สาธารณรัฐกล้วยหอม กับรถไฟความเร็วสูงแบบไทยๆ

http://www.kaohoon.com/online/105176/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2.htm;jsessionid=BE28A68BC3DB0F6C290BA9E6333D48B3.prodA

สาธารณรัฐกล้วยหอม
(ไทย)

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา 08:57:56 น.

วันอังคารที่จะถึงนี้ กระทรวงคมนาคมจะเสนอกรอบโครงการร่วมลงทุนรถไฟทางคู่ความเร็ว 160 กม./ชม. สายหนองคาย-มาบตาพุด กับทางการจีน มูลค่าการลงทุน 4 แสนล้านบาท



งานนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเปรยกับ ครม.ไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาครั้งหนึ่ง หลังจากพบผู้นำจีนในการประชุมเอเปกที่ออสเตรเลีย แต่ไม่มีรายละเอียด และเป็นแค่คำปรารภเท่านั้น

คำถามก็คือ แนวทางการลงทุนดังกล่าวระบุว่า ครม. จะพิจารณาข้อเสนอของจีนที่มีทั้งหมด 3 ทางเลือก ซึ่งแต่ละทางเลือกล้วนสะท้อนคำถามว่า รัฐบาลชุดนี้ ใส่ใจกับผลประโยชน์เฉพาะหน้าหรือระยะยาวของประเทศ

แม้จะมีรายละเอียดไม่มาก แต่หากพิจารณาปูมหลัง จะเห็นได้ว่า ใกล้เคียงข้อเสนอเดิมของจีนเมื่อหลายปีก่อน

หากไม่ผิดพลาด มติครม.ที่จะมีขึ้น มาจากการที่ในเดือนกันยายน (ตอนที่ตั้งรัฐบาลนี้ใหม่ๆ) ทางการจีนได้ส่งตัวแทนคือ อุปทูตประเทศจีน เข้าทวงถามในเรื่องดังกล่าว จาก นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เพื่อหารือถึงแผนการลงทุนยุทธศาสตร์พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีแผนจะลงทุน 8 ปี (2558-2565) โดยจีนมายืนยันการลงทุนที่จีนสนใจทั้งหมด ตามที่จีนเคยมีทำเอ็มโอยู กับรัฐบาลไทยเมื่อปี 2553

โครงการที่ว่าคือ โครงการรถไฟทางคู่ 1 เมตร จำนวน 6 สาย เงินลงทุน 127,472 ล้านบาท และรถไฟทางคู่มาตรฐานราง 1.435 เมตร ความเร็ว 160 กม./ชม. 2 สายทาง เงินลงทุน 741,460 ล้านบาท

หนึ่งในสองสายทางของรถไฟทางคู่ นั้นคือ สายหนองคาย-โคราช-สระบุรี-แหลมฉบัง-มาบตาพุด ระยะทาง 737 กม. ลงทุน 392,570 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียดตรงกับโครงการที่ ครม.จะพิจารณาวันอังคารที่จะถึง

คำถามคือ ทางเลือกนี้ จะเป็นผลดีกับไทยมากน้อยแค่ไหนในอนาคต เพราะหากพิจารณาเงื่อนไขที่จีนเคยเสนอมานับแต่ปี 2553 พบว่า จีนได้ประโยชน์มากกว่าไทยอย่างแน่นอน และหมกเม็ดเงื่อนไขการทำข้อตกลงที่หลายซับหลายซ้อน

หากย้อนกลับไปดูการเจรจาในปี 2553 จะพบว่าคณะกรรมการความร่วมมือ ไทย-จีน ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นประธาน ได้ตั้ง
คณะทำงานร่วม ที่กำหนดกรอบเอาไว้หลายประการคือ

1.ตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่าง ไทย-จีน ขึ้นเพื่อดำเนินการโครงการนี้  เป็นการร่วมมืออย่างถาวร  ไทยต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่  ตอนนั้นเสนอไว้ที่ 60/40 ( ต่อมามีการเจรจากลายเป็น 51/49 )

2.บริษัทนี้จะเป็นผู้ดำเนินโครงการทั้งหมด ทุนจดทะเบียนต้องเพียงพอที่จะสามารถขอเงินกู้ได้ การกู้เงินและใช้หนี้เป็นภาระของบริษัทร่วมทุน  รัฐบาลไทยไม่ต้องแบกภาระเงินกู้

3.บริษัทร่วมทุนนี้ต้องมีสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ  ได้สัญญาสัมปทาน เช่าเส้นทาง (คู่ขนานกับเส้นเดิมของรถไฟไทย) และการดำเนินกิจการรถไฟกับการถไฟแห่งประเทศไทย

4.ระบบของการเดินรถ จะเป็นเทคนิคของจีนทั้งหมด  เพราะเป้าหมายคืออนุญาตให้รถไฟจีนขนนักท่องเที่ยวจากคุนหมิงมาไทย ผ่านไปมาเลเซีย โดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวน

5.ในเบื้องต้น คาดว่าจะใช้เงิน 180,000 ล้านบาทสำหรับเส้นทางหนองคาย-กทม.  ทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 9 หมื่นล้านบาท  รัฐบาลไทยควักกระเป๋า 51% ของ 90,000 ล้านบาท  ประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท  ใช้เงินงบประมาณปีละ 1-2 หมื่นล้านบาท

6.ความเร็วของรถไฟ ถูกออกแบบให้เร็ว 160 กม.ต่อชม.  สำหรับรถโดยสาร  และ ประมาณ  80-100 กม.ต่อชม. สำหรับขนส่งสินค้า ไม่ใช่ระบบหัวจรวดความเร็วสูง

ผลการหารือปี 2553 นั้น มีเหตุหยุดชะงักลงจนรับบาลยุบสภา ด้วย 2 สาเหตุ คือ  1) จีนสนใจเฉพาะเส้นทางหนองคาย-มาบตาพุดเท่านั้น แต่ไทยต้องการทำระบบรางทั้งประเทศ 2)  ฝ่ายจีนเสนอเงื่อนไขเงินกู้อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ไทยต้องการต่ำกว่าร้อยละ 2% เพราะไม่ใช่โครงการที่ทำกำไร

โครงการดังกล่าว ตกมาถึงมือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  รมว.คมนาคม ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโครงการเป็นรถไฟความเร็วสูงแทน ด้วยเหตุผลว่า หากความเร็ว 160 กม./ชม.จะไม่เหมาะใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร เพราะจะแข่งขันสู้สายการบินลำบาก หากจะขนคนโดยสารต้องวิ่งด้วยความเร็ว 200 กม./ชม.ขึ้นไปเพื่อให้เวลาเดินทางสั้นลง แต่หากใช้ความเร็วต่ำ จะต้องขนสินค้าอย่างเดียว จะทำให้ไทยเสียเปรียบเพราะจะเป็นแค่ทางผ่าน (ทรานสิท) ไม่มีรายได้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าระวางสินค้า เนื่องจากสินค้าจะไม่เข้ามายังประเทศไทยจะไปยังประเทศลาวหรือจีน และท่าเรือเพื่อส่งออกไปประเทศอื่นมากกว่า

วันอังคารที่จะถึงนี้ คนไทยจะเห็นกันว่า คสช. และ กระทรวงคมนาคมของรัฐบาลประยุทธ์ จะปัดฝุ่นใช้พิมพ์เขียวของจีนสมัยปี 2553 ที่ค้างเติ่งอย่างเต็มรูปแบบ (โดยจีนถือหุ้นใหญ่ในบริษัทร่วมทุน) ท่ามกลางคำถามชวนสงสัยว่า มันดีอย่างไรกับประเทศไทย มากน้อยแค่ไหน

หากเป็นไปตามที่ว่ามา ประเทศไทยก็เตรียมตัวเป็นสาธารณรัฐกล้วยหอมแบบฮอนดูรัสได้ล่วงหน้านับแต่วันอังคารนี้เป็นต้นไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่