กระผมทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ลักษณะงาน คือการพานักท่องเที่ยวต่างชาติทางยุโรปมาเที่ยวในเมืองไทย เนื่องด้วยลักษณะงานแบบนี้ ผมจึงมีหน้าที่ที่ให้ข้อมูลต่างๆกับนักท่องเที่ยว รวมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลบางอย่างกับนักท่องเที่ยวด้วย หนึ่งในเรื่องที่ชาวต่างชาติใคร่จะรู้นั้น ก็คือเรื่อง ศาสนาพุทธ ของเรานั้นเอง..แต่ก่อน ผมก็เป็นปุถุชนคนหนา เฉกเช่นคนทั่วๆไป ที่ติดอยู่ในวังวนของความหลง กิน เที่ยว เสพกาม ไร้ศีล ไม่สนศาสนา(เพราะมีทิฏฐิที่เห็นว่าเรื่องธรรมะนั้น ให้เฉพาะคนแก่ ล้าสมัย สำหรับพระในวัดเท่านั้น)
..ผมเริ่มสนใจศึกษาศาสนาพุทธอย่างจริงจัง ในสายของพระอาจารย์มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่เทสส์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น เรื่อยมา จนกระทั่งเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า จนมีความคิดอยากจะออกบวช เป็นพระสายวัดป่าอย่างไม่มีสั่นคลอน (แต่ก็ยังไม่ได้บวชสักที) ผมได้ศึกษาเรื่องภพภูมิทั้ง๓๑ หลักกรรมและเหตุของการเวียนว่ายตายเกิด ศึกษาวิทยาศาสตร์แนวทฤษฎีควันตัม เพื่อให้สอดคล้องแก่การอธิบายทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิดต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เข้าใจ (นอกเหนือจากอริยสัจ๔ ซึ่ง นทท.ยอมรับอยู่แล้ว)
ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจนิดหนึ่งว่า ชาวต่างชาตินั้น มีผู้คนที่เรียกว่า ไม่นับถือศาสนาอะไรเรย หรือไร้ศาสนานั้นเยอะมาก และมีแนวโน้มที่จะเยอะยิ่งๆขึ้นไปอีก พวกเค้าเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีแนวคิดต่อต้าน(เงียบๆ)หลักที่ไม่สามารถพิสูจน์ให้เค้าประจักได้ ศรัทธา ในความหมายของเขาก็คือ งมงาย..
ท่านทั้งหลายลองนึกภาพตามว่า แม้นผมจะพยามอธิบายภพภูมิ ในลักษณะของ มิติต่างๆในจักรวาล ที่ประสิทธิภาพของ ประสาทสัมผัสทั้ง๕ ของมนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ เป็นอย่างไร , แม้นจะมีทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้ว่าจะมี ภพภูมิต่างๆ(ในทฤฎีทางวิทยาศาสตร์) การเวียนว่ายตายเกิด แต่ก็ไม่วาย มาตกม้าตายตอนสุดท้าย กับคำว่า พิสูจน์ให้เค้าประจักได้ไหม? แล้วคำถามที่สะกิดใจผมมากในตอนนั้นคือ ทำไม บุดดา ของเธอ จึงสอนเรื่องพวกนี้ (ที่ไม่สามารถทำให้ประจักได้) แก่พวกเธอ หรือเพื่อให้เกิดความกลัวเท่านั้นหรือ? งั้นก็ไม่แตกต่างจากศาสนาของพวกฉัน ที่พยายามจะใช้ ความเชื่อ ศรัทธา มาโน้มน้าวประชาชน!!
ผมเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาใหม่ ในแนวที่ไม่เอาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ เรื่องหลังความตายมาเกี่ยว ก็ไปพ้องกับวิธีสอนของท่านพุทธทาส ที่ผมไปเจอโดยบังเอิญในร้านหนังสือ ..
การอธิบายในแนวท่านพุทธทาสนี้ ต้องยอมรับว่า เป็นที่ประจัก และคัดค้านไม่ได้แก่กลุ่มของชาวต่างชาติ หรือผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเรย ..
สำหรับตัวกระผมเองนั้น ผมมีความเห็นว่า สำหรับคนปัญญาน้อยเช่นกระผมหรือใครที่อาจเหมือนกระผม ถ้าไปตีความในเรื่อง ความว่าง ของท่านพุทธทาสผิดด้วยปัญญาอันน้อยนิด เกรงว่าอาจจะหลุดโผไปอยู่ตรงส่วนสุด หรือ อุจเฉททิฎฐิ ได้โดยไม่อยากเรย เพราะอาศัยความอยากเดิมเป็นทุน (ซึ่งผมได้ล่องไปฝั่งสุดมาเรียบร้อยแล้ว

)
แต่นี่เป็นเรื่องของปัญญาแต่ละบุคคล กระผมไม่ได้มีเจตนาปรามาสคำสอนของท่านพุทธทาสเรยด้วยเจตนาบริสุทธิ์
แต่กระผมต้องขอสารภาพอย่างเปิดเผย ว่ากระผม มีความเชื่อโดยส่วนตัวว่า ชีวิต ภพภูมิหลังความตายนั้น มีโอกาสเป็นไปได้จริง(และสูงสำหรับตัวกระผม) ฉะนั้น เวลาผมอธิบายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ผมอธิบายเป็นสองประเด็น สองความเชื่อ ให้ได้พิจารณาและตัดสินใจกันเอาเอง
กระผมเห็นว่า ศาสตร์หรือแนวทางทั้งสองแบบนี้ ล้วนแล้วแต่มีคุณประโยชน์ทั้งสอง แล้วแต่ใครจะหยิบอันไหนมาใช้มาปฏิบัติ
จุดมุ่งหมายสุดท้าย ก็คือ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั่นเอง หรือท่านมีความเห็นย่างไรครับ?
สองแนวทางที่สร้างประโยชน์ได้
..ผมเริ่มสนใจศึกษาศาสนาพุทธอย่างจริงจัง ในสายของพระอาจารย์มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่เทสส์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น เรื่อยมา จนกระทั่งเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า จนมีความคิดอยากจะออกบวช เป็นพระสายวัดป่าอย่างไม่มีสั่นคลอน (แต่ก็ยังไม่ได้บวชสักที) ผมได้ศึกษาเรื่องภพภูมิทั้ง๓๑ หลักกรรมและเหตุของการเวียนว่ายตายเกิด ศึกษาวิทยาศาสตร์แนวทฤษฎีควันตัม เพื่อให้สอดคล้องแก่การอธิบายทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิดต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เข้าใจ (นอกเหนือจากอริยสัจ๔ ซึ่ง นทท.ยอมรับอยู่แล้ว)
ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจนิดหนึ่งว่า ชาวต่างชาตินั้น มีผู้คนที่เรียกว่า ไม่นับถือศาสนาอะไรเรย หรือไร้ศาสนานั้นเยอะมาก และมีแนวโน้มที่จะเยอะยิ่งๆขึ้นไปอีก พวกเค้าเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีแนวคิดต่อต้าน(เงียบๆ)หลักที่ไม่สามารถพิสูจน์ให้เค้าประจักได้ ศรัทธา ในความหมายของเขาก็คือ งมงาย..
ท่านทั้งหลายลองนึกภาพตามว่า แม้นผมจะพยามอธิบายภพภูมิ ในลักษณะของ มิติต่างๆในจักรวาล ที่ประสิทธิภาพของ ประสาทสัมผัสทั้ง๕ ของมนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ เป็นอย่างไร , แม้นจะมีทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้ว่าจะมี ภพภูมิต่างๆ(ในทฤฎีทางวิทยาศาสตร์) การเวียนว่ายตายเกิด แต่ก็ไม่วาย มาตกม้าตายตอนสุดท้าย กับคำว่า พิสูจน์ให้เค้าประจักได้ไหม? แล้วคำถามที่สะกิดใจผมมากในตอนนั้นคือ ทำไม บุดดา ของเธอ จึงสอนเรื่องพวกนี้ (ที่ไม่สามารถทำให้ประจักได้) แก่พวกเธอ หรือเพื่อให้เกิดความกลัวเท่านั้นหรือ? งั้นก็ไม่แตกต่างจากศาสนาของพวกฉัน ที่พยายามจะใช้ ความเชื่อ ศรัทธา มาโน้มน้าวประชาชน!!
ผมเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาใหม่ ในแนวที่ไม่เอาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ เรื่องหลังความตายมาเกี่ยว ก็ไปพ้องกับวิธีสอนของท่านพุทธทาส ที่ผมไปเจอโดยบังเอิญในร้านหนังสือ ..
การอธิบายในแนวท่านพุทธทาสนี้ ต้องยอมรับว่า เป็นที่ประจัก และคัดค้านไม่ได้แก่กลุ่มของชาวต่างชาติ หรือผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเรย ..
สำหรับตัวกระผมเองนั้น ผมมีความเห็นว่า สำหรับคนปัญญาน้อยเช่นกระผมหรือใครที่อาจเหมือนกระผม ถ้าไปตีความในเรื่อง ความว่าง ของท่านพุทธทาสผิดด้วยปัญญาอันน้อยนิด เกรงว่าอาจจะหลุดโผไปอยู่ตรงส่วนสุด หรือ อุจเฉททิฎฐิ ได้โดยไม่อยากเรย เพราะอาศัยความอยากเดิมเป็นทุน (ซึ่งผมได้ล่องไปฝั่งสุดมาเรียบร้อยแล้ว
แต่นี่เป็นเรื่องของปัญญาแต่ละบุคคล กระผมไม่ได้มีเจตนาปรามาสคำสอนของท่านพุทธทาสเรยด้วยเจตนาบริสุทธิ์
แต่กระผมต้องขอสารภาพอย่างเปิดเผย ว่ากระผม มีความเชื่อโดยส่วนตัวว่า ชีวิต ภพภูมิหลังความตายนั้น มีโอกาสเป็นไปได้จริง(และสูงสำหรับตัวกระผม) ฉะนั้น เวลาผมอธิบายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ผมอธิบายเป็นสองประเด็น สองความเชื่อ ให้ได้พิจารณาและตัดสินใจกันเอาเอง
กระผมเห็นว่า ศาสตร์หรือแนวทางทั้งสองแบบนี้ ล้วนแล้วแต่มีคุณประโยชน์ทั้งสอง แล้วแต่ใครจะหยิบอันไหนมาใช้มาปฏิบัติ
จุดมุ่งหมายสุดท้าย ก็คือ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั่นเอง หรือท่านมีความเห็นย่างไรครับ?