พระโพธธิสัตว์โกหกจระเข้ ?
พระโพธิสัตว์โกหกจระเข้ อย่างไร?
เรื่องนี้มีมาว่าอย่างนี้ว่า เมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยชาติเป็นลิง ลิงโพธิสัตว์นั้น หลอกจระเข้ว่า หัวใจของตนอยู่ที่ต้นมะเดื่อ จระเข้หลงเชื่อแล้วพ่ายแพ้กลับไป (
สุงสุมารชาดก)
เรื่องนี้ฟังอย่างไรไม่ทราบ คงสารูปความว่า พระโพธิสัตว์บำเพ็ญปัญญา แต่ดูยังไง ๆ ก็โกหก จระเข้ (พระเทวทัต) และดูคล้าย กรณีที่มัลลิกาเทวี ด่าราชาโกศลว่าเสพเมถุนแม่แพะ
ต่อมา ต้องถามผู้รู้ ที่จะตอบได้ว่า ลิงโพธิสัตว์ไฉนจึงโกหก ทำความเป็นคารมดังนั้น
ข้าพเจ้าไปได้เรื่องสามเณรพุทธญาณมา (ที่สอนไว้ในหนังสือ ราชาธิราช ประเภทพวกประวัติและตำนานของมอญ) ข้าพเจ้าขอให้ถามหลวงพ่อวัดสามแยก ด้วยกัน
ว่า ที่สามเณรพุทธญาณ ไขความ แสดงเหตุผล อันที่คนจะโกหก (เป็นสติปัญญา ทางธรรม) ไว้เป็นประการต่าง ๆนั้น สมควร จริง (หรือ) ไม่จริง
หรือว่าจะเป็นในทางที่ว่า หากบำเพ็ญปัญญา(ญาณ) ก็ต้องฝึกทาง ทำเล่ห์ สร้างเลศกันและกันต่างๆให้เป็นในทาง โกหก พอใครหลงเชื่อ ก็เรียกทางนั้น ว่า
ด้อยปัญญา.. !?#!
มหาเถรสมมิตรสอนสามเณรพุทธญาณนั้น ว่า เลศ ด้วยการโกหก (มุสา) มีไว้ดังนี้
มุสา 9 ประการ
มุตมายา คือ จะให้พ้นภัยจึงมุสา หนึ่ง
ชีวิตมายา คือ จะเอาชีวิตรอดจึงมุสา หนึ่ง
มนุสหิง คือ จะปลดเปลื้องความยากของมนุษย์จึงมุสา หนึ่ง
ชัยสิโน จะเอาชัยชำนะแก่ท่านจึงมุสา หนึ่ง
ยศวาจา เขาบอกความลับแก่ตัวแล้วมีผู้มาถามต้องอำไว้จึงมุสา หนึ่ง
มมลหิยา จะแก้ไขทุกข์ของตัวเราจึงมุสา หนึ่ง
ลับพันรุโน เพื่อจะพรางภรรยาจึงมุสา หนึ่ง
อลิกวจนัง เอาถ้อยคำไม่จริงมาบอกแก่ผู้ถามเพื่อจะเอาความของตัว จึงมุสา หนึ่ง
กุสลลัพภภาคี มีเจตนาอันจะยังโลกทั้งปวงให้ตั้งอยู่ในการกุศลจึงมุสา หนึ่ง
มุสาเก้าประการดังนี้ (
ดูในราชาธิราช)
พูดไปทางหนึ่งนั้น ว่า ถึงเป็นคติ พระมอญ แต่ว่า ธรรมยุตินิกาย ก็กำเนิดมาแต่พระมอญเป็นแบบ ข้าพเจ้าก็จึงว่า
ที่เขาสอนมุสากันมา ทางตำราโบราณแบบนี้ เป็นเลศนัย หรือโจทย์กันทางสติปัญญา แล้วจริง ๆ จะตรวจได้อย่างไร ว่าเป็นการโกหก
เกิดมีการคิด การด่ากัน ว่า พูด ปรมัตถ์ และอภิธรรมเพ้อเจ้อ ความคิดเปลี่ยนแปลงไปว่า ก็ทุกข้อที่คิดได้ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) นั้น เป็นการโกหกทุกทาง (เพราะเป็นความคิด)
คนโกหกอยู่เห็น ๆ เรากลับบอกว่ามีสติปัญญา ? การพ้นภยันตราย ด้วยไม่โกหกเลย เป็นดั่งว่าละเลยการบ่มเพาะปัญญาญาณ สู่การรู้แจ้ง (อย่างนั้นหรือ หนอ ? ทุกข์.. เช่นนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ไม่ชอบการโกหก)
ต่อมามีข้อไขความเพิ่มเติมมาว่า..
แล้วจะเรียนทางสอบถามชาดก อย่างไร ? เพราะคำถามชนิดพาให้ไม่นิยมนับถือ พระพุทธเจ้าสมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์ ไหนจะเรื่องที่มีต่อ จรเข้ ไหนจะเรื่องบนบานสารกล่าวของพระโพธิสัตว์กับต้นไม้รุกขเทพพงไพร จะกลับเป็นว่าถามออกมาอย่างไรแบบนี้ (
ทุมเมธชาดก) ที่ไหนก็นับเป็นอุบายทางสติปัญญา ต้องถือว่า อาจมุ่งที่พุทธวิสัย คงเทียบตามความเข้าใจว่า ทำไมทำร้ายคนเลวพวกนั้น ? แล้วก็เลยไม่นับถือ เรื่องในลักษณะของพระโพธิสัตว์ ที่โบราณยกมาแสดงให้ดู เข้าลักษณะเชียร์มวยรอง พอมวยรองร่วงหล่นพ่ายแพ้ลงแล้วก็เจ็บใจ พาลเกลียดคนชนะซึ่งปฏิบัติตนมาตามทำนองธรรม ที่มุ่งปราบความชั่ว จากนั้นไม่กล้าถามต่อ ก็เลยสรุปว่า เรา ต้องมุ่งบริบท ให้ดี ที่ ว่า เรียนรู้ คือ คง ที่จะเรียน ให้รู้ อย่าไปเรียนให้รัก หรือให้เกลียดอะไรขึ้นมา
ในเรื่องเป็นนักมังสวิรัติเหมือนกัน ในสมัยที่โพธิสัตว์บำเพ็ญอยู่นั้น ก็จะพบว่างดเว้นการกิน ไปต่าง ๆ กินแต่ผลไม้เผือกมัน เรื่องนี้สุดท้ายตอนจบ นักศาสนาฝ่ายนิกายเถรวาทต่างก็ทราบกันดี ว่าสุดท้ายนักกินเนื้อกลับกลายเป็นพระเอกไป เพราะพระเทวทัตไปแตะต้องเรื่องนี้ (พุทธชนที่เป็นมหายาน ก็พาลลงรอยกันไม่ได้กับคนของเถรวาทไปด้วย เพราะเข้าใจไปข้างให้นักกินเนื้อเป็นพระเอกนั้นดูไม่ยุติธรรมซะเลย ถ้าพูดให้มากถึงเรื่องความไม่เบียดเบียน)
“ ในข้อเรื่องนี้ ต้องแก้ หรือเพิ่มเติม ที่หลวงพ่อพูดไว้เก่า (
เมื่อ วันที่ 08 มีนาคม , 2008) นานมาแล้ว และที่พูดใหม่นั้น ในเทศน์วันที่ 28 มิถุนายน 2014 นั่น ท่าน ว่าแล้ว ว่า มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช แล้วมนุษย์พากันกินเลยไป ในเวลาต่อมา (เทปนี้หายไปยังไม่มีในยูทูบ) ”
การที่ท่านพูดใหม่ พูดหลายอย่างหลายคราวด้วยกัน และท่านก็เว้นการฉันเนื้อ มากหลายเวลา และหลายอย่างรายการด้วยกัน (ตรงนี้ไม่ใคร่พูดกัน) แต่แผนกทางเผยแพร่นั้นไปเผยแพร่คำเก่าของท่านอยู่ (เอาเนื้อความเมื่อ ปี 2008 เป็นหลักในการตอบคำถาม ต่อผู้ที่กลัวเรื่องมิจฉาวณิช และการกินเนื้อ ที่ซื้อ หรือค้าขายมาได้ แทนที่เขาจะเลิกหรือระวัง ก็เลย ว่าไปว่า “ ไม่เป็นไร ”) ทางคณะเผยแพร่ไม่ปรับปรุงไปตามที่ท่านพูดออกมาใหม่ ท่านกล่าวข้ออ้างคัมภีร์เถรวาทมา ก็ไม่นำพาไปที่ทางอย่างที่ว่านั้น (พระโลกนาถเป็นภิกษุเถรวาท ใช้ข้ออ้างในเถรวาททั้งนั้นสั่งสอนเรื่องเมตตาธรรม และการไม่รับประทานเนื้อสัตว์อยู่อย่างมากมาย
คลิกลิงค์) ซึ่งน่าจะนำมาประกอบ ซึ่งแต่ละข้อเหตุผลสืบค้นได้ตามพระไตรปิฎกฉบับเถรวาทด้วยดี
เพราะคำสอนของทางเถรวาท ก็สอนชัด ว่าต้องยากมากที่จะกิน เพราะให้สำคัญนั้นว่ากินเนื้อบุตรนั้น ยากมากและสำคัญมาก เทียบเท่าชีวิต ซึ่งถ้าอ่านไปไม่ตลอดก็จะเข้าใจว่า การฆ่ากันมากินนี่เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ควรต้องไประมัดระวัง หรือต้อง ตั้งสำนึกรับผิดชอบอย่างไรอย่างหนึ่ง (
ปุตตมังสสูตร) ซึ่งในเรื่องเด็กน้อย คือลูกน้อยเมื่ออดอาหาร ขาดการบำรุงซะแล้ว ก็เลยตายก่อน พ่อแม่ อาศัยเหตุในที่กันดารนั้น ก็เลยต้องนำพา การกินเนื้อ เพื่อพอให้รอดชีวิตออกไป
ไม่ใช่กินอย่างง่าย ๆ อย่างที่บางส่วนเผยแพร่ แล้วคนที่ฟังก็กินเนื้อต่อไปอย่างไม่คิดอะไรเลย อะไรกัน ก็พระเองหากไม่สำเหนียกตน พิจารณาผิดพลาดขึ้นมา เห็นแก่ความอร่อย ก็ปรับเป็นอาบัติทุกการดื่มกิน ที่ทำเช่นนั้น ได้ยินมาตามที่ศึกษาแล้ว เขาว่าอย่างนี้ โดยบริบทความแล้วข้าพเจ้าต้องแถเถียงไปข้างงดเว้น แล้วก็เว้นเนื้อสัตว์มามากเวลาแล้วด้วยเช่นกัน เพราะเขาฆ่ามาเพื่อผู้บริโภค ก็เราเป็นผู้บริโภค ทำไมจะไม่ใช่ว่าเราจะไม่ผิดเป็นมิจฉาวณิช ที่ว่าไว้ว่า ห้ามค้าสัตว์เป็น แล้วทำไมเขาจะไม่ฆ่ามาเพื่อเรา ก็ในเมื่อเราเป็นผู้บริโภค
เรื่องคำสอนแบบเถรวาทนั้น อยากให้สมาชิกทุกท่านช่วยตรวจและดูว่า ที่พระโลกนาถเผยแพร่การเป็นนักมังสวิรัติตามแนวทางเถรวาทนั้น ท่านสอนผิดถูกอย่างไรหรือไม่ เพราะมีเรื่องราวประวัติที่ประเทศไทยบันทึกไว้ เล่าว่า พระโลกนาถเป็นพระที่เคร่ง ถือเนสัชชิก คือไม่นอน และชอบยอมรับลูกศิษย์ที่เป็นนักมังสวิรัติ แต่ส่วนพระเณรท่านคงไม่ได้บังคับ (
ประวัติพระโลกนาถ)
ข้าพเจ้าว่าเรื่องการเผยแพร่เกี่ยวกับความระวังในการบริโภค (
ปัจจัยสันนิสิตศีล หรือจะโภชเนมัตตัญญุตา อย่างไร) ต่อมาต้องรวมเรื่องใหม่ด้วย เพราะว่าที่หลวงพ่อกล่าวไว้แล้ว ก็เป็นแต่เฉพาะตอนนั้นด้วยเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องหลายปีก่อน
มีคนถามต่อไปว่า หลวงพ่อท่านฉันเนื้อ(ปลา) ตาม แพทย์สั่งคำแนะนำมา ก็นักปฏิบัติในวัดนั้นที่โดนลงโทษ เพราะทำตามแพทย์สั่งคำแนะนำมาเช่นกัน ที่สุดถูกสมาชิกทั้งหมดยินยอมตกลงทำความทอดทิ้งเพราะไม่ถูก และเพราะว่ายังไม่บรรลุธรรมสักอย่าง แต่กลับเชื่อแพทย์และนำคำแนะนำมาปฏิบัติ แพทย์นั้นก็เป็นพระเอกกว่าคนทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเรื่องเดียวกันนี้ ที่จะคิดไปไกลกว่านี้ ก็ไม่ได้ เพราะความแน่ใจเรื่องอาหารการกินนั้น ไม่ตกลงได้เลย ว่าจะให้นักเสียสละกินอยู่และดำรงชีวิตต่อไปอย่างไร
โกหกแล้ว พอใครหลงเชื่อ ก็เรียกทางนั้น ว่า ด้อยปัญญา.. !?#!
พระโพธิสัตว์โกหกจระเข้ อย่างไร?
เรื่องนี้มีมาว่าอย่างนี้ว่า เมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยชาติเป็นลิง ลิงโพธิสัตว์นั้น หลอกจระเข้ว่า หัวใจของตนอยู่ที่ต้นมะเดื่อ จระเข้หลงเชื่อแล้วพ่ายแพ้กลับไป (สุงสุมารชาดก)
เรื่องนี้ฟังอย่างไรไม่ทราบ คงสารูปความว่า พระโพธิสัตว์บำเพ็ญปัญญา แต่ดูยังไง ๆ ก็โกหก จระเข้ (พระเทวทัต) และดูคล้าย กรณีที่มัลลิกาเทวี ด่าราชาโกศลว่าเสพเมถุนแม่แพะ
ต่อมา ต้องถามผู้รู้ ที่จะตอบได้ว่า ลิงโพธิสัตว์ไฉนจึงโกหก ทำความเป็นคารมดังนั้น
ข้าพเจ้าไปได้เรื่องสามเณรพุทธญาณมา (ที่สอนไว้ในหนังสือ ราชาธิราช ประเภทพวกประวัติและตำนานของมอญ) ข้าพเจ้าขอให้ถามหลวงพ่อวัดสามแยก ด้วยกัน
ว่า ที่สามเณรพุทธญาณ ไขความ แสดงเหตุผล อันที่คนจะโกหก (เป็นสติปัญญา ทางธรรม) ไว้เป็นประการต่าง ๆนั้น สมควร จริง (หรือ) ไม่จริง
หรือว่าจะเป็นในทางที่ว่า หากบำเพ็ญปัญญา(ญาณ) ก็ต้องฝึกทาง ทำเล่ห์ สร้างเลศกันและกันต่างๆให้เป็นในทาง โกหก พอใครหลงเชื่อ ก็เรียกทางนั้น ว่า
ด้อยปัญญา.. !?#!
มหาเถรสมมิตรสอนสามเณรพุทธญาณนั้น ว่า เลศ ด้วยการโกหก (มุสา) มีไว้ดังนี้
มุสา 9 ประการ
มุตมายา คือ จะให้พ้นภัยจึงมุสา หนึ่ง
ชีวิตมายา คือ จะเอาชีวิตรอดจึงมุสา หนึ่ง
มนุสหิง คือ จะปลดเปลื้องความยากของมนุษย์จึงมุสา หนึ่ง
ชัยสิโน จะเอาชัยชำนะแก่ท่านจึงมุสา หนึ่ง
ยศวาจา เขาบอกความลับแก่ตัวแล้วมีผู้มาถามต้องอำไว้จึงมุสา หนึ่ง
มมลหิยา จะแก้ไขทุกข์ของตัวเราจึงมุสา หนึ่ง
ลับพันรุโน เพื่อจะพรางภรรยาจึงมุสา หนึ่ง
อลิกวจนัง เอาถ้อยคำไม่จริงมาบอกแก่ผู้ถามเพื่อจะเอาความของตัว จึงมุสา หนึ่ง
กุสลลัพภภาคี มีเจตนาอันจะยังโลกทั้งปวงให้ตั้งอยู่ในการกุศลจึงมุสา หนึ่ง
มุสาเก้าประการดังนี้ (ดูในราชาธิราช)
พูดไปทางหนึ่งนั้น ว่า ถึงเป็นคติ พระมอญ แต่ว่า ธรรมยุตินิกาย ก็กำเนิดมาแต่พระมอญเป็นแบบ ข้าพเจ้าก็จึงว่า
ที่เขาสอนมุสากันมา ทางตำราโบราณแบบนี้ เป็นเลศนัย หรือโจทย์กันทางสติปัญญา แล้วจริง ๆ จะตรวจได้อย่างไร ว่าเป็นการโกหก
เกิดมีการคิด การด่ากัน ว่า พูด ปรมัตถ์ และอภิธรรมเพ้อเจ้อ ความคิดเปลี่ยนแปลงไปว่า ก็ทุกข้อที่คิดได้ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) นั้น เป็นการโกหกทุกทาง (เพราะเป็นความคิด)
คนโกหกอยู่เห็น ๆ เรากลับบอกว่ามีสติปัญญา ? การพ้นภยันตราย ด้วยไม่โกหกเลย เป็นดั่งว่าละเลยการบ่มเพาะปัญญาญาณ สู่การรู้แจ้ง (อย่างนั้นหรือ หนอ ? ทุกข์.. เช่นนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ไม่ชอบการโกหก)
ต่อมามีข้อไขความเพิ่มเติมมาว่า..
แล้วจะเรียนทางสอบถามชาดก อย่างไร ? เพราะคำถามชนิดพาให้ไม่นิยมนับถือ พระพุทธเจ้าสมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์ ไหนจะเรื่องที่มีต่อ จรเข้ ไหนจะเรื่องบนบานสารกล่าวของพระโพธิสัตว์กับต้นไม้รุกขเทพพงไพร จะกลับเป็นว่าถามออกมาอย่างไรแบบนี้ (ทุมเมธชาดก) ที่ไหนก็นับเป็นอุบายทางสติปัญญา ต้องถือว่า อาจมุ่งที่พุทธวิสัย คงเทียบตามความเข้าใจว่า ทำไมทำร้ายคนเลวพวกนั้น ? แล้วก็เลยไม่นับถือ เรื่องในลักษณะของพระโพธิสัตว์ ที่โบราณยกมาแสดงให้ดู เข้าลักษณะเชียร์มวยรอง พอมวยรองร่วงหล่นพ่ายแพ้ลงแล้วก็เจ็บใจ พาลเกลียดคนชนะซึ่งปฏิบัติตนมาตามทำนองธรรม ที่มุ่งปราบความชั่ว จากนั้นไม่กล้าถามต่อ ก็เลยสรุปว่า เรา ต้องมุ่งบริบท ให้ดี ที่ ว่า เรียนรู้ คือ คง ที่จะเรียน ให้รู้ อย่าไปเรียนให้รัก หรือให้เกลียดอะไรขึ้นมา
ในเรื่องเป็นนักมังสวิรัติเหมือนกัน ในสมัยที่โพธิสัตว์บำเพ็ญอยู่นั้น ก็จะพบว่างดเว้นการกิน ไปต่าง ๆ กินแต่ผลไม้เผือกมัน เรื่องนี้สุดท้ายตอนจบ นักศาสนาฝ่ายนิกายเถรวาทต่างก็ทราบกันดี ว่าสุดท้ายนักกินเนื้อกลับกลายเป็นพระเอกไป เพราะพระเทวทัตไปแตะต้องเรื่องนี้ (พุทธชนที่เป็นมหายาน ก็พาลลงรอยกันไม่ได้กับคนของเถรวาทไปด้วย เพราะเข้าใจไปข้างให้นักกินเนื้อเป็นพระเอกนั้นดูไม่ยุติธรรมซะเลย ถ้าพูดให้มากถึงเรื่องความไม่เบียดเบียน)
“ ในข้อเรื่องนี้ ต้องแก้ หรือเพิ่มเติม ที่หลวงพ่อพูดไว้เก่า (เมื่อ วันที่ 08 มีนาคม , 2008) นานมาแล้ว และที่พูดใหม่นั้น ในเทศน์วันที่ 28 มิถุนายน 2014 นั่น ท่าน ว่าแล้ว ว่า มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช แล้วมนุษย์พากันกินเลยไป ในเวลาต่อมา (เทปนี้หายไปยังไม่มีในยูทูบ) ”
การที่ท่านพูดใหม่ พูดหลายอย่างหลายคราวด้วยกัน และท่านก็เว้นการฉันเนื้อ มากหลายเวลา และหลายอย่างรายการด้วยกัน (ตรงนี้ไม่ใคร่พูดกัน) แต่แผนกทางเผยแพร่นั้นไปเผยแพร่คำเก่าของท่านอยู่ (เอาเนื้อความเมื่อ ปี 2008 เป็นหลักในการตอบคำถาม ต่อผู้ที่กลัวเรื่องมิจฉาวณิช และการกินเนื้อ ที่ซื้อ หรือค้าขายมาได้ แทนที่เขาจะเลิกหรือระวัง ก็เลย ว่าไปว่า “ ไม่เป็นไร ”) ทางคณะเผยแพร่ไม่ปรับปรุงไปตามที่ท่านพูดออกมาใหม่ ท่านกล่าวข้ออ้างคัมภีร์เถรวาทมา ก็ไม่นำพาไปที่ทางอย่างที่ว่านั้น (พระโลกนาถเป็นภิกษุเถรวาท ใช้ข้ออ้างในเถรวาททั้งนั้นสั่งสอนเรื่องเมตตาธรรม และการไม่รับประทานเนื้อสัตว์อยู่อย่างมากมาย คลิกลิงค์) ซึ่งน่าจะนำมาประกอบ ซึ่งแต่ละข้อเหตุผลสืบค้นได้ตามพระไตรปิฎกฉบับเถรวาทด้วยดี
เพราะคำสอนของทางเถรวาท ก็สอนชัด ว่าต้องยากมากที่จะกิน เพราะให้สำคัญนั้นว่ากินเนื้อบุตรนั้น ยากมากและสำคัญมาก เทียบเท่าชีวิต ซึ่งถ้าอ่านไปไม่ตลอดก็จะเข้าใจว่า การฆ่ากันมากินนี่เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ควรต้องไประมัดระวัง หรือต้อง ตั้งสำนึกรับผิดชอบอย่างไรอย่างหนึ่ง (ปุตตมังสสูตร) ซึ่งในเรื่องเด็กน้อย คือลูกน้อยเมื่ออดอาหาร ขาดการบำรุงซะแล้ว ก็เลยตายก่อน พ่อแม่ อาศัยเหตุในที่กันดารนั้น ก็เลยต้องนำพา การกินเนื้อ เพื่อพอให้รอดชีวิตออกไป
ไม่ใช่กินอย่างง่าย ๆ อย่างที่บางส่วนเผยแพร่ แล้วคนที่ฟังก็กินเนื้อต่อไปอย่างไม่คิดอะไรเลย อะไรกัน ก็พระเองหากไม่สำเหนียกตน พิจารณาผิดพลาดขึ้นมา เห็นแก่ความอร่อย ก็ปรับเป็นอาบัติทุกการดื่มกิน ที่ทำเช่นนั้น ได้ยินมาตามที่ศึกษาแล้ว เขาว่าอย่างนี้ โดยบริบทความแล้วข้าพเจ้าต้องแถเถียงไปข้างงดเว้น แล้วก็เว้นเนื้อสัตว์มามากเวลาแล้วด้วยเช่นกัน เพราะเขาฆ่ามาเพื่อผู้บริโภค ก็เราเป็นผู้บริโภค ทำไมจะไม่ใช่ว่าเราจะไม่ผิดเป็นมิจฉาวณิช ที่ว่าไว้ว่า ห้ามค้าสัตว์เป็น แล้วทำไมเขาจะไม่ฆ่ามาเพื่อเรา ก็ในเมื่อเราเป็นผู้บริโภค
เรื่องคำสอนแบบเถรวาทนั้น อยากให้สมาชิกทุกท่านช่วยตรวจและดูว่า ที่พระโลกนาถเผยแพร่การเป็นนักมังสวิรัติตามแนวทางเถรวาทนั้น ท่านสอนผิดถูกอย่างไรหรือไม่ เพราะมีเรื่องราวประวัติที่ประเทศไทยบันทึกไว้ เล่าว่า พระโลกนาถเป็นพระที่เคร่ง ถือเนสัชชิก คือไม่นอน และชอบยอมรับลูกศิษย์ที่เป็นนักมังสวิรัติ แต่ส่วนพระเณรท่านคงไม่ได้บังคับ (ประวัติพระโลกนาถ)
ข้าพเจ้าว่าเรื่องการเผยแพร่เกี่ยวกับความระวังในการบริโภค (ปัจจัยสันนิสิตศีล หรือจะโภชเนมัตตัญญุตา อย่างไร) ต่อมาต้องรวมเรื่องใหม่ด้วย เพราะว่าที่หลวงพ่อกล่าวไว้แล้ว ก็เป็นแต่เฉพาะตอนนั้นด้วยเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องหลายปีก่อน
มีคนถามต่อไปว่า หลวงพ่อท่านฉันเนื้อ(ปลา) ตาม แพทย์สั่งคำแนะนำมา ก็นักปฏิบัติในวัดนั้นที่โดนลงโทษ เพราะทำตามแพทย์สั่งคำแนะนำมาเช่นกัน ที่สุดถูกสมาชิกทั้งหมดยินยอมตกลงทำความทอดทิ้งเพราะไม่ถูก และเพราะว่ายังไม่บรรลุธรรมสักอย่าง แต่กลับเชื่อแพทย์และนำคำแนะนำมาปฏิบัติ แพทย์นั้นก็เป็นพระเอกกว่าคนทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเรื่องเดียวกันนี้ ที่จะคิดไปไกลกว่านี้ ก็ไม่ได้ เพราะความแน่ใจเรื่องอาหารการกินนั้น ไม่ตกลงได้เลย ว่าจะให้นักเสียสละกินอยู่และดำรงชีวิตต่อไปอย่างไร