กาลครั้งหนึ่ง ไม่นานเท่าไหร่ ยังมีลูกหมาป่าวิ่งเล่นอย่างร่าเริงอยู่กับฝูงของมัน ชีวิตมีพ่อ มีแม่ มีเพื่อน มีสุข มีทุกข์ เคล้ากันไป อยู่มาวันหนึ่งครอบครัวของหมาป่าน้อยไม่อบอุ่นเหมือนเคย พ่อแม่ระหองระแหง ลูกหมาป่าเศร้าสร้อย ลูกหมาป่าอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางเพื่อนฝูง โดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครที่ลูกหมาป่าจะพึ่งพาได้เต็มที่ ลูกหมาป่าเดินเดี่ยวไปเรื่อยๆ ตามประสา สุขกับเพื่อนบ้าง แต่กระนั้นก็ทุกข์ใจกับปัญหาที่วนเวียนในหัว ระบายกับเพื่อนบ้าง แต่ก็ยังไม่ใช่ที่สุด มันไม่อาจหายได้ ใครจะกล้าเข้าใกล้ลูกหมาป่าเวลาฟูมฟาย ใครจะพูดให้ลูกหมาป่าสงบลงได้
ลูกหมาป่าวางเส้นทางชีวิตว่าจะเดินไปสู่ความสำเร็จด้วยตัวคนเดียว จะต้องเติบโตหาอาหารมาเลี้ยงแม่ที่อาจต้องอยู่เดียวดาย เอ๊ะ! หรือจะสร้างบ้านเป็นของตัวเองแล้วพาแม่มาอยู่ไกลๆ เอ๊ะ! หรือจะยังไงดี ตั้งจุดหมายไว้แต่ทางเดินไปมันไม่ค่อยชัดเจน แต่ยังไงก็ช่างเถอะ เราต้องเติบโตไปเลี้ยงแม่ให้ได้ ส่วนพ่อคงหาเลี้ยงตัวเองได้อยู่หรอก เมื่อเลือกชีวิตแบบนั้นแล้ว เฮ้อ...ชีวิตหมาป่าน้อยเศร้าจังเลย
ในวันหนึ่ง ขณะที่ลูกหมาป่าเดินไปเรื่อยๆ อย่างปลงๆ สนุกสนานกับเพื่อนบ้าง ประคองชีวิตตัวเองสู่จุดหมายที่คิดไว้ แต่ในระหว่างทางนั้น มีชายตาบอดคลำทางมาพบกับลูกหมาป่า ทั้งสองพูดคุยกันถูกคอ ชายตาบอดสอนลูกหมาป่าในหลายๆ เรื่อง เขาทำให้ลูกหมาป่าอบอุ่น ในขณะเดียวกันชายตาบอดก็รับรู้ได้ถึงความสดใสเขาไม่คิดว่าจะได้เจออีกในชีวิตแล้ว ลูกหมาป่ามีความรู้ในหลายด้านที่เขาไม่รู้และยังมีความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น
ชายตาบอดถามลูกหมาป่าว่า "เราจะไปด้วยกันได้มั้ย ฉันตาบอดฉันมองไม่เห็น หากมีเธอนำทางชีวิตฉันคงดีขึ้น และฉันคิดว่าเธอจะโชคดีมากเลยนะที่มีฉันเป็นเพื่อนเดินทางไปสู่จุดหมาย ฉันจะไม่ทิ้งเธอถ้าเทอยังต้องการฉัน แต่เพื่อความยุติธรรมกับเธอ ฉันให้สิทธิ์เธอเลือกได้นะว่าจะไปหรือไม่ไป เพราะฉันไม่ใช่คนที่เพรียบพร้อม ฉันเคยมองเห็นแต่ฉันโดนทำร้ายจนตาบอดมืด"
ลูกหมาป่าเห็นว่าชายตาบอดมีอะไรบางอย่างที่วิเศษ มีบางอย่างที่มันกำลังตามหา แม้จะไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่มันสัมผัสได้ถึงพลังนั้น หากจะลองไปกับชายตาบอดคงไม่เสียหายมั้ง ถ้าอยู่แต่ในป่ามันคงไม่มีทางรู้ว่านอกป่านั้นมีอะไรบ้าง และที่สำคัญไม่ได้เดินคนเดียวด้วยสิ มันยังเพื่อนร่วมเดินทางด้วย ลูกหมาป่าจึงตอบตกลงไปกับชายตาบอด
ทั้งสองเดินทางไปด้วยกัน ชายตาบอดได้เข้ามาเติมเต็มชีวิตของลูกหมาป่า เขาเป็นเสมือนผู้ปกครองคนใหม่ เลี้ยงเลี้ยงดูด้วยอาหารดีๆ เขาเป็นผู้หนุนหลังในทุกเรื่อง เขาแรงผลักแรงดึงเมื่อต้องเดินบนทางที่เรียบบ้างมีหลุมบ้าง เขาพาเที่ยวในหลายๆ ที่ เปิดโลกกว้างให้ลูกหมาป่ากล้าที่จะเดิน เพราะลูกหมาป่าอุ่นใจเมื่อรู้ว่ามีชายตาบอดคอยรับหากสะดุดล้ม ในขณะเดียวกัน ลูกหมาป่าก็เปรียบเสมือนดวงตาของชายตาบอด เปรียบเสมือนครูในบางเรื่อง เปรียบเสมือนเพื่อนในยามเหงา เปรียบเสมือนน้ำเย็นเมื่อเขาร้อน เปรียบเสมือนผ้าห่มขนสัตว์ในยามหนาว เปลี่ยนชีวิตมืดๆ ของเขาให้สว่างสดใส เหมือนชายตาบอดได้ก้าวสู่ชีวิตใหม่ หากแต่เขาต้องปกป้องลูกหมาป่าอันเป็นเสมือนเชื้อจุดประกายชีวิตเขา
ด้วยปาฏิหาริย์แห่งพลังบริสุทธิ์จากความรักความผูกพันและความใส่ใจดูแลกันและกัน ตาอันมืดมิดของชายตาบอดค่อยๆ มองเห็น จนในที่สุดแสงสดใสส่องกระทบดวงตาของชายตาบอด เขามองไปยังลูกหมาป่าตัวน้อยด้วยความรักที่มันพาเขามีชีวิตใหม่ นับวันทั้งสองก็ยิ่งเป็นกันและกันมากขึ้น บางครั้งที่ต้องมีเหตุให้ไกลกันดวงตาชายตาบอดก็มัวลง เรี่ยวแรงลูกหมาป่าก็น้อยลง ทั้งสองประจักษ์แล้วว่าคงอยู่ลำบากแน่หากต้องไกลกัน ดังนั้นทั้งสองเลยตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไปเพราะเมื่ออยู่ด้วยกันแล้วจะเกิดพลังวิเศษ ช่วยให้เดินทางไปสู่จุดหมายอย่างมีความสุข แม้การอยู่ด้วยกันต้องแบ่งอาหารดีๆ ทำให้กินได้น้อยลงก็ตาม
นิทานเรื่องนี้มีหลายมุมให้คุณมอง มีแง่ให้คุณเปรียบ ขอให้คุณได้ประโยชน์จากนิทานเรื่องนี้
ลูกหมาป่ากับชายตาบอด
ลูกหมาป่าวางเส้นทางชีวิตว่าจะเดินไปสู่ความสำเร็จด้วยตัวคนเดียว จะต้องเติบโตหาอาหารมาเลี้ยงแม่ที่อาจต้องอยู่เดียวดาย เอ๊ะ! หรือจะสร้างบ้านเป็นของตัวเองแล้วพาแม่มาอยู่ไกลๆ เอ๊ะ! หรือจะยังไงดี ตั้งจุดหมายไว้แต่ทางเดินไปมันไม่ค่อยชัดเจน แต่ยังไงก็ช่างเถอะ เราต้องเติบโตไปเลี้ยงแม่ให้ได้ ส่วนพ่อคงหาเลี้ยงตัวเองได้อยู่หรอก เมื่อเลือกชีวิตแบบนั้นแล้ว เฮ้อ...ชีวิตหมาป่าน้อยเศร้าจังเลย
ในวันหนึ่ง ขณะที่ลูกหมาป่าเดินไปเรื่อยๆ อย่างปลงๆ สนุกสนานกับเพื่อนบ้าง ประคองชีวิตตัวเองสู่จุดหมายที่คิดไว้ แต่ในระหว่างทางนั้น มีชายตาบอดคลำทางมาพบกับลูกหมาป่า ทั้งสองพูดคุยกันถูกคอ ชายตาบอดสอนลูกหมาป่าในหลายๆ เรื่อง เขาทำให้ลูกหมาป่าอบอุ่น ในขณะเดียวกันชายตาบอดก็รับรู้ได้ถึงความสดใสเขาไม่คิดว่าจะได้เจออีกในชีวิตแล้ว ลูกหมาป่ามีความรู้ในหลายด้านที่เขาไม่รู้และยังมีความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น
ชายตาบอดถามลูกหมาป่าว่า "เราจะไปด้วยกันได้มั้ย ฉันตาบอดฉันมองไม่เห็น หากมีเธอนำทางชีวิตฉันคงดีขึ้น และฉันคิดว่าเธอจะโชคดีมากเลยนะที่มีฉันเป็นเพื่อนเดินทางไปสู่จุดหมาย ฉันจะไม่ทิ้งเธอถ้าเทอยังต้องการฉัน แต่เพื่อความยุติธรรมกับเธอ ฉันให้สิทธิ์เธอเลือกได้นะว่าจะไปหรือไม่ไป เพราะฉันไม่ใช่คนที่เพรียบพร้อม ฉันเคยมองเห็นแต่ฉันโดนทำร้ายจนตาบอดมืด"
ลูกหมาป่าเห็นว่าชายตาบอดมีอะไรบางอย่างที่วิเศษ มีบางอย่างที่มันกำลังตามหา แม้จะไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่มันสัมผัสได้ถึงพลังนั้น หากจะลองไปกับชายตาบอดคงไม่เสียหายมั้ง ถ้าอยู่แต่ในป่ามันคงไม่มีทางรู้ว่านอกป่านั้นมีอะไรบ้าง และที่สำคัญไม่ได้เดินคนเดียวด้วยสิ มันยังเพื่อนร่วมเดินทางด้วย ลูกหมาป่าจึงตอบตกลงไปกับชายตาบอด
ทั้งสองเดินทางไปด้วยกัน ชายตาบอดได้เข้ามาเติมเต็มชีวิตของลูกหมาป่า เขาเป็นเสมือนผู้ปกครองคนใหม่ เลี้ยงเลี้ยงดูด้วยอาหารดีๆ เขาเป็นผู้หนุนหลังในทุกเรื่อง เขาแรงผลักแรงดึงเมื่อต้องเดินบนทางที่เรียบบ้างมีหลุมบ้าง เขาพาเที่ยวในหลายๆ ที่ เปิดโลกกว้างให้ลูกหมาป่ากล้าที่จะเดิน เพราะลูกหมาป่าอุ่นใจเมื่อรู้ว่ามีชายตาบอดคอยรับหากสะดุดล้ม ในขณะเดียวกัน ลูกหมาป่าก็เปรียบเสมือนดวงตาของชายตาบอด เปรียบเสมือนครูในบางเรื่อง เปรียบเสมือนเพื่อนในยามเหงา เปรียบเสมือนน้ำเย็นเมื่อเขาร้อน เปรียบเสมือนผ้าห่มขนสัตว์ในยามหนาว เปลี่ยนชีวิตมืดๆ ของเขาให้สว่างสดใส เหมือนชายตาบอดได้ก้าวสู่ชีวิตใหม่ หากแต่เขาต้องปกป้องลูกหมาป่าอันเป็นเสมือนเชื้อจุดประกายชีวิตเขา
ด้วยปาฏิหาริย์แห่งพลังบริสุทธิ์จากความรักความผูกพันและความใส่ใจดูแลกันและกัน ตาอันมืดมิดของชายตาบอดค่อยๆ มองเห็น จนในที่สุดแสงสดใสส่องกระทบดวงตาของชายตาบอด เขามองไปยังลูกหมาป่าตัวน้อยด้วยความรักที่มันพาเขามีชีวิตใหม่ นับวันทั้งสองก็ยิ่งเป็นกันและกันมากขึ้น บางครั้งที่ต้องมีเหตุให้ไกลกันดวงตาชายตาบอดก็มัวลง เรี่ยวแรงลูกหมาป่าก็น้อยลง ทั้งสองประจักษ์แล้วว่าคงอยู่ลำบากแน่หากต้องไกลกัน ดังนั้นทั้งสองเลยตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไปเพราะเมื่ออยู่ด้วยกันแล้วจะเกิดพลังวิเศษ ช่วยให้เดินทางไปสู่จุดหมายอย่างมีความสุข แม้การอยู่ด้วยกันต้องแบ่งอาหารดีๆ ทำให้กินได้น้อยลงก็ตาม
นิทานเรื่องนี้มีหลายมุมให้คุณมอง มีแง่ให้คุณเปรียบ ขอให้คุณได้ประโยชน์จากนิทานเรื่องนี้