอยู่ในตอนนี้และความเป็นอยู่ในอนาคตข้างหน้า ซึ่งก็คล้ายๆกับหลักคำสอนทางศาสนา
6.พิธีกรรมและงานเฉลิมฉลอง
ศาสนาแน่นอนว่าจะต้องให้ความสำคัญกับพิธีกรรมและงานเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสต่างๆ อย่างเช่น วันคริสต์มาส สำหรับคนที่ไม่นับถือศาสนานั้นส่วนใหญ่ก็จะหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ออกไป แต่เน้นไปให้ความสำคัญกับตัวเองหรือสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากกว่าเช่น เป็นงานศิลปะที่เราอยากจะไป หรือใช้เวลาศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้นกว่าเดิม
5.พวกเราทุกคนล้วนอยากเจอสิ่งดีๆ
เมื่อผู้คนเริ่มไม่ศรัทธาในศาสนามากขึ้น เริ่มไม่มีความเชื่อเรื่องกรรม พระเจ้าหรือเรื่องอะไรก็ตามแต่ โลกของเราจึงมีการเปลี่ยนแปลงให้ความสำคัญกับการสร้างแนวคิดอื่นๆมากขึ้น เช่นลัทธิมนุษย์นิยม ที่ถือเป็นหลักคิดที่อยากให้มนุษย์ทุกๆคนเจอแต่สิ่งดีๆและมีพื้นฐานความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งก็สอดคล้องกับหลักศาสนาส่วนใหญ่ในโลก
4.คนที่ไม่นับถือศาสนามีความเห็นไม่ตรงกับหลักคำสอนทางศาสนา
คนที่ไม่นับถือศาสนาส่วนใหญ่ไม่เพียงแค่จะไม่เชื่อเรื่องที่มาที่ไปทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังไม่เห็นด้วยกับหลักศาสนาหลายเรื่อง คนที่นับถือศาสนาส่วนใหญ่ก็ทำตามกฎเกณฑ์โดยไม่มีการคิดไต่ตรองและไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักคำสอนทางศาสนาบ้าง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับเหตุผลทางด้านวิทยาศาสตร์มากกว่า ที่ทำให้พวกเขามองเห็นทุกๆอย่างที่เป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่พวกเขาก็ให้ความสำคัญเรื่องจริยธรรม คุณธรรมและสิ่งที่พิสูจน์ได้จริง
3.องค์ประกอบและกฎเกณฑ์ของคนที่ไม่นับถือศาสนา
แม้ว่าทุกๆศาสนาจะสอนให้พวกเราเคารพกับกฎธรรมชาติและช่วยรักษาธรรมชาติ คนที่ไม่นับถือศาสนาส่วนใหญ่ก็มีความเชื่อในเรื่องพลังแห่งธรรมชาติเหมือนกัน อย่างเช่นองค์ประกอบของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังที่สร้างโลกของเราให้มีความสมดุล พวกเขาจึงยึดมั่นและศรัทธากับธรรมชาติมากกว่าที่จะเสียเวลายึดมั่นกับหลักธรรมคำสอน
2.คนที่ไม่นับถือศาสนามีรูปแบบความคิดที่แตกต่างกันออกไป
บางครั้งศาสนาเองก็มีเรื่องที่ทำให้เรามีความขัดแย้งทางความคิดขึ้นมา ที่มาจากการถ่ายทอดสืบทอดต่อๆกันมา จนเกิดการผูกขาดทางความคิดขึ้นมา ปัจจุบันนี้ก็ไม่ต่างกันมากนัก ที่เราจะเห็นได้ว่ามีการพูดถึงหลักคำสอนทางศาสนาวนเวียนไปมา และทำให้บางคนเกิดหันมาไม่อยากนับถือศาสนาขึ้นมา แน่นอนว่าเกิดความขัดแย้งทางความคิดในสมัยก่อนที่กาลิเลโอได้โต้เถียงว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่หลักศาสนายังยืนยันว่า โลกของเราไม่เคลื่อนไหวไปไหน
1.คนที่ไม่นับถือศาสนานิยมหลักวิทยาศาสตร์และความรู้สึกทั่วๆไป
คนที่นับถือหรือไม่นับถือศาสนาก็สามารถอยู่รอดได้โดยใช้ความรู้สึกทั่วๆไปและหลักเหตุผล คนที่นับถือศาสนาจะมีความคิดที่ไม่เหมือนกันในแต่ละคน บางคนก็ยึดมั่นกับหลักคำสอน บางคนก็มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาคำสอนให้สอดคล้องกับตัวเอง และสำคัญก็คือทำแล้วต้องอยู่รอดและทำให้เราคิดอย่างมีเหตุผล คนที่ไม่นับถือศาสนาก็เช่นกัน ที่พวกเขาต่างก็โจมตีเรื่อเพ้อฝันต่างๆนาและพิธีกรรมต่างๆ แต่แน่นอนว่าพวกเขาก็ยังยึดมั่นเรื่องหลักศีลธรรม และหลักวิทยศาสตร์ควบคู่กับชีวิตประจำวันของตัวเอง
ผู้เขียน Mr.lawrence10
(เรื่องน่ารู้) 10 อันดับเหตุผลที่ทำไมผู้คนถึงไม่นับถือศาสนา
ผู้คนส่วนใหญ่อ้างว่ามีศาสนาแล้วพวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีความสุขและพ้นทุกข์ได้ แน่นอนว่าศาสนาทุกๆศาสนาสอนพวกเราว่า จะค้นพบความสุขได้อย่างไร แต่คนที่ไม่นับถือศาสนาเองก็เชื่อว่าความสุขก็มาจากการที่ไม่มีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อที่จะทำให้พวกเรามีอิสระจากความสุขและความทุกข์ เป็นมุมมองง่ายๆแต่จริงๆแล้วศาสนาเองก็สอนให้เราปลดแอกจากร่างกายและจิตใจออกมาเช่นกัน
ศาสนาทุกๆศาสนาที่มีอยู่บนโลกใบนี้มักจะมีการอธิบายเกี่ยวกับที่มาของจักรวาล ส่วนใหญ่ก็จะมาจากผู้เล่าเรื่องทางศาสนาที่บอกต่อๆกันมา คนที่ไม่นับถือศาสนาก็มีความเชื่อเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการของ Darwin เป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับรอบตัวเราว่ามาจากไหนและอย่างไร และเชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้มาจากการสร้างมาจากสิ่งไหน สิ่งหนึ่ง แต่เป็นวิวัฒนาการเหมือนกับสปีชี่สอื่นๆเหมือนกับโลกใบนี้
ไม่ว่าจะนับถือศาสนาหรือไม่นับถือศาสนา พวกเราทุกคนก็ล้วนตระหนักถึงคุณธรรม ศีลธรรมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น บอกความจริง ให้ความรักกับผู้คนที่อยู่รอบๆตัวเรา ซึ่งส่วนใหญ่เราคิดว่าเรื่องนี้จะมาจากหลักศาสนา แต่สำหรับคนที่ไม่นับถือศาสนานั้น ก็มีเหตุผลของเขาก็คือ คุณธรรมจะต้องมาจากสติปัญญา และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลักคำสอนทางศาสนาแต่อย่างใด
แม้ว่าศาสนาทุกๆศาสนาสอนให้ผู้คนเคารพศรัทธาต่อคำสอนของพระศาสดา และให้ยอมรับคำสอนของพระศาสดา สำหรับคนที่ไม่นับถือศาสนาก็จะเน้นเรื่องทักษะความสามารถของมนุษย์และผลตอบแทนที่ได้กลับมามากกว่า คนที่ไม่นับถือศาสนาจะมีความศรัทธาต่อหลักทฤษฎีทั้งวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา กฎฟิสิกข์ หลักคณิตศาสตร์ เน้นการแก้ไขปัญหาทุกมุมมอง และศรัทธาต่อความเป็นอยู่ในตอนนี้และความเป็นอยู่ในอนาคตข้างหน้า ซึ่งก็คล้ายๆกับหลักคำสอนทางศาสนา
ศาสนาแน่นอนว่าจะต้องให้ความสำคัญกับพิธีกรรมและงานเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสต่างๆ อย่างเช่น วันคริสต์มาส สำหรับคนที่ไม่นับถือศาสนานั้นส่วนใหญ่ก็จะหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ออกไป แต่เน้นไปให้ความสำคัญกับตัวเองหรือสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากกว่าเช่น เป็นงานศิลปะที่เราอยากจะไป หรือใช้เวลาศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อผู้คนเริ่มไม่ศรัทธาในศาสนามากขึ้น เริ่มไม่มีความเชื่อเรื่องกรรม พระเจ้าหรือเรื่องอะไรก็ตามแต่ โลกของเราจึงมีการเปลี่ยนแปลงให้ความสำคัญกับการสร้างแนวคิดอื่นๆมากขึ้น เช่นลัทธิมนุษย์นิยม ที่ถือเป็นหลักคิดที่อยากให้มนุษย์ทุกๆคนเจอแต่สิ่งดีๆและมีพื้นฐานความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งก็สอดคล้องกับหลักศาสนาส่วนใหญ่ในโลก
คนที่ไม่นับถือศาสนาส่วนใหญ่ไม่เพียงแค่จะไม่เชื่อเรื่องที่มาที่ไปทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังไม่เห็นด้วยกับหลักศาสนาหลายเรื่อง คนที่นับถือศาสนาส่วนใหญ่ก็ทำตามกฎเกณฑ์โดยไม่มีการคิดไต่ตรองและไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักคำสอนทางศาสนาบ้าง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับเหตุผลทางด้านวิทยาศาสตร์มากกว่า ที่ทำให้พวกเขามองเห็นทุกๆอย่างที่เป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่พวกเขาก็ให้ความสำคัญเรื่องจริยธรรม คุณธรรมและสิ่งที่พิสูจน์ได้จริง
แม้ว่าทุกๆศาสนาจะสอนให้พวกเราเคารพกับกฎธรรมชาติและช่วยรักษาธรรมชาติ คนที่ไม่นับถือศาสนาส่วนใหญ่ก็มีความเชื่อในเรื่องพลังแห่งธรรมชาติเหมือนกัน อย่างเช่นองค์ประกอบของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังที่สร้างโลกของเราให้มีความสมดุล พวกเขาจึงยึดมั่นและศรัทธากับธรรมชาติมากกว่าที่จะเสียเวลายึดมั่นกับหลักธรรมคำสอน
บางครั้งศาสนาเองก็มีเรื่องที่ทำให้เรามีความขัดแย้งทางความคิดขึ้นมา ที่มาจากการถ่ายทอดสืบทอดต่อๆกันมา จนเกิดการผูกขาดทางความคิดขึ้นมา ปัจจุบันนี้ก็ไม่ต่างกันมากนัก ที่เราจะเห็นได้ว่ามีการพูดถึงหลักคำสอนทางศาสนาวนเวียนไปมา และทำให้บางคนเกิดหันมาไม่อยากนับถือศาสนาขึ้นมา แน่นอนว่าเกิดความขัดแย้งทางความคิดในสมัยก่อนที่กาลิเลโอได้โต้เถียงว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่หลักศาสนายังยืนยันว่า โลกของเราไม่เคลื่อนไหวไปไหน
คนที่นับถือหรือไม่นับถือศาสนาก็สามารถอยู่รอดได้โดยใช้ความรู้สึกทั่วๆไปและหลักเหตุผล คนที่นับถือศาสนาจะมีความคิดที่ไม่เหมือนกันในแต่ละคน บางคนก็ยึดมั่นกับหลักคำสอน บางคนก็มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาคำสอนให้สอดคล้องกับตัวเอง และสำคัญก็คือทำแล้วต้องอยู่รอดและทำให้เราคิดอย่างมีเหตุผล คนที่ไม่นับถือศาสนาก็เช่นกัน ที่พวกเขาต่างก็โจมตีเรื่อเพ้อฝันต่างๆนาและพิธีกรรมต่างๆ แต่แน่นอนว่าพวกเขาก็ยังยึดมั่นเรื่องหลักศีลธรรม และหลักวิทยศาสตร์ควบคู่กับชีวิตประจำวันของตัวเอง
ผู้เขียน Mr.lawrence10