คำเตือน:
เรื่องนี้ไม่เหมาะกับคนโลกสวย
ไม่เหมาะกับกบในกะลา
และไม่เหมาะกับคนชราที่หมดไฟ
กระทุ้นี้ผมพิมพ์เพื่อให้เป็นวิทยาทาน สำหรับคนที่โดนปัญหาชีวิตถาโถมเข้าใส่ อาการหนักเอาการ ลองเอาไปใช้กันดู
เนื่องจากไม่ได้ร่ำรวยอะไร เลยเลือกใช้ช่องทางนี้ในการแชร์สิ่งดีๆให้คนอื่นๆ โดยหวังให้มีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
(จำสำนวน "มีประโยชน์ไม่มากก็น้อย" มาจากการเขียนคำนำเรียงความตอนมัธยม)
บุญกุศลทั้งหมดผมขอมอบให้แก่พ่อและแม่ของผมครับ
กระทู้ก่อนหน้า
1) L-I-F-E Theory หรือ ทฤษฏีการใช้ชีวิตของคนคิดบวก
>>
http://pantip.com/topic/32583622
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตลอดช่วงชีวิตของคนหนึ่งคน ... ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน วัยเกษียร และวัยชรา
แน่นอนว่าต้องเจอปัญหารุมเร้าในแบบของตอนเอง
บางครั้งมันเข้ามาพร้อมๆกัน จนเราคิดว่า "ไม่รอดแน่", "ต้องตายแน่ๆ", "ซวยจริงๆ", "อยากเอาหัวเขกฝา", หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่เชื่อเถอะครับ ... มันรอดทุกครั้ง และไม่เห็นต้องตายจริงๆ สักครั้ง
จริงๆแล้วมันมี
ทางรอด โดยต้องใช้เทคนิคนิดหน่อย ลองอ่านดูนะครับ
แล้วจะแปลกใจว่าทำไมมันง่ายนิดเดียว
1. หยุดทุกสิ่ง ... ออกไปสูดอากาศสักฟอด
2. รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก
3. บันทึกเก็บไว้ ใส่สมุดหนังหมา
( อ่านแล้วคง "งง" ... หรือคิดว่า จขกท เป็นคนบ้าแน่ๆ ลองอ่านต่อให้จบ อาจจะพบกับคำตอบที่ต้องการนะครับ)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หยุดทุกสิ่ง ... ออกไปสุดอากาสสักฟอด
>>>
ถอย...เพื่อมองให้เห็นป่าทั้งป่า <<<
จริงๆแล้ว อยากจะสื่อว่า เวลาที่คนเรากำลังเผชิญกับปัญหาที่รุมกระหน่ำซ้ำเข้ามา
เราไม่มีทางที่จะคิดวิธีรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้หมดหรอก ยกเว้นแต่เทพจริงๆ เก่งสุดๆ ซึ่งก็คงไม่ได้มาอ่านกระทู้นี้หรอก อิอิ
ดั้งนั้น เราควรต้องถอยออกมาก่อน เพื่อที่จะมองให้เห็นภาพกว้าง มองให้ครอบคลุมปัญหาทั้งหมด
เหมือนกับนักมวย เวลาโดนรัวหมัดใส่ ทางรอดก็คือ ถอยหลบฉากมาก่อน เพื่อที่จะได้คิดทางแก้ไขต่อไป
ขืนต่อยบวกไป เราอาจจะโดนน็อคได้แบบไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ... มันเสี่ยงและบ้าบิ่นเกินไป ไม่ขอแนะนำนะครับ
การถอยออกมา นอกจากจะทำให้เราได้มองเห็นปัญหาในภาพโดยรวมได้แล้ว
ยังเป็นการถอยออกมา เพื่อให้มีเวลาในการรวบรวมสติและสมาธิ ให้กลับเข้าร่าง
ก่อนที่จะออกไปเจอศึกหนักเหล่านั้นอีกด้วยครับ
ดังนั้น เมื่อรู้สึกว่าปัญหามันเยอะเกินจะแก้ไข เริ่มด้วยการหยุดทำสิ่งต่างๆสักครู่
ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ ไปจิบกาแฟอุ่นๆ หรือ ไปเข้าห้องน้ำห้องท่า ดื่มน้ำปัสสาวะให้เรียบร้อย ^_^
ตั้งสติและมองภาพรวม ... ก่อนคิดจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นนะครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก
>>>
Focus ในสิ่งที่ใช่ เพราะเรามีเวลาจำกัด <<<
เมื่อเรามีสติ และมองเห็นปัญหาทั้งหมดแล้ว
ขั้นต่อมาก็คือการ
เลือกทำ เพราะเรามีเวลาจำกัด แค่วันละ 24 ชม
ถ้าปัญหามาเยอะมากเกินกว่าจะสามารถแก้ได้หมดในหนึ่งวัน เราก็ต้องเลือก
อันที่ใช่ก่อน ค่อยๆแก้ไป เดี๋ยวก็หมดเอง
ผมมีหลักในการเลือกว่า ควรจะแก้ปัญหาอะไรก่อนหลัง โดยการนำเอาทฤษฏี ABCD มาใช้ครับ (หาอ่านได้ทั่วไปใน Google)
หลักการคราวๆก็คือ แบ่งโดยใช้
ความสำคัญ กับ
ความเร่งด่วน เป็นหลักครับ
แบ่งได้ 4 กลุ่ม คือ
1. กลุ่ม A >>
สำคัญและเร่งด่วน
กลุ่มนี้ต้องรีบจัดการ และควรจะทำด้วยตัวเองครับ
2. กลุ่ม B >>
สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน
กลุ่มนี้จัดการได้สองวิธีครับ คือ ดำเนินการด้วยตัวเอง (ทำหลังจากทำกลุ่ม A แล้วเสร็จ) หรือ การหาคนอื่นมาช่วย
3. กลุ่ม C >>
ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน
กลุ่มนี้ก็ต้องรีบจัดการครับ แต่เราไม่ต้องทำเอง แต่ต้องหาคนอื่นมาช่วยทำครับ
4. กลุ่ม D >>
ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน
กลุ่มนี้ไม่ต้องทำอะไรครับ กลับไปทำกลุ่มอื่นๆให้เสร็จจะดีกว่านะ ... ห่างกันสักพักนะ กลุ่ม D อิอิ
แน่นอนว่า การแบ่งกลุ่มปัญหาจะช่วยให้เราจัดการได้ง่ายขึ้น แต่ปัญหาบางอย่างก็อาจจะยากเกินกำลังของเราคนเดียว
ไปปรึกษาคนที่มีประสบการณ์ หรืออย่างน้อยคนที่เขารักคุณ ก็อาจจะได้ทางแก้ปัญหานั้นๆ หรือถ้าไม่ได้ ก็ยังได้กำลังใจให้สู้ปัญหาละหว่ะ
ถ้าเราไม่ล้มเลิกก่อน ปัญหาทุกอย่างก็จะค่อยๆถูกแก้ไขไป แม้ว่าจะไม่ใช่ทางแก้ที่ดีที่สุด แต่มันจะถูกแก้ไขอย่างแน่นอน (ยกเว้นดองไว้นะ)
แล้วเมื่อเราย้อนกลับไปมองปัญหาเหล่านั้น คำแรกที่จะผุดขึ้นในหัวคือ
"ปัญหาที่เหมือนจะไม่มีทางออก จริงๆก็แค่ ยังคิดหาทางแก้ไม่ออก ... มากกว่าครับ"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บันทึกเก็บไว้ ใส่สมุดหนังหมา
>>>
เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย อิอิ <<<
จริงๆ รูปประกอบไม่เกี่ยวกันเท่าไร คือ ขี้เกียจหารูป ก็เอารูปที่เปิดเจอในสต๊อกรูปตัวเอง ใช้แทนไปก่อน ไม่ซีนะครับ ท่านผู้ชม อิอิ
ในภาษาการทำงาน การบันทึกปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาไว้ เป็นขั้นตอน Step-by-Step
ถ้ามีรูปประกอบจะดีมาก ขอให้อ่านเข้าใจง่าย และใช้ได้จริง ... ผมเคยทำไว้ตอนที่ยังทำงานประจำ ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์ดีครับ
เพื่อจะได้สามารถแก้ปัญหาประเภทเดิมได้โดยง่าย และเป็นการจัดการองค์ความรู้ให้คงอยู่กับองค์กร แทนที่จะอยู่ที่ตัวบุคคล
เขาเรียกเท่ย์ๆว่า "
Trouble Shooting"
ประโยชน์ของการบันทึกเกี่ยวกับปัญหาที่เจอและวิธีรับมือกับมัน มีมากมายหลายข้อเลย ดังนี้
1. ช่วยตัวเราเอง ให้จดจำเข้ากระดูกมากขึ้น และเป็นบัญทึกไว้เผื่อเจอในอนาคตจะได้ คลับคล้ายคลับคลา มาเปิดหาได้โดยง่าย
2. ช่วยเพื่อนมนุษย์ผู้น่าสงสาร ถ้าเรามีวิธีรับมือที่ทำออกมาเป็น Step-by-Step แล้ว เราก็สามารถเอาไปช่วยคนอื่นๆที่เจอคล้ายๆกับเราได้
3. ช่วยชนรุ่นหลัง เมื่อเราวายชนน์ ... อย่าหวงวิชา อย่ากั๊กความรู้ เป็นผู้ให้มีความสุขเป็นแน่แท้
สุดท้าย ขอให้เพื่อนๆที่เจอปัญหารุมเร้ามหึมากว่าไดโนเสาร์ชุบแป้งทอด หรือเจอปัญหาบางเบาเท่ารอยเท้ามดเต้นบัลเล่
ขอให้ยิ้มสู้กับปัญหา อย่าหนึ อย่ายอมแพ้ แล้วฟ้าหลังฝนมันมาแน่ครับ ... เอวัง
จากใจ
โยโย หนุ่มคิดบวก
[Think+] ทางรอด...เมื่อมรสุมประดังเบซาเข้ามาพร้อมๆกัน
คำเตือน:
เรื่องนี้ไม่เหมาะกับคนโลกสวย
ไม่เหมาะกับกบในกะลา
และไม่เหมาะกับคนชราที่หมดไฟ
กระทุ้นี้ผมพิมพ์เพื่อให้เป็นวิทยาทาน สำหรับคนที่โดนปัญหาชีวิตถาโถมเข้าใส่ อาการหนักเอาการ ลองเอาไปใช้กันดู
เนื่องจากไม่ได้ร่ำรวยอะไร เลยเลือกใช้ช่องทางนี้ในการแชร์สิ่งดีๆให้คนอื่นๆ โดยหวังให้มีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
(จำสำนวน "มีประโยชน์ไม่มากก็น้อย" มาจากการเขียนคำนำเรียงความตอนมัธยม)
บุญกุศลทั้งหมดผมขอมอบให้แก่พ่อและแม่ของผมครับ
กระทู้ก่อนหน้า
1) L-I-F-E Theory หรือ ทฤษฏีการใช้ชีวิตของคนคิดบวก
>> http://pantip.com/topic/32583622
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตลอดช่วงชีวิตของคนหนึ่งคน ... ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน วัยเกษียร และวัยชรา
แน่นอนว่าต้องเจอปัญหารุมเร้าในแบบของตอนเอง
บางครั้งมันเข้ามาพร้อมๆกัน จนเราคิดว่า "ไม่รอดแน่", "ต้องตายแน่ๆ", "ซวยจริงๆ", "อยากเอาหัวเขกฝา", หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่เชื่อเถอะครับ ... มันรอดทุกครั้ง และไม่เห็นต้องตายจริงๆ สักครั้ง
จริงๆแล้วมันมี ทางรอด โดยต้องใช้เทคนิคนิดหน่อย ลองอ่านดูนะครับ
แล้วจะแปลกใจว่าทำไมมันง่ายนิดเดียว
1. หยุดทุกสิ่ง ... ออกไปสูดอากาศสักฟอด
2. รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก
3. บันทึกเก็บไว้ ใส่สมุดหนังหมา
( อ่านแล้วคง "งง" ... หรือคิดว่า จขกท เป็นคนบ้าแน่ๆ ลองอ่านต่อให้จบ อาจจะพบกับคำตอบที่ต้องการนะครับ)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หยุดทุกสิ่ง ... ออกไปสุดอากาสสักฟอด
>>> ถอย...เพื่อมองให้เห็นป่าทั้งป่า <<<
จริงๆแล้ว อยากจะสื่อว่า เวลาที่คนเรากำลังเผชิญกับปัญหาที่รุมกระหน่ำซ้ำเข้ามา
เราไม่มีทางที่จะคิดวิธีรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้หมดหรอก ยกเว้นแต่เทพจริงๆ เก่งสุดๆ ซึ่งก็คงไม่ได้มาอ่านกระทู้นี้หรอก อิอิ
ดั้งนั้น เราควรต้องถอยออกมาก่อน เพื่อที่จะมองให้เห็นภาพกว้าง มองให้ครอบคลุมปัญหาทั้งหมด
เหมือนกับนักมวย เวลาโดนรัวหมัดใส่ ทางรอดก็คือ ถอยหลบฉากมาก่อน เพื่อที่จะได้คิดทางแก้ไขต่อไป
ขืนต่อยบวกไป เราอาจจะโดนน็อคได้แบบไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ... มันเสี่ยงและบ้าบิ่นเกินไป ไม่ขอแนะนำนะครับ
การถอยออกมา นอกจากจะทำให้เราได้มองเห็นปัญหาในภาพโดยรวมได้แล้ว
ยังเป็นการถอยออกมา เพื่อให้มีเวลาในการรวบรวมสติและสมาธิ ให้กลับเข้าร่าง
ก่อนที่จะออกไปเจอศึกหนักเหล่านั้นอีกด้วยครับ
ดังนั้น เมื่อรู้สึกว่าปัญหามันเยอะเกินจะแก้ไข เริ่มด้วยการหยุดทำสิ่งต่างๆสักครู่
ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ ไปจิบกาแฟอุ่นๆ หรือ ไปเข้าห้องน้ำห้องท่า ดื่มน้ำปัสสาวะให้เรียบร้อย ^_^
ตั้งสติและมองภาพรวม ... ก่อนคิดจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นนะครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก
>>> Focus ในสิ่งที่ใช่ เพราะเรามีเวลาจำกัด <<<
เมื่อเรามีสติ และมองเห็นปัญหาทั้งหมดแล้ว
ขั้นต่อมาก็คือการ เลือกทำ เพราะเรามีเวลาจำกัด แค่วันละ 24 ชม
ถ้าปัญหามาเยอะมากเกินกว่าจะสามารถแก้ได้หมดในหนึ่งวัน เราก็ต้องเลือก อันที่ใช่ก่อน ค่อยๆแก้ไป เดี๋ยวก็หมดเอง
ผมมีหลักในการเลือกว่า ควรจะแก้ปัญหาอะไรก่อนหลัง โดยการนำเอาทฤษฏี ABCD มาใช้ครับ (หาอ่านได้ทั่วไปใน Google)
หลักการคราวๆก็คือ แบ่งโดยใช้ ความสำคัญ กับ ความเร่งด่วน เป็นหลักครับ
แบ่งได้ 4 กลุ่ม คือ
1. กลุ่ม A >> สำคัญและเร่งด่วน
กลุ่มนี้ต้องรีบจัดการ และควรจะทำด้วยตัวเองครับ
2. กลุ่ม B >> สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน
กลุ่มนี้จัดการได้สองวิธีครับ คือ ดำเนินการด้วยตัวเอง (ทำหลังจากทำกลุ่ม A แล้วเสร็จ) หรือ การหาคนอื่นมาช่วย
3. กลุ่ม C >> ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน
กลุ่มนี้ก็ต้องรีบจัดการครับ แต่เราไม่ต้องทำเอง แต่ต้องหาคนอื่นมาช่วยทำครับ
4. กลุ่ม D >> ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน
กลุ่มนี้ไม่ต้องทำอะไรครับ กลับไปทำกลุ่มอื่นๆให้เสร็จจะดีกว่านะ ... ห่างกันสักพักนะ กลุ่ม D อิอิ
แน่นอนว่า การแบ่งกลุ่มปัญหาจะช่วยให้เราจัดการได้ง่ายขึ้น แต่ปัญหาบางอย่างก็อาจจะยากเกินกำลังของเราคนเดียว
ไปปรึกษาคนที่มีประสบการณ์ หรืออย่างน้อยคนที่เขารักคุณ ก็อาจจะได้ทางแก้ปัญหานั้นๆ หรือถ้าไม่ได้ ก็ยังได้กำลังใจให้สู้ปัญหาละหว่ะ
ถ้าเราไม่ล้มเลิกก่อน ปัญหาทุกอย่างก็จะค่อยๆถูกแก้ไขไป แม้ว่าจะไม่ใช่ทางแก้ที่ดีที่สุด แต่มันจะถูกแก้ไขอย่างแน่นอน (ยกเว้นดองไว้นะ)
แล้วเมื่อเราย้อนกลับไปมองปัญหาเหล่านั้น คำแรกที่จะผุดขึ้นในหัวคือ
"ปัญหาที่เหมือนจะไม่มีทางออก จริงๆก็แค่ ยังคิดหาทางแก้ไม่ออก ... มากกว่าครับ"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บันทึกเก็บไว้ ใส่สมุดหนังหมา
>>> เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย อิอิ <<<
จริงๆ รูปประกอบไม่เกี่ยวกันเท่าไร คือ ขี้เกียจหารูป ก็เอารูปที่เปิดเจอในสต๊อกรูปตัวเอง ใช้แทนไปก่อน ไม่ซีนะครับ ท่านผู้ชม อิอิ
ในภาษาการทำงาน การบันทึกปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาไว้ เป็นขั้นตอน Step-by-Step
ถ้ามีรูปประกอบจะดีมาก ขอให้อ่านเข้าใจง่าย และใช้ได้จริง ... ผมเคยทำไว้ตอนที่ยังทำงานประจำ ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์ดีครับ
เพื่อจะได้สามารถแก้ปัญหาประเภทเดิมได้โดยง่าย และเป็นการจัดการองค์ความรู้ให้คงอยู่กับองค์กร แทนที่จะอยู่ที่ตัวบุคคล
เขาเรียกเท่ย์ๆว่า "Trouble Shooting"
ประโยชน์ของการบันทึกเกี่ยวกับปัญหาที่เจอและวิธีรับมือกับมัน มีมากมายหลายข้อเลย ดังนี้
1. ช่วยตัวเราเอง ให้จดจำเข้ากระดูกมากขึ้น และเป็นบัญทึกไว้เผื่อเจอในอนาคตจะได้ คลับคล้ายคลับคลา มาเปิดหาได้โดยง่าย
2. ช่วยเพื่อนมนุษย์ผู้น่าสงสาร ถ้าเรามีวิธีรับมือที่ทำออกมาเป็น Step-by-Step แล้ว เราก็สามารถเอาไปช่วยคนอื่นๆที่เจอคล้ายๆกับเราได้
3. ช่วยชนรุ่นหลัง เมื่อเราวายชนน์ ... อย่าหวงวิชา อย่ากั๊กความรู้ เป็นผู้ให้มีความสุขเป็นแน่แท้
สุดท้าย ขอให้เพื่อนๆที่เจอปัญหารุมเร้ามหึมากว่าไดโนเสาร์ชุบแป้งทอด หรือเจอปัญหาบางเบาเท่ารอยเท้ามดเต้นบัลเล่
ขอให้ยิ้มสู้กับปัญหา อย่าหนึ อย่ายอมแพ้ แล้วฟ้าหลังฝนมันมาแน่ครับ ... เอวัง
จากใจ
โยโย หนุ่มคิดบวก