ดูอย่าง การร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 22 ที่กรุงปักกิ่ง นอกจากผู้นำไทยจะมีโอกาสชี้แจง
ถึงสถานการณ์ภายในประเทศแล้ว
ถูก เยาะเย้ยถากถางจากเครือข่าย ’อำนาจเก่า“ เป็นประจำ ทำนองว่า มาจากรัฐประหาร ไม่ได้มาจาก
การเลือกตั้ง แต่น่าแปลก เวลา “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช. เดินทาง
ไปปฏิบัติภารกิจยังต่างแดน มักมีข่าวดีมาฝากคนไทยเป็นประจำ
ดูอย่าง การร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 22 ที่กรุงปักกิ่ง นอกจากผู้นำไทยจะมีโอกาส
ชี้แจงถึงสถานการณ์ภายในประเทศแล้ว แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น การหารือระดับ
ทวิภาคี กับ “นายหลี่ เค่อเฉียง” นายกรัฐมนตรีจีน และ “นายสี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน
บทสรุปคือทั้งสองประเทศ จะร่วมมือกันใน 1 เรื่องการทำทางรถไฟ ขนาด 1.435 เมตร โดยทำใน
รูปแบบ “รัฐต่อรัฐ” ประกอบด้วย เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย กรุงเทพฯ-มาบตาพุด และ แยกที่
แก่งคอย จ.สระบุรี
“บิ๊กตู่” ยืนยันว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้ผ่านบริษัทใด ไม่มีผลประโยชน์ให้ใคร มีแต่ผลประโยชน์
ให้ประเทศ ขอให้เชื่อมั่น ไม่ได้มีการเจรจาส่วนตัวเลย เวลาพูดคุยเป็นการคุยเต็มคณะทั้งหมด
ถ้าไม่ทำวันนี้จะไม่ทันการณ์ และราคาจะแพงขึ้น และบอกจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย
ออกมาพูดอย่างนี้ อาจเป็นเพราะรู้ว่ารัฐบาลในอดีต นอกจากจะมีปัญหา เรื่องตั้งตัวเลขงบประมาณ
ของโครงการต่าง ๆ แล้ว นักการเมืองบางคนยังแอบมอบหมาย “นอมินี” ให้ไปตั้งบริษัท ไว้คอยรับ
งานเป็นที่ปรึกษาโครงการ ซึ่งภาษานักก่อสร้างเรียกกันติดปากว่า “คอนซัลแตนท์” เช่น โครงการ
ก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน ซึ่งรัฐบาล “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” พยายามผลักดัน โดยตั้งงบประมาณ
ให้ที่ปรึกษาโครงการไว้ 6 หมื่นล้านบาท จากงบก่อสร้างทั้งหมด 2.2 ล้านล้านบาท
เลยไม่ใช่เรื่องแปลก หลังจาก รัฐบาลชุดที่ผ่านมาหมดอำนาจลง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม มีการพูด
แซวกันในมวลหมู่นักเลือกตั้งว่า ’เค้กชิ้นใหญ่“ หลุดออกจากปากใครบางคน
คิดดูซิครับ...แค่งานพีอาร์ ยังผลาญเงินไปกว่า 240 ล้านบาท มาถึงวันนี้ยังไม่รู้เลยว่า ใครจะต้อง
รับผิดชอบ แถมวิธีการว่าก็ใช้วิธีการพิเศษ นำไปแจกจ่ายให้สื่อในเครือข่าย จนกลายเป็นเมืองขึ้น
มาถึงทุกวันนี้
กรณีการก่อสร้าง “รถไฟรางคู่” ซึ่งพูดกันมานานแล้ว และอนาคตคงมีอีกหลายเส้นทาง โดยเฉพาะ
รูปแบบความเร็วปานกลาง ซึ่งอยู่ที่ไทย จะแบ่งปันโครงการต่าง ๆ ให้ชาติไหน โดย ทั้งสองฝ่ายต้อง
ได้ประโยชน์ อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ระบบวัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง
เข้าใจว่าการผลักดันโครงการต่าง ๆ คงเป็นไปตามที่ “พล.อ. ประจิน จั่นตอง” รมว.คมนาคม เคยเปิดเผย
ถึง ยุทธศาสตร์การลงทุนของกระทรวง 8 ปี ตั้งแต่ปี 2558-2565 ใช้เงินลงทุนกว่า 3 ล้านล้านบาท
โดยเฉพาะด้านการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมนั้น มุ่งเร่งรัดให้เกิดการลงทุนทุกระบบขนส่ง
เช่น โครงการรถไฟทางคู่ทั้งโครงการราง 1 เมตร และ 1.435 เมตร ภายในปี 2559, รถไฟทางคู่จะมี
เพิ่มขึ้นอีก 900 กม. เพื่อเพิ่มสัดส่วนรถไฟทางคู่ของไทยเพิ่มขึ้นเป็น 22.3 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่ม
ประสิทธิภาพการขนส่ง
รวมทั้งเร่งรัดทั้ง โครงการรถไฟฟ้าเพื่อแก้ปัญหาการจราจรภายในเมือง, การพัฒนาทางหลวงและ
มอเตอร์เวย์, การพัฒนาท่าเรือแห่งใหม่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 และท่าอากาศยานดอนเมือง
ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ในยุทธศาสตร์ 8 ปีที่กระทรวงคมนาคมดำเนินการ ซึ่งเชื่อว่า “พล.อ.ประยุทธ์” คงจะ
เปิดประมูล และเซ็นสัญญาให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนรัฐบาลจะหมดวาระลง
จากนี้ไป...ผมจะรอดูซิว่า หลังจากเปิดประมูลโครงการต่าง ๆ แล้ว เมื่อนำไปเทียบกับการตั้งราคาใน
อดีตมีความแตกต่างกันอย่างไร มีใครต้องจ่ายใต้โต๊ะ และ “ค่าหัวคิว”อย่างที่ผ่านมาหรือไม่ เหมือน
“โครงการบ้านเอื้ออาทร” ที่ ป.ป.ช. ตรวจสอบพบเงินใต้โต๊ะ ไหลเข้ากระเป๋านักเคลื่อนไหว
บางคน 5 ล้านบาท
การปล่อยเงินกู้ให้ประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านทาง “ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประทศไทย”
(เอ็กซิมแบงก์) โดย รัฐต้องมาแบกรับภาระส่วนต่างดอกเบี้ย จากนั้นนำเงินดังกล่าว ไปซื้อสินค้า
จากบริษัทที่มีความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจขณะนั้น
หยิบเรื่องนี้มาบอกอีกครั้ง เพราะได้ยิน นักการเมืองบางคน ออกมาคร่ำครวญและโหยหวนทำนองว่า
ห่วงใยภาระหนี้สินของประเทศ จนลืมไปว่า เวลามีอำนาจ เคยมีส่วนผลาญเงินภาษีของประชาชน ไว้ด้วย
กลวิธีอย่างไรบ้าง.
"เขื่อนขันธ์"
http://www.dailynews.co.th/Content/Article/280428/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7
ไม่เสียเที่ยว คมคิดฅนเขียน เขื่อนขันธ์ เดลินิวส์ออนไลน์ ... กระทู้ดีที่ต้องอ่าน .... sao..เหลือ..noi
ถึงสถานการณ์ภายในประเทศแล้ว
ถูก เยาะเย้ยถากถางจากเครือข่าย ’อำนาจเก่า“ เป็นประจำ ทำนองว่า มาจากรัฐประหาร ไม่ได้มาจาก
การเลือกตั้ง แต่น่าแปลก เวลา “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช. เดินทาง
ไปปฏิบัติภารกิจยังต่างแดน มักมีข่าวดีมาฝากคนไทยเป็นประจำ
ดูอย่าง การร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 22 ที่กรุงปักกิ่ง นอกจากผู้นำไทยจะมีโอกาส
ชี้แจงถึงสถานการณ์ภายในประเทศแล้ว แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น การหารือระดับ
ทวิภาคี กับ “นายหลี่ เค่อเฉียง” นายกรัฐมนตรีจีน และ “นายสี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน
บทสรุปคือทั้งสองประเทศ จะร่วมมือกันใน 1 เรื่องการทำทางรถไฟ ขนาด 1.435 เมตร โดยทำใน
รูปแบบ “รัฐต่อรัฐ” ประกอบด้วย เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย กรุงเทพฯ-มาบตาพุด และ แยกที่
แก่งคอย จ.สระบุรี
“บิ๊กตู่” ยืนยันว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้ผ่านบริษัทใด ไม่มีผลประโยชน์ให้ใคร มีแต่ผลประโยชน์
ให้ประเทศ ขอให้เชื่อมั่น ไม่ได้มีการเจรจาส่วนตัวเลย เวลาพูดคุยเป็นการคุยเต็มคณะทั้งหมด
ถ้าไม่ทำวันนี้จะไม่ทันการณ์ และราคาจะแพงขึ้น และบอกจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย
ออกมาพูดอย่างนี้ อาจเป็นเพราะรู้ว่ารัฐบาลในอดีต นอกจากจะมีปัญหา เรื่องตั้งตัวเลขงบประมาณ
ของโครงการต่าง ๆ แล้ว นักการเมืองบางคนยังแอบมอบหมาย “นอมินี” ให้ไปตั้งบริษัท ไว้คอยรับ
งานเป็นที่ปรึกษาโครงการ ซึ่งภาษานักก่อสร้างเรียกกันติดปากว่า “คอนซัลแตนท์” เช่น โครงการ
ก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน ซึ่งรัฐบาล “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” พยายามผลักดัน โดยตั้งงบประมาณ
ให้ที่ปรึกษาโครงการไว้ 6 หมื่นล้านบาท จากงบก่อสร้างทั้งหมด 2.2 ล้านล้านบาท
เลยไม่ใช่เรื่องแปลก หลังจาก รัฐบาลชุดที่ผ่านมาหมดอำนาจลง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม มีการพูด
แซวกันในมวลหมู่นักเลือกตั้งว่า ’เค้กชิ้นใหญ่“ หลุดออกจากปากใครบางคน
คิดดูซิครับ...แค่งานพีอาร์ ยังผลาญเงินไปกว่า 240 ล้านบาท มาถึงวันนี้ยังไม่รู้เลยว่า ใครจะต้อง
รับผิดชอบ แถมวิธีการว่าก็ใช้วิธีการพิเศษ นำไปแจกจ่ายให้สื่อในเครือข่าย จนกลายเป็นเมืองขึ้น
มาถึงทุกวันนี้
กรณีการก่อสร้าง “รถไฟรางคู่” ซึ่งพูดกันมานานแล้ว และอนาคตคงมีอีกหลายเส้นทาง โดยเฉพาะ
รูปแบบความเร็วปานกลาง ซึ่งอยู่ที่ไทย จะแบ่งปันโครงการต่าง ๆ ให้ชาติไหน โดย ทั้งสองฝ่ายต้อง
ได้ประโยชน์ อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ระบบวัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง
เข้าใจว่าการผลักดันโครงการต่าง ๆ คงเป็นไปตามที่ “พล.อ. ประจิน จั่นตอง” รมว.คมนาคม เคยเปิดเผย
ถึง ยุทธศาสตร์การลงทุนของกระทรวง 8 ปี ตั้งแต่ปี 2558-2565 ใช้เงินลงทุนกว่า 3 ล้านล้านบาท
โดยเฉพาะด้านการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมนั้น มุ่งเร่งรัดให้เกิดการลงทุนทุกระบบขนส่ง
เช่น โครงการรถไฟทางคู่ทั้งโครงการราง 1 เมตร และ 1.435 เมตร ภายในปี 2559, รถไฟทางคู่จะมี
เพิ่มขึ้นอีก 900 กม. เพื่อเพิ่มสัดส่วนรถไฟทางคู่ของไทยเพิ่มขึ้นเป็น 22.3 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่ม
ประสิทธิภาพการขนส่ง
รวมทั้งเร่งรัดทั้ง โครงการรถไฟฟ้าเพื่อแก้ปัญหาการจราจรภายในเมือง, การพัฒนาทางหลวงและ
มอเตอร์เวย์, การพัฒนาท่าเรือแห่งใหม่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 และท่าอากาศยานดอนเมือง
ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ในยุทธศาสตร์ 8 ปีที่กระทรวงคมนาคมดำเนินการ ซึ่งเชื่อว่า “พล.อ.ประยุทธ์” คงจะ
เปิดประมูล และเซ็นสัญญาให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนรัฐบาลจะหมดวาระลง
จากนี้ไป...ผมจะรอดูซิว่า หลังจากเปิดประมูลโครงการต่าง ๆ แล้ว เมื่อนำไปเทียบกับการตั้งราคาใน
อดีตมีความแตกต่างกันอย่างไร มีใครต้องจ่ายใต้โต๊ะ และ “ค่าหัวคิว”อย่างที่ผ่านมาหรือไม่ เหมือน
“โครงการบ้านเอื้ออาทร” ที่ ป.ป.ช. ตรวจสอบพบเงินใต้โต๊ะ ไหลเข้ากระเป๋านักเคลื่อนไหว
บางคน 5 ล้านบาท
การปล่อยเงินกู้ให้ประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านทาง “ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประทศไทย”
(เอ็กซิมแบงก์) โดย รัฐต้องมาแบกรับภาระส่วนต่างดอกเบี้ย จากนั้นนำเงินดังกล่าว ไปซื้อสินค้า
จากบริษัทที่มีความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจขณะนั้น
หยิบเรื่องนี้มาบอกอีกครั้ง เพราะได้ยิน นักการเมืองบางคน ออกมาคร่ำครวญและโหยหวนทำนองว่า
ห่วงใยภาระหนี้สินของประเทศ จนลืมไปว่า เวลามีอำนาจ เคยมีส่วนผลาญเงินภาษีของประชาชน ไว้ด้วย
กลวิธีอย่างไรบ้าง.
"เขื่อนขันธ์"
http://www.dailynews.co.th/Content/Article/280428/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7