อ้วนๆๆๆ อ้วนจ๊างงง
ไปไหนมาไหนเจอเพื่อนเก่าๆ หลายคนก็บ่นว่าอ้วนเว้ย ไม่ไหว ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย พออ้วน อะไรๆ ก็ไม่ดีไปหมด แต่ประสาพวกเราเหล่าผู้ชาย เรื่องที่กังวลอันดับต้นๆ ไม่ต้องบอกก็พอรู้อยู่ เจอเพื่อนทีไร ก็โดนลูบพุง เฮ้ย เอ็งยังไม่อ้วนนี่หว่า แสดงว่ายังงี้....ยังดีอยู่ซิ หึหึหึ เขิล ไม่บอกครับ เรื่องนี้ แต่...คิดๆไปแล้ว ก็เลยอยากเขียนสักนิด
เรื่องอ้วนนี่น่ะ จริงๆ แล้ว มันเป็นเครื่องหมายแสดงว่าคุณเป็นผู้มีสายพันธ์ตกทอดจากบรรพบุรุษระดับเลิศเลยนะครับ คือ แต่ก่อน ย้อนๆๆๆ ไปนู่น พันปี หมื่นปี แสน สองสามแสนปี มนุษย์เราอยู่กันตามป่าเขา ล่าสัตว์ หาอาหารกินยาก ต้องต่อสู้ ต้องเดินทาง ต้องฝ่าฟันสารพัด บรรพบุรุษเรามีเป็นร้อยเป็นพันสายเผ่าพันธุ์ สายไหนที่ร่างกายมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น แข็งแรง ต้านทานโรคดี ดูดี หล่อ สวย มีสติปัญญา สะสมอาหารได้ดี ก็จะค่อยๆ ถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติ ให้เป็นสายพันธ์ที่อยู่รอด....มาจนปัจจุบัน (ไม่เชื่อดูหน้าตาคนรอบข้างเราทุกวันนี้สิครับ แล้วหาภาพคนสมัยโบราณมาเทียบดู จะเห็นว่า พวกเราหน้าตาดีกว่าเยอะ เรื่องนี้มีปัจจัยเกี่ยวเนื่องหลายปัจจัย หากใครสนใจจะอธิบายโดยละเอียดอีกทีครับ)
การสะสมอาหารได้ดี เป็นสิ่งที่สำคัญมากในยุคนั้น คนที่กินแล้วร่างกายสะสมได้ไม่ดี มีโอกาสตายมากกว่าคนที่กินแล้วสะสมได้ เมื่อต้องเดินทางไกล เมื่อเข้าหน้าแล้ง อาหารหายาก เมื่อต้องเจอภาวะวิกฤติ คนที่ร่างกายไม่สามารถสะสมอาหารได้จะหมดพลังงานตายไปก่อน เว้นเสียแต่ว่า จะมีทักษะที่จำเป็นอื่นๆ ดีเลิศ เช่น สวย ก็จะมีพวกที่แข็งแรงคอยดูแล หรือพวกที่มีสติปัญญา แม้ร่างกายอาจสะสมอาหารได้ไม่ดี แต่ก็จะมีพวกที่สะสมได้ช่วยแบ่งเบาภาระ เพราะต้องการเก็บคนเหล่านี้ไว้ เป็นองค์ประกอบในความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ตัวเอง เรื่องสังคมโบราณ กับการคัดเลือกเผ่าพันธุ์มาเป็นเราในปัจจุบันนี้ ขอข้ามละกันครับ เพราะต้องอธิบายกันยาว ถึงจะกระจ่าง ขอข้ามไปเรื่องที่จะพูดถึงเลย คือ ท่านที่อ้วน วันนี้ ก็เพราะ...
ท่านเป็นผู้สืบทอดสายเลือดของผู้ทรงพลังจากโบราณกาล ที่ต้องสะสมอาหารไว้ใช้ยามศึก ยามล่า ยามยาก ท่านคือผู้ข้ามกาลเวลามาเพื่อพิทักษ์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ จากภัยพิบัตินานาประการ .....
แต่ แป่ววว.. ปัจจุบัน โลกกลับไม่ได้ต้องการใช้ทักษะเหล่านั้นสักเท่าไร...
ท่านยังคงเอ็นจอยกับอาหาร (ได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ นี่เป็นคุณสมบัติพิเศษของเผ่าพันธุ์นี้) ถ้าท่านเครียด ท่านต้องกิน....
ท่านยังคงขี้เกียจ เพราะพวกท่านจะสะสมอาหารและกำลังไว้ใช้ยามที่ต้องการอัศวินเท่านั้น เช่น ต่อสู้ ล่าสัตว์ หรืองานใช้แรง ซึ่งสำคัญที่สุดแล้วกับความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในสมัยก่อน
ท่านคิดอะไรซับซ้อนแล้วปวดหัว เพราะเดิมทีพวกท่านไม่ได้มีหน้าที่คิด ...
ท่านนอนง่าย แต่ภายใต้เงื่อนไขบางประการ
แล้วรู้ไหมครับ ว่า คนประเภทนี้(ที่ปัจจุบันเป็นคนอ้วน) สมัยก่อนโน้น เขาเป็นยังไง?
เขากินจุ กินง่าย สะสมได้เป็นไขมันเร็ว เขาไม่เครียด จากเรื่องจุกจิก เพราะไม่มีใครกล้ากวนใจเขา ก็เป็นนักรบ นักล่า ใครจะกล้าตอแย ไม่คิดมาก เพราะไม่ใช่หน้าที่ เป็นหน้าที่พวกนักคิดโน่น บอกมาว่าจะให้ทำอะไร ถ้าต้องใช้แรง ทำได้ไม่มีปัญหา มีการออกกำลังกายต่อเนื่อง เพราะต้องเตรียมพร้อมสำหรับพิทักษ์เผ่าพันธุ์ ฝึกต่อสู้ ฝึกอาวุธ ฝึกล่า ก่อสร้าง เรื่องการขับถ่าย คนเหล่านี้จะ ขับถ่ายดี ขี้คล่อง กินปุ๊บ เดี๋ยวก็ไปขี้ และก็มากินใหม่.... และ... ที่สำคัญ ยามไม่มีศึก คนเหล่านี้ นอนง่าย หลับง่าย เอนหัวปุ๊บ ก็หลับปั๊บ คนเหล่านี้ตื่นง่าย แต่ไม่มีใครกล้าไปกวน ในยามสงบ เพราะพี่แก แรงเยอะ ขืนทำให้โมโหแบบไร้สาระ อาจตบบ้องหูเอาง่ายๆ
แล้ว ลองยกเอาคนคนนั้นมาไว้ในสมัยนี้ดูทีครับ
กินง่าย สะสมอาหารได้ดีเหมือนเดิม กล้ามเนื้อแข็งแรง แต่...แม่เจ้า วันๆ ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อเลย จะไปไหนก็ขับรถๆ นั่งรถ....อยู่ที่ทำงานก็นั่งหน้าคอม กลับบ้านก็นั่งหน้าทีวี...
เขารณรงค์ให้ออกกำลังกาย แหม มันน่าเบื่อนะ คนเหล่านี้ไม่ใช่ไม่ชอบออกกำลังกาย แต่เขาต้องการการบังคับ ชักจูง มีอะไรเร้าใจ เป็นตัวล่อ ถ้าไม่มี ยากสส์ โทษเขาไม่ได้ เพราะนี่เป็นความคุ้นเคยที่ กระทำต่อเนื่องจนเป็นสัญชาติญาณฝังอยู่ในดีเอ็นเอมานับแสนปี...
กินแล้วนอนง่าย ไอ้ที่กินไป มันจะไปไหน?? ก็สะสมๆๆๆ ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่ ไปรบ ไปล่า ทีนึง ที่กินๆ เข้าไปก็หายแว๊บ แล้วกลับมากิน มาสะสมใหม่ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มีที่ไปเอาออก มันก็เลยทะลัก เป็นไขมันจุกออก จุกเส้นเลือด จุกพุง จุกขา ส่วนในจิตใจ นิสัยที่ชอบความท้าทาย เร้าใจ ก็ไม่ได้ปลดปล่อย เพราะไม่มีสัตว์ให้ล่า ไม่มีศึกให้รบ ก็ต้องหาทางออกอื่นๆ เช่น กินเหล้า เที่ยว เล่นการพนัน เหล่สาว เพื่อปลดปล่อยความต้องการตามสัญชาติญาณกันต่อไป
เรื่องนอนก็โคตรสำคัญ คนสมัยก่อน ไร้ไฟฟ้า มีชีวิตตามพระอาทิตย์มานับหลายล้านปี ตีห้า หกโมง เช้า ตื่นๆ ทำนู่นนิด ทำนี่หน่อย ไม่ค่อยมีไรเครียด พอพระอาทิตย์ลับฟ้าก็เข้านอน นอนวันละ สิบชั่วโมง จนร่างกายคุ้นชิน ติดตั้งระบบฟื้นฟูร่างกายแบบสอดคล้องกับการใช้ชีวิตเรียบร้อย พอสองทุ่มซ่อมตรงนั้น สามทุ่มซ่อมตรงนี้ ตีสี่ซ่อมตรงโน้น พอตื่น ก็พร้อม ร่างกายฟื้นคืนสภาพอีกครา แต่คนสมัยนี้ มีไฟฟ้า มีทีวี มีผับ บาร์ มี.....สารพัด นอนห้าทุ่ม เที่ยงคืน ตื่นตีห้า เตรียมตัวไปทำงาน ส่งลูก รวมนอน 6-7 ชั่วโมง ที่พอแทนได้คือ สมัยนี้นอนหลับสนิทหน่อย เพราะมีแอร์ แต่สำหรับคนไม่มีแอร์ เหนื่อย แต่นอนน้อย ไม่ครบตามที่ร่างกายต้องการ สะสมไปๆๆ วันหนึ่ง ร่างกายไม่ไหว ก็เริ่มออกอาการ เป็นนู่น เป็นนี่ สารพัดโรค หนักๆ เข้า ก็นอนหลับไปแล้วไม่ฟื้นมาอีกเลย
เรื่องความเครียด ก็อีกเรื่อง สมัยก่อน ความเครียดนี่ มันมาเพราะเกิดศึก ล่าสัตว์ หรือถูกสัตว์ล่า เท่านั้น ขณะเครียด ร่างกายจะปรับระบบการเผาผลาญ หลั่งสารกระตุ้นประสาท พร้อมรับมือ เหตุการณ์แบบนั้น นานทีมีครั้ง แล้วใช้เวลาสามสี่วัน หรืออาทิตย์ ร่างกายก็ค่อยๆ กำจัดสารสร้างความเครียดออกไป แต่สมัยนี้ ความเครียดมันเจอกันได้ทุกวัน ร่างกายกำจัดไม่ไหว สะสมสารความเครียด ซึ่ง นี่ล่ะ ก็หนึ่งในสาเหตุของการเกิดมะเร็ง เมื่อก่อน พอเครียด ปุ๊บ ร่างกายรู้เลย ว่า ไปเจองานหนักมา ร่างกายก็สั่งให้สะสมอาหารเพิ่ม แต่เดี๋ยวนี้ เครียด นิ่งๆ อยู่ในห้อง ไม่ได้ออกแรง อาหารที่สะสมยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่ร่างกายใช้สัญชาติญาณเดิมในการจัดการ พอเครียด ปุ๊บ ก็กินปั๊บ สะสมๆๆๆ เข้าไป สุดท้าย เครียด บ่อยแค่ไหน ก็พอง ขึ้นแค่นั้น
เรื่องขับถ่าย คนสะสมอาหารเก่ง หรือเรียกให้เข้ากับยุคสมัยก็คือ อ้วนง่าย จะดูดซึมอาหารในลำไส้ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ทำให้ขี้แข็งเร็ว หากไม่ถ่ายตามเวลา คือภายใน24 ชั่วโมง ก็จะเริ่มเกิดภาวะขี้แข็ง อุดตูด เบ่งยากขึ้นมาทันที รวมถึงอาหารที่มีโอกาสหรือชอบกินก็เป็นพวกเนื้อ หรือรสชาติจัด ก็จะทำให้มีผลกระทบมากขึ้น ไปถึงระบบการกรองเลือด ชนิดจุลินทรีย์ในลำไส้....(อีกยาว...)
ทีนี้ก็พอรู้สาเหตุที่ท่านอ้วนง่ายกันแล้วใช่ไหมขอรับ???
ใครทู่ซี้อ่านมาจนถึงตอนนี้คงเริ่มโมโห พล่ามอยู่นั่นแหละ คำถามเจาะใจ แล้วเอ็งคิดว่าต้องทำไงถึงจะไม่อ้วนล่ะ หา???
ใจเย็นๆ ครับ ผมกำลังจะเรียนให้ท่านทราบอยู่พอดีขอรับ
คำถามนี้ก็มีคำตอบอยู่ในเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนั่นแหละครับ
ถ้าไม่อยากอ้วน ต้อง...
1. ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ เริ่มออกวันแรก วันที่สอง สามสี่ มันจะโคตรยากเลยครับ และอย่าหวังว่าน้ำหนักมันจะลดให้เห็น ต่อให้สองอาทิตย์ก็ยังหรอกครับ มีแต่จะเพิ่มๆๆ เพราะอะไร?? เพราะเพลีย แล้วเราก็กินเพิ่ม หลอกตัวเองว่าออกกำลังกายแล้ว หยวนๆ น่า...แล้วร่างกายเองก็เห็นว่ามีการใช้พลังงานออกไป ต้องสะสมเข้ามาไว้ เพื่อเตรียมออกกำลังครั้งต่อไป ลองมองร่างกายแบบเข้าใจมันสิครับ ว่ามันก็มีกลไกต่างๆ เพื่อปกป้องตัวมันเอง เพื่อความอยู่รอด มันทำโดยเราไม่ได้สั่ง ถ้าเราไม่เข้าใจมัน บริหารมันไม่เป็น ออกกำลังกายทีไร มีแต่อ้วนขึ้น ไม่ออกดีกว่า ... ก็จบปิ๊ง อีกประการหนึ่งคือ ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลย จู่ๆ มาออก กล้ามเนื้อในร่างกายยังไม่พร้อม การออกในวันแรก ทำได้ไม่เยอะหรอก แล้วกลับมาเจ็บไปหมด ทำให้ไม่อยากไปต่อ จริงๆ แล้ว วันแรก ให้ออกนิดเดียวพอครับ เอาบรรยากาศ เอาความคุ้นชิน วันแรกๆ นั้น มีไม่กี่แคลอรี่หรอก ที่ถูกเผาผลาญไป วันสองสามสี่ก็เช่นกัน มีผลต่อการลดน้ำหนักไม๊ แทบไม่มีเลย แต่.. เป็นการเตรียมกล้ามเนื้อ ให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกายที่หนักขึ้นต่างหาก และเป็นการฝึกให้ร่างกายเริ่มหลั่งสารเคมีที่ทำให้เราเสพติดการออกกำลังกายออกมา เพื่อเราจะได้ออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ใช้พลังงานมากกว่าหรือเท่ากับที่เรากินเข้าไป การออกกำลังกายที่ดี ต้องสนุก มีความสุข ไม่บาดเจ็บ และสะดวก ครับ อย่าไปคิดทำอะไรยาก ๆ ฝืนใจ ไปลำบาก เช่นชอบตีแบต แต่สนามแบตอยู่ห่างบ้านไปสิบโล ต้องนั่งสองแถวไป ไม่ไหวหรอกครับ อุปสรรคจากการเดินทาง จะทำให้ความขี้เกียจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่ไปเลย แล้วอย่าลืมดูวัยนะครับ ออกกำลังกายให้เหมาะกับวัย อีกเรื่องที่สำคัญ การวอร์มอัพ กับการวอร์มดาวน์ จำเป็นมากนะครับ สำหรับท่านที่มีโอกาสได้เดิน ได้วิ่ง ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวใช้แรงระหว่างวันในช่วงทำงาน อย่าพลาดโอกาสอันแสนประเสริฐนี้เด็ดขาด ถ้าท่านเลือกสบาย ด้วยการนั่งๆ นอนๆ เอนๆ ไม่กระฉับกระเฉง ต่อไปจะลำบาก อยากไปไหนก็ไม่คล่อง เพราะร่างกายมันติดขัด สนิมเกาะเคาะไม่ออก
2. ขี้ ต้องขี้ให้ได้เยอะๆ กินปุ๊บขี้ปั๊บยิ่งดี อาหารสมมุติว่าหนักหนึ่งโล เข้าลำไส้ไปปุ๊บ ปกติแล้วก็ดูดซึมได้20-30% ยิ่งอยู่นาน ก็ดูดซึมมาก อยู่สั้น ดูดซึมน้อย เราต้องหัดขี้ให้เก่ง เป็นสุดยอดนักขี้ ขี้วันละสามสี่รอบได้ยิ่งดี เฮ้ย จะบ้าเรอะ ใครจะทำได้ ??? ถ้าถามผมงี้ ผมจะบอกมานี่ ผมจะขี้ให้ดู ผมขี้วันละสามรอบครับ วันไหนน้อยๆ ก็สองรอบ รอบเดียวนี่ นานๆ ที ร่างกายเราฝึกหัดได้ครับ ฝึกตีกลอง สีซอ เตะกร้อ ร้องเพลง อ่านหนังสือยังทำได้ ฝึกขี้ นี่ง่ายกว่านั้นอีกครับ ผมฝึกยังไง?? เริ่มเลย คือ การออกกำลังกาย ที่ทำให้เกิดแรงกดไปช่องท้อง ต้องทำทุกวัน เพื่อทำให้ช่องท้อง ขนาดของลำไส้ คงที่ ไม่ขยายตามอาหารที่กินเข้าไป กล้ามเนื้อข้างในช่องท้องแข็งแรงพอที่จะบีบอาหารออก ฯลฯ สอง คือ อาหารที่กิน ผมเลือกกินข้าวกล้อง ไม่ต้องเคี้ยวมาก เอาพอแตกๆ กินผัก กินเนื้อ บ้าง ตามอยาก ไม่ซีเรียส เพราะมันออกเร็ว อีกอย่างอาหารพวกนี้ เข้าไปอยู่ในร่างกายผมแค่สิบชั่วโมงผมก็ขี้แล้ว กินให้อิ่มนิดนึง เพื่อให้เกิดแรงกดในช่องท้อง อ้อ สำคัญมาก ต้องกินอาหารตามเวลาทุกมื้อ ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงหลังอาหารอย่ากินน้ำเกินหนึ่งแก้ว เด็ดขาด ว่างๆ จะมาอธิบายให้ฟังครับ ว่าเพราะอะไร สาม เมื่อเจ็บ ต้องขี้ทันที เจ็บนิด ๆ ก็ต้องไปทันที ห้ามต่อรอง เรื่องขี้นะ สำคัญมาก อย่าประมาทมันเชียว ท้องผูก หรือเป็นริดสีดวงเมื่อไรจะเข้าใจ เมื่อคิดจะทำอย่างนี้ ต้องเป็นคนขี้ง่ายด้วย ไม่ใช่ประเภท ส้วมสกปรก บรรยากาศไม่ดี ขี้ไม่ออก อย่างนี้ ตูดตันตาย เรื่องนี้ ฝึกจากจิตครับ ก้าวข้ามอคติเสีย มองเห็นเป็นธรรมชาติเสีย ก็จะขี้ได้ง่ายขึ้น สำหรับสาวๆ หาซื้อแผ่นรองชักโครก จากน้องสาวผมไปใช้ก็ได้ครับ เรื่องเจ็บแล้วไม่ขี้นี่ อันตรายนะ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะมันจะทำให้ลำไส้โป่ง ออกเรื่อยๆ เพื่อรองรับขี้ที่ลำไส้เล็กดันมาค้างในลำไส้ใหญ่ (เราจะรู้สึกเจ็บขี้ เมื่อปริมาณขี้มากสะสมมากพอในลำไส้ใหญ่)สุดท้าย หากอั้นขี้บ่อยๆ ลำไส้ใหญ่จะมีปัญหาได้ พุงก็จะป่อง ทำไงก็ไม่ยุบ เห็นใคร โดยเฉพาะเด็กสาวๆ หุ่นดีๆ แต่พุงป่อง แล้วผมแอบสงสารทุกที แต่ไม่กล้าไปแนะนำเขา เดี๋ยวจะโดนไม้กระบองโป๊ะเข้าให้ที่ศีรษะล้านๆของผม สี่ ถ้าขี้ไม่ออก หัดนวดท้องตัวเองให้เป็นครับ ไปหาภาพพวกพวงไส้เรามาดู จะเห็นว่า มีจุดที่ลำไส้ใหญ่ตั้งอยู่ หลังกระเพาะปัสสาวะ ถ้าจะนวดตอนนั่งขี้ ให้ฉี่ให้หมด แล้วกดนุ่มๆ วนๆ เบาๆ เดี๋ยวก็มาครับ ยังมีอีกห้าหกข้อครับ สำหรับเรื่องนี้ หากมีคนสนใจ ว่าง ๆ จะมาเขียนเพิ่มครับ สรุป มาหัดขี้ให้เก่งๆ กันนะครับ
อีกมุมมองป้องกันอ้วนนนนน
ไปไหนมาไหนเจอเพื่อนเก่าๆ หลายคนก็บ่นว่าอ้วนเว้ย ไม่ไหว ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย พออ้วน อะไรๆ ก็ไม่ดีไปหมด แต่ประสาพวกเราเหล่าผู้ชาย เรื่องที่กังวลอันดับต้นๆ ไม่ต้องบอกก็พอรู้อยู่ เจอเพื่อนทีไร ก็โดนลูบพุง เฮ้ย เอ็งยังไม่อ้วนนี่หว่า แสดงว่ายังงี้....ยังดีอยู่ซิ หึหึหึ เขิล ไม่บอกครับ เรื่องนี้ แต่...คิดๆไปแล้ว ก็เลยอยากเขียนสักนิด
เรื่องอ้วนนี่น่ะ จริงๆ แล้ว มันเป็นเครื่องหมายแสดงว่าคุณเป็นผู้มีสายพันธ์ตกทอดจากบรรพบุรุษระดับเลิศเลยนะครับ คือ แต่ก่อน ย้อนๆๆๆ ไปนู่น พันปี หมื่นปี แสน สองสามแสนปี มนุษย์เราอยู่กันตามป่าเขา ล่าสัตว์ หาอาหารกินยาก ต้องต่อสู้ ต้องเดินทาง ต้องฝ่าฟันสารพัด บรรพบุรุษเรามีเป็นร้อยเป็นพันสายเผ่าพันธุ์ สายไหนที่ร่างกายมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น แข็งแรง ต้านทานโรคดี ดูดี หล่อ สวย มีสติปัญญา สะสมอาหารได้ดี ก็จะค่อยๆ ถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติ ให้เป็นสายพันธ์ที่อยู่รอด....มาจนปัจจุบัน (ไม่เชื่อดูหน้าตาคนรอบข้างเราทุกวันนี้สิครับ แล้วหาภาพคนสมัยโบราณมาเทียบดู จะเห็นว่า พวกเราหน้าตาดีกว่าเยอะ เรื่องนี้มีปัจจัยเกี่ยวเนื่องหลายปัจจัย หากใครสนใจจะอธิบายโดยละเอียดอีกทีครับ)
การสะสมอาหารได้ดี เป็นสิ่งที่สำคัญมากในยุคนั้น คนที่กินแล้วร่างกายสะสมได้ไม่ดี มีโอกาสตายมากกว่าคนที่กินแล้วสะสมได้ เมื่อต้องเดินทางไกล เมื่อเข้าหน้าแล้ง อาหารหายาก เมื่อต้องเจอภาวะวิกฤติ คนที่ร่างกายไม่สามารถสะสมอาหารได้จะหมดพลังงานตายไปก่อน เว้นเสียแต่ว่า จะมีทักษะที่จำเป็นอื่นๆ ดีเลิศ เช่น สวย ก็จะมีพวกที่แข็งแรงคอยดูแล หรือพวกที่มีสติปัญญา แม้ร่างกายอาจสะสมอาหารได้ไม่ดี แต่ก็จะมีพวกที่สะสมได้ช่วยแบ่งเบาภาระ เพราะต้องการเก็บคนเหล่านี้ไว้ เป็นองค์ประกอบในความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ตัวเอง เรื่องสังคมโบราณ กับการคัดเลือกเผ่าพันธุ์มาเป็นเราในปัจจุบันนี้ ขอข้ามละกันครับ เพราะต้องอธิบายกันยาว ถึงจะกระจ่าง ขอข้ามไปเรื่องที่จะพูดถึงเลย คือ ท่านที่อ้วน วันนี้ ก็เพราะ...
ท่านเป็นผู้สืบทอดสายเลือดของผู้ทรงพลังจากโบราณกาล ที่ต้องสะสมอาหารไว้ใช้ยามศึก ยามล่า ยามยาก ท่านคือผู้ข้ามกาลเวลามาเพื่อพิทักษ์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ จากภัยพิบัตินานาประการ .....
แต่ แป่ววว.. ปัจจุบัน โลกกลับไม่ได้ต้องการใช้ทักษะเหล่านั้นสักเท่าไร...
ท่านยังคงเอ็นจอยกับอาหาร (ได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ นี่เป็นคุณสมบัติพิเศษของเผ่าพันธุ์นี้) ถ้าท่านเครียด ท่านต้องกิน....
ท่านยังคงขี้เกียจ เพราะพวกท่านจะสะสมอาหารและกำลังไว้ใช้ยามที่ต้องการอัศวินเท่านั้น เช่น ต่อสู้ ล่าสัตว์ หรืองานใช้แรง ซึ่งสำคัญที่สุดแล้วกับความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในสมัยก่อน
ท่านคิดอะไรซับซ้อนแล้วปวดหัว เพราะเดิมทีพวกท่านไม่ได้มีหน้าที่คิด ...
ท่านนอนง่าย แต่ภายใต้เงื่อนไขบางประการ
แล้วรู้ไหมครับ ว่า คนประเภทนี้(ที่ปัจจุบันเป็นคนอ้วน) สมัยก่อนโน้น เขาเป็นยังไง?
เขากินจุ กินง่าย สะสมได้เป็นไขมันเร็ว เขาไม่เครียด จากเรื่องจุกจิก เพราะไม่มีใครกล้ากวนใจเขา ก็เป็นนักรบ นักล่า ใครจะกล้าตอแย ไม่คิดมาก เพราะไม่ใช่หน้าที่ เป็นหน้าที่พวกนักคิดโน่น บอกมาว่าจะให้ทำอะไร ถ้าต้องใช้แรง ทำได้ไม่มีปัญหา มีการออกกำลังกายต่อเนื่อง เพราะต้องเตรียมพร้อมสำหรับพิทักษ์เผ่าพันธุ์ ฝึกต่อสู้ ฝึกอาวุธ ฝึกล่า ก่อสร้าง เรื่องการขับถ่าย คนเหล่านี้จะ ขับถ่ายดี ขี้คล่อง กินปุ๊บ เดี๋ยวก็ไปขี้ และก็มากินใหม่.... และ... ที่สำคัญ ยามไม่มีศึก คนเหล่านี้ นอนง่าย หลับง่าย เอนหัวปุ๊บ ก็หลับปั๊บ คนเหล่านี้ตื่นง่าย แต่ไม่มีใครกล้าไปกวน ในยามสงบ เพราะพี่แก แรงเยอะ ขืนทำให้โมโหแบบไร้สาระ อาจตบบ้องหูเอาง่ายๆ
แล้ว ลองยกเอาคนคนนั้นมาไว้ในสมัยนี้ดูทีครับ
กินง่าย สะสมอาหารได้ดีเหมือนเดิม กล้ามเนื้อแข็งแรง แต่...แม่เจ้า วันๆ ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อเลย จะไปไหนก็ขับรถๆ นั่งรถ....อยู่ที่ทำงานก็นั่งหน้าคอม กลับบ้านก็นั่งหน้าทีวี...
เขารณรงค์ให้ออกกำลังกาย แหม มันน่าเบื่อนะ คนเหล่านี้ไม่ใช่ไม่ชอบออกกำลังกาย แต่เขาต้องการการบังคับ ชักจูง มีอะไรเร้าใจ เป็นตัวล่อ ถ้าไม่มี ยากสส์ โทษเขาไม่ได้ เพราะนี่เป็นความคุ้นเคยที่ กระทำต่อเนื่องจนเป็นสัญชาติญาณฝังอยู่ในดีเอ็นเอมานับแสนปี...
กินแล้วนอนง่าย ไอ้ที่กินไป มันจะไปไหน?? ก็สะสมๆๆๆ ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่ ไปรบ ไปล่า ทีนึง ที่กินๆ เข้าไปก็หายแว๊บ แล้วกลับมากิน มาสะสมใหม่ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มีที่ไปเอาออก มันก็เลยทะลัก เป็นไขมันจุกออก จุกเส้นเลือด จุกพุง จุกขา ส่วนในจิตใจ นิสัยที่ชอบความท้าทาย เร้าใจ ก็ไม่ได้ปลดปล่อย เพราะไม่มีสัตว์ให้ล่า ไม่มีศึกให้รบ ก็ต้องหาทางออกอื่นๆ เช่น กินเหล้า เที่ยว เล่นการพนัน เหล่สาว เพื่อปลดปล่อยความต้องการตามสัญชาติญาณกันต่อไป
เรื่องนอนก็โคตรสำคัญ คนสมัยก่อน ไร้ไฟฟ้า มีชีวิตตามพระอาทิตย์มานับหลายล้านปี ตีห้า หกโมง เช้า ตื่นๆ ทำนู่นนิด ทำนี่หน่อย ไม่ค่อยมีไรเครียด พอพระอาทิตย์ลับฟ้าก็เข้านอน นอนวันละ สิบชั่วโมง จนร่างกายคุ้นชิน ติดตั้งระบบฟื้นฟูร่างกายแบบสอดคล้องกับการใช้ชีวิตเรียบร้อย พอสองทุ่มซ่อมตรงนั้น สามทุ่มซ่อมตรงนี้ ตีสี่ซ่อมตรงโน้น พอตื่น ก็พร้อม ร่างกายฟื้นคืนสภาพอีกครา แต่คนสมัยนี้ มีไฟฟ้า มีทีวี มีผับ บาร์ มี.....สารพัด นอนห้าทุ่ม เที่ยงคืน ตื่นตีห้า เตรียมตัวไปทำงาน ส่งลูก รวมนอน 6-7 ชั่วโมง ที่พอแทนได้คือ สมัยนี้นอนหลับสนิทหน่อย เพราะมีแอร์ แต่สำหรับคนไม่มีแอร์ เหนื่อย แต่นอนน้อย ไม่ครบตามที่ร่างกายต้องการ สะสมไปๆๆ วันหนึ่ง ร่างกายไม่ไหว ก็เริ่มออกอาการ เป็นนู่น เป็นนี่ สารพัดโรค หนักๆ เข้า ก็นอนหลับไปแล้วไม่ฟื้นมาอีกเลย
เรื่องความเครียด ก็อีกเรื่อง สมัยก่อน ความเครียดนี่ มันมาเพราะเกิดศึก ล่าสัตว์ หรือถูกสัตว์ล่า เท่านั้น ขณะเครียด ร่างกายจะปรับระบบการเผาผลาญ หลั่งสารกระตุ้นประสาท พร้อมรับมือ เหตุการณ์แบบนั้น นานทีมีครั้ง แล้วใช้เวลาสามสี่วัน หรืออาทิตย์ ร่างกายก็ค่อยๆ กำจัดสารสร้างความเครียดออกไป แต่สมัยนี้ ความเครียดมันเจอกันได้ทุกวัน ร่างกายกำจัดไม่ไหว สะสมสารความเครียด ซึ่ง นี่ล่ะ ก็หนึ่งในสาเหตุของการเกิดมะเร็ง เมื่อก่อน พอเครียด ปุ๊บ ร่างกายรู้เลย ว่า ไปเจองานหนักมา ร่างกายก็สั่งให้สะสมอาหารเพิ่ม แต่เดี๋ยวนี้ เครียด นิ่งๆ อยู่ในห้อง ไม่ได้ออกแรง อาหารที่สะสมยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่ร่างกายใช้สัญชาติญาณเดิมในการจัดการ พอเครียด ปุ๊บ ก็กินปั๊บ สะสมๆๆๆ เข้าไป สุดท้าย เครียด บ่อยแค่ไหน ก็พอง ขึ้นแค่นั้น
เรื่องขับถ่าย คนสะสมอาหารเก่ง หรือเรียกให้เข้ากับยุคสมัยก็คือ อ้วนง่าย จะดูดซึมอาหารในลำไส้ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ทำให้ขี้แข็งเร็ว หากไม่ถ่ายตามเวลา คือภายใน24 ชั่วโมง ก็จะเริ่มเกิดภาวะขี้แข็ง อุดตูด เบ่งยากขึ้นมาทันที รวมถึงอาหารที่มีโอกาสหรือชอบกินก็เป็นพวกเนื้อ หรือรสชาติจัด ก็จะทำให้มีผลกระทบมากขึ้น ไปถึงระบบการกรองเลือด ชนิดจุลินทรีย์ในลำไส้....(อีกยาว...)
ทีนี้ก็พอรู้สาเหตุที่ท่านอ้วนง่ายกันแล้วใช่ไหมขอรับ???
ใครทู่ซี้อ่านมาจนถึงตอนนี้คงเริ่มโมโห พล่ามอยู่นั่นแหละ คำถามเจาะใจ แล้วเอ็งคิดว่าต้องทำไงถึงจะไม่อ้วนล่ะ หา???
ใจเย็นๆ ครับ ผมกำลังจะเรียนให้ท่านทราบอยู่พอดีขอรับ
คำถามนี้ก็มีคำตอบอยู่ในเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนั่นแหละครับ
ถ้าไม่อยากอ้วน ต้อง...
1. ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ เริ่มออกวันแรก วันที่สอง สามสี่ มันจะโคตรยากเลยครับ และอย่าหวังว่าน้ำหนักมันจะลดให้เห็น ต่อให้สองอาทิตย์ก็ยังหรอกครับ มีแต่จะเพิ่มๆๆ เพราะอะไร?? เพราะเพลีย แล้วเราก็กินเพิ่ม หลอกตัวเองว่าออกกำลังกายแล้ว หยวนๆ น่า...แล้วร่างกายเองก็เห็นว่ามีการใช้พลังงานออกไป ต้องสะสมเข้ามาไว้ เพื่อเตรียมออกกำลังครั้งต่อไป ลองมองร่างกายแบบเข้าใจมันสิครับ ว่ามันก็มีกลไกต่างๆ เพื่อปกป้องตัวมันเอง เพื่อความอยู่รอด มันทำโดยเราไม่ได้สั่ง ถ้าเราไม่เข้าใจมัน บริหารมันไม่เป็น ออกกำลังกายทีไร มีแต่อ้วนขึ้น ไม่ออกดีกว่า ... ก็จบปิ๊ง อีกประการหนึ่งคือ ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลย จู่ๆ มาออก กล้ามเนื้อในร่างกายยังไม่พร้อม การออกในวันแรก ทำได้ไม่เยอะหรอก แล้วกลับมาเจ็บไปหมด ทำให้ไม่อยากไปต่อ จริงๆ แล้ว วันแรก ให้ออกนิดเดียวพอครับ เอาบรรยากาศ เอาความคุ้นชิน วันแรกๆ นั้น มีไม่กี่แคลอรี่หรอก ที่ถูกเผาผลาญไป วันสองสามสี่ก็เช่นกัน มีผลต่อการลดน้ำหนักไม๊ แทบไม่มีเลย แต่.. เป็นการเตรียมกล้ามเนื้อ ให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกายที่หนักขึ้นต่างหาก และเป็นการฝึกให้ร่างกายเริ่มหลั่งสารเคมีที่ทำให้เราเสพติดการออกกำลังกายออกมา เพื่อเราจะได้ออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ใช้พลังงานมากกว่าหรือเท่ากับที่เรากินเข้าไป การออกกำลังกายที่ดี ต้องสนุก มีความสุข ไม่บาดเจ็บ และสะดวก ครับ อย่าไปคิดทำอะไรยาก ๆ ฝืนใจ ไปลำบาก เช่นชอบตีแบต แต่สนามแบตอยู่ห่างบ้านไปสิบโล ต้องนั่งสองแถวไป ไม่ไหวหรอกครับ อุปสรรคจากการเดินทาง จะทำให้ความขี้เกียจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่ไปเลย แล้วอย่าลืมดูวัยนะครับ ออกกำลังกายให้เหมาะกับวัย อีกเรื่องที่สำคัญ การวอร์มอัพ กับการวอร์มดาวน์ จำเป็นมากนะครับ สำหรับท่านที่มีโอกาสได้เดิน ได้วิ่ง ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวใช้แรงระหว่างวันในช่วงทำงาน อย่าพลาดโอกาสอันแสนประเสริฐนี้เด็ดขาด ถ้าท่านเลือกสบาย ด้วยการนั่งๆ นอนๆ เอนๆ ไม่กระฉับกระเฉง ต่อไปจะลำบาก อยากไปไหนก็ไม่คล่อง เพราะร่างกายมันติดขัด สนิมเกาะเคาะไม่ออก
2. ขี้ ต้องขี้ให้ได้เยอะๆ กินปุ๊บขี้ปั๊บยิ่งดี อาหารสมมุติว่าหนักหนึ่งโล เข้าลำไส้ไปปุ๊บ ปกติแล้วก็ดูดซึมได้20-30% ยิ่งอยู่นาน ก็ดูดซึมมาก อยู่สั้น ดูดซึมน้อย เราต้องหัดขี้ให้เก่ง เป็นสุดยอดนักขี้ ขี้วันละสามสี่รอบได้ยิ่งดี เฮ้ย จะบ้าเรอะ ใครจะทำได้ ??? ถ้าถามผมงี้ ผมจะบอกมานี่ ผมจะขี้ให้ดู ผมขี้วันละสามรอบครับ วันไหนน้อยๆ ก็สองรอบ รอบเดียวนี่ นานๆ ที ร่างกายเราฝึกหัดได้ครับ ฝึกตีกลอง สีซอ เตะกร้อ ร้องเพลง อ่านหนังสือยังทำได้ ฝึกขี้ นี่ง่ายกว่านั้นอีกครับ ผมฝึกยังไง?? เริ่มเลย คือ การออกกำลังกาย ที่ทำให้เกิดแรงกดไปช่องท้อง ต้องทำทุกวัน เพื่อทำให้ช่องท้อง ขนาดของลำไส้ คงที่ ไม่ขยายตามอาหารที่กินเข้าไป กล้ามเนื้อข้างในช่องท้องแข็งแรงพอที่จะบีบอาหารออก ฯลฯ สอง คือ อาหารที่กิน ผมเลือกกินข้าวกล้อง ไม่ต้องเคี้ยวมาก เอาพอแตกๆ กินผัก กินเนื้อ บ้าง ตามอยาก ไม่ซีเรียส เพราะมันออกเร็ว อีกอย่างอาหารพวกนี้ เข้าไปอยู่ในร่างกายผมแค่สิบชั่วโมงผมก็ขี้แล้ว กินให้อิ่มนิดนึง เพื่อให้เกิดแรงกดในช่องท้อง อ้อ สำคัญมาก ต้องกินอาหารตามเวลาทุกมื้อ ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงหลังอาหารอย่ากินน้ำเกินหนึ่งแก้ว เด็ดขาด ว่างๆ จะมาอธิบายให้ฟังครับ ว่าเพราะอะไร สาม เมื่อเจ็บ ต้องขี้ทันที เจ็บนิด ๆ ก็ต้องไปทันที ห้ามต่อรอง เรื่องขี้นะ สำคัญมาก อย่าประมาทมันเชียว ท้องผูก หรือเป็นริดสีดวงเมื่อไรจะเข้าใจ เมื่อคิดจะทำอย่างนี้ ต้องเป็นคนขี้ง่ายด้วย ไม่ใช่ประเภท ส้วมสกปรก บรรยากาศไม่ดี ขี้ไม่ออก อย่างนี้ ตูดตันตาย เรื่องนี้ ฝึกจากจิตครับ ก้าวข้ามอคติเสีย มองเห็นเป็นธรรมชาติเสีย ก็จะขี้ได้ง่ายขึ้น สำหรับสาวๆ หาซื้อแผ่นรองชักโครก จากน้องสาวผมไปใช้ก็ได้ครับ เรื่องเจ็บแล้วไม่ขี้นี่ อันตรายนะ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะมันจะทำให้ลำไส้โป่ง ออกเรื่อยๆ เพื่อรองรับขี้ที่ลำไส้เล็กดันมาค้างในลำไส้ใหญ่ (เราจะรู้สึกเจ็บขี้ เมื่อปริมาณขี้มากสะสมมากพอในลำไส้ใหญ่)สุดท้าย หากอั้นขี้บ่อยๆ ลำไส้ใหญ่จะมีปัญหาได้ พุงก็จะป่อง ทำไงก็ไม่ยุบ เห็นใคร โดยเฉพาะเด็กสาวๆ หุ่นดีๆ แต่พุงป่อง แล้วผมแอบสงสารทุกที แต่ไม่กล้าไปแนะนำเขา เดี๋ยวจะโดนไม้กระบองโป๊ะเข้าให้ที่ศีรษะล้านๆของผม สี่ ถ้าขี้ไม่ออก หัดนวดท้องตัวเองให้เป็นครับ ไปหาภาพพวกพวงไส้เรามาดู จะเห็นว่า มีจุดที่ลำไส้ใหญ่ตั้งอยู่ หลังกระเพาะปัสสาวะ ถ้าจะนวดตอนนั่งขี้ ให้ฉี่ให้หมด แล้วกดนุ่มๆ วนๆ เบาๆ เดี๋ยวก็มาครับ ยังมีอีกห้าหกข้อครับ สำหรับเรื่องนี้ หากมีคนสนใจ ว่าง ๆ จะมาเขียนเพิ่มครับ สรุป มาหัดขี้ให้เก่งๆ กันนะครับ