สวัสดีครับเพื่อนๆ ครั้งหนึ่งเมื่อต้นปี ผมเคยโพสกระทู้อัพเดตตัวเองหลังผ่านการออกกำลังกายมา 2 เดือน (จากคนที่ไม่เคยออกกำลังกายหนักๆ อะไรเลย) มาจนถึงตอนนี้ล่วงเลยมาครึ่งปีกว่าๆ แล้วครับ (น่าจะ 8 เดือนได้แล้ว) เลยขออนุญาตมาอัพเดตเพิ่ม และรอบนี้จะขออนุญาตแชร์แนวทางของตัวเองที่ทำให้คนชอบกินทั้งหลายไม่อึดอัดจนเกินไปครับ (แต่ย้ำกว่ายังไงมันก็คงไม่ได้ผลเร็วเท่ากับหลายๆ ท่านที่เปลี่ยนตัวเองไปทานคลีนได้เลยนะครับ เพราะยังไงเรื่องอาหารก็ยังเป็นเรื่องสำคัญในการลดน้ำหนักและเสริมสร้างกล้ามเนื้ออยู่ดี)
เป้าหมายของผมไม่ได้ต้องการมีกล้ามใหญ่หรือบึกบึน แต่ผมต้องการลีนไขมันออกจากร่างให้มากที่สุดและสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาให้พอมองเห็นและดูเฟิร์ม ดูสุขภาพดี ตอนนี้ผมอาจจะยังไม่ถึงเป้าหมายนั้นครับ แต่ที่ได้มานี้ก็มีความสุขดีระดับมากระดับหนึ่งแล้ว เลยอยากจะลองเอาประสบการณ์ของตัวเองมาแชร์ให้เพื่อนๆ สู้ๆ ไปด้วยกันครับ
ขออนุญาตเริ่มแชร์เลยดีกว่านะครับ โดยขั้นแลกมาปรับเปลี่ยนทัศนะคติกันก่อนว่ามีอะไรบ้างที่เราควรปรับครับ
1. จงอย่าหลอกตัวเอง
เลิกหลอกตัวเองไปวันๆ ได้แล้วครับ หากเริ่มมีคนทักว่าคุณอ้วน (ต่อให้เขาจะบอกต่อว่าถึงอ้วนก็น่ารักอะไรก็ตาม) แต่หากคุณอยากผอม คุณต้องเลิกหลอกตัวเองว่าคุณกำลังดูดี เพราะหากคุณยังโอเคกับรูปร่างของคุณในตอนนี้ แสดงว่าคุณยังไม่อยากผอมไปกว่าที่เป็นอยู่ครับ และเมื่อลองลงมือออกกำลังกายแล้ว ข้ออ้างต่างๆ นาๆ ก็จะผุดขึ้นมาในใจคุณ โดยข้ออ้างที่สำคัญที่สุดคือการ "ผลัดวันประกันพรุ่งเพียงเพราะคิดว่าตัวเองยังไม่อ้วนเท่าไหร่" นั่นเอง ดังนั้นข้อแรกสุดเลย คุณจะต้องทะลายกำแพงความคิดที่ว่าคุณยังไม่อ้วนเท่าไหร่ไปก่อน เพราะหากคุณอ้วนแล้ว และคุณยังหลอกตัวเองว่าคุณยังไม่ค่อยอ้วนเท่าไหร่ คุณก็จะไม่มีใจในการลดน้ำหนักได้อย่างสำเร็จครับ และหากไม่เริ่มวันนี้ ประเด็นคือเท่าไหร่ถึงจะเป็นอ้วนมากสำหรับคุณ 80 กิโล? 90 กิโล? หรือต้องมากกว่า 100? จำไว้อย่างหนึ่งว่ายิ่งปล่อยให้นานเท่าไหร่ เอฟฟอร์ตที่ต้องใช้ในการเอามันออกก็จะมากตามเท่านั้นนะครับ
ดังนั้นหากคุณอยากจะเริ่มลดน้ำหนักอย่างจริงจัง บอกตัวเองไปเลย "กรูอ้วนแล้ว" ด่าตัวเองหน้ากระจกไปเลย "ไอ้/อีอ้วน! กรูไม่อยู่กับเมิงไปทั้งชาติแน่ ขอลาขาดภายใน..........เดือน/ปี" ก็ว่ากันไป ย้ำกับตัวเองแบบนี้แหละครับ แล้วเราจะมีไฟในการลดหุ่นเราอย่างถึงที่สุด ความอิดออดก็จะหายไปจากตัวคุณเอง อันนี้เป็นวิธีที่ผมใช้ตอนเริ่ม และได้ผลกับตัวเองครับ
2. ตั้งเป้าหมาย
ตั้งเป้าหมายที่คุณจะไปให้ถึงเอาไว้ โดยผมอยากให้มโนเอาจากรูปร่างที่คุณอยากได้ และไปให้ถึงรูปร่างนั้นครับ ลืมน้ำหนักไปก่อนชั่วคราวก็ได้ ขอเป้าหมายให้ชัดเจนเป็นพอว่าอยากได้รูปร่างแบบไหนเพื่อให้เรามีปลายทางที่ชัดเจน
3. หัวใจที่อดทนเพียงระยะสั้นๆ ก็พอ
คนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลยแล้วมาออกกำลังกายต่างก็กลัวว่าตัวเองไม่สำเร็จแน่เพราะว่าอดทนไม่พอ ขอให้บอกตัวคุณเองว่าคุณทำได้ครับ และจะทำให้ได้ จะทน จะฝืนแบบนี้แค่เดือนเดียวเท่านั้น หลอกจิตใต้สำนึกไปเลยว่าขอแค่เดือนเดียว กล่อมให้จิตใจสำนึกเราสู้ให้ทุกวันๆ เข้า เมื่อครบหนึ่งเดือน คุณจะพบว่าคุณไม่จำเป็นต้องกล่อมจิตใจเพื่อฝืนร่างกายหรือความต้องการของคุณอีกต่อไป เพราะการออกกำลังกายจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่คุณสนุกที่จะทำไปโดยปริยาย และต่อให้หลอกตัวเองไว้ว่าครบหนึ่งเดือน "ก็พอ" เมื่อถึงหนึ่งเดือนจริงคุณก็จะไม่พอและทำต่อไปอย่างสนุกไปกับมันแล้วครับ
4. อย่าห้ามตัวเองไม่ให้กินนั่นกินนี่!
หลายๆ คนบอกว่าการลดน้ำหนักมันยากตรงนี้แหละ ตรงที่ต้องอดกินนั่นกินนี่ พอเจอขออยากกินก็มัวแต่บอกตัวเองว่าอย่านะ...อย่านะ...อย่ากิน จริงๆ แล้วมีงานวิจัยออกมาเรียบร้อยแล้วว่าจิตใต้สำนึกของเราจะไม่รับคำว่า "อย่า" หรืออะไรพวกนี้ ดังนั้นพอคุณพูดกับตัวเองว่า "อย่ากิน" จิตใต้สำนึกของคุณก็จะรับรู้แค่คำว่า "กิน" มันเลยกลายเป็นยิ่งอยาก ยิ่งต้องกิน ยิ่งต้องอัดเข้าไป จบกันพอดี ยิ่งบอก "อย่ากิน" เท่าไหร่ก็กลับต้องมาทรมานเพราะ "อยากกิน" เท่านั้น แบบนี้เราจะฝืนได้สักกี่วันครับ
เปลี่ยนความคิดใหม่ ผมขอให้เปลี่ยนความคิดแบบนี้ให้ได้แค่สักเดือนสองเดือนเท่านั้นเพื่อให้ร่างกายได้เอาของเดิมที่สะสมไว้มานานระบายออกไปบ้าง จากนั้นอยากกินอะไรก็ค่อยปล่อยตัวเองกินตามใจปาก แล้วจะพบว่าถึงตอนนั้นปากตัวเองก็จะกินได้น้อยกว่าตอนนี้เยอะเลยทีเดียวไปโดยปริยาย เอาล่ะ ความคิดใหม่ที่ผมอยากให้เปลี่ยนคือ พอเห็นของที่อยากกิน บอกกับตัวเองเลยว่า "ฮึ้ม! ตรูต้องกินให้ได้ ขอออกกำลังกายอีกสัก 6 วันแล้วจะมากินให้หนำใจ" บอกร่างกายไปเลยครับว่าเราจะกิน ต้องกินให้ได้ แต่เสริมไปหน่อยว่าขอออกกำลังกายก่อนสัก 6 วัน แล้ววันที่ 7 ค่อยมากิน แค่นี้คุณจะลดความอยากกินในตอนนั้นไปได้แบบสุดๆ เลยล่ะครับ
สุดท้ายลองบอกกับตัวเองดูว่า "อีกสองถึงสามเดือนข้างหน้าข้าจะมีความสุขกับการกินของที่อยากทุกอย่าง" เพื่อเป็นการล็อกกระชับเป้าหมายอีกที และเพื่อล่อจิตใต้สำนึกเราให้ไปให้ถึงตรงนั้นได้อย่างมีกำลังใจ ลองทำกันดู
5. เลิกสักทีกับการตั้งข้อแม้โน่นนี่นั่นมากมาย
เลิกไปเลยครับ เลิกการตั้งข้อแม้โน่นนี่นั่นให้ตัวเอง เลิกคำถามที่ว่าออกกำลังกายเวลานี้ดีไหม หรือจะเวลานั้นดี ควรออกที่ไหนดี ฟิตเนสดีไหม? เลิกครับ ยิ่งคุณตั้งข้อแม้ให้ตัวเองน้อยเท่าไหร่ โอกาสที่จะสำเร็จก็มีมากเท่านั้น เช่นหากคุณตั้งข้อแม้เรื่องเวลาให้ตัวเองว่าฉันต้องออกกำลังกายเช้า หากเช้าวันไหนคุณขี้เกียจ คุณก็จะพาลไม่ออกสาย บ่าย เย็น ไปดื้อๆ เลยทั้งๆ ที่มีเวลา ดังนั้นไม่ต้องตั้งให้ตัวเองครับ จะเช้า สาย บ่าย เย็น หรือค่ำ หรือดึก บอกตัวเองเลยว่าเวลาไหนก็ได้ที่อยากทำ ก็ทำซะ แค่นั้นคุณก็จะมีข้ออ้างให้พลาดการออกกำลังกายของคุณน้อยลงเยอะ
6. การออกกำลังกายคือการลงทุน ไม่ใช่การเล่นขายของ
ผมเห็นเพื่อนหลายๆ คนมีความคิดว่าเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย "อย่าเพิ่งซื้อก่อนเลยดีกว่าร้องเท้าออกกำลังกายดีๆ เสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกาย มันจะทำได้สักกี่น้ำกัน เดี๋ยวก็เลิก" ถ้าคุณยังบอกตัวคุณว่าเดี๋ยวก็เลิกแบบนี้ ผมว่าเลิกตั้งแต่วันนี้เลยเถอะครับ จะได้ไม่เสียเวลาทำโน่นนี่นั่นไปกับการออกกำลังกาย
สำหรับผมแล้วการลงทุนกับสิ่งๆ หนึ่งจะทำให้เราโฟกัสกับสิ่งนั้นและเห็นค่ามันมากกว่าการได้มันมาแบบไม่ลงทุนอะไรครับ ดังนั้นจ่ายไปเถอะค่ารองเท้ากีฬาดีๆ (ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณด้วย) ค่าเสื้อผ้าใส่ออกกำลังกาย จ่ายได้ก็จ่ายไป จ่ายไปหนักๆ ให้เรารู้สึกเสียดาย ให้เรารู้สึกว่านี่เราลงทุนเยอะขนาดนี้แล้วเราต้องทำให้ได้ ไม่ใช่คิดแบบก่อนว่าอย่าเพิ่งลงทุนเลยเพราะเดี๋ยวก็ล้มเลิก วิธีนี้เหมือนบังคับตัวเองทางอ้อม แต่ก็ได้ผลจริงๆ นะครับ
7. อย่าไปฟังเสียงนกเสียงกา
หลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นกับคนที่ออกกำลังกายที่มาจากปัจจัยรอบด้านครับ บางทีคุณไม่ได้เป็นคนคาดโทษตัวเองหรอกว่าเดี๋ยวก็ล่ม แต่เป็นคนอื่นที่ตราหน้าคุณไว้แทน ปล่อยไปครับ เสียงพวกนี้คือเสียงอะไร เสียงหมูสับเหรอ อย่าไปใส่ใจมาก ทำให้เขาเงิบ ทำให้เขาเห็น แล้ววันหนึ่งเขาจะมองคุณเป็นตัวอย่างเองครับ (อันนี้เป็นความกดดันส่วนตัว ทั้งเพื่อน ทั้งครอบครัว ทั้งที่ทำงาน พูดกันหมด)
แต่ยังไม่หมดแค่นั้นครับ คนพวกนี้แปลก พอเริ่มเห็นคุณออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องได้สัก 2 เดือน จะเริ่มมีอีกหนึ่งเสียงปรากฏขึ้นมา เป็นเสียงตำหนิว่า "ช่วงนี้ดูโทรมไปนะ" หรือ "เราว่านาย/เธอ ออกกำลังกายแล้วดูแย่ลงนะ" เหมือนเดิมครับ ถ้าเราคิดว่าดีก็ทำไป อย่าไปสนใจฟัง ความจริงของการออกกำลังกายสำหรับคนไขมันเยอะคือ ช่วงที่ไขมันคุณเบิร์นออกไปมากนั้น ร่างกายคุณจะดูซูบและโทรมอย่างที่เขาว่ากันนั่นแหละ แต่มันจะเป็นแบบนั้นไม่ได้นาน เมื่อคุณเริ่มโทนอัพร่างกายของคุณ เริ่มเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แน่นขึ้นมาแทนไขมัน (โดยปกติระหว่างไขมันลดมันจะมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่หลังจากไขมันลดจนลดลงอย่างช้าๆ แล้ว เราก็เน้นเพิ่มกล้ามเนื้อให้มากๆ ขึ้นมาแทนได้) ร่างกายคุณจะดูเฟิร์ม และคำว่าดูโทรม ดูแย่ จะเปลี่ยนเป็นคำว่า "ดูดีขึ้นเยอะ" แทนครับ
พวกนี้เป็นทัศนะคติหลักๆ ที่ผมเปลี่ยนในช่วงเริ่มต้นการออกกำลังกายครับ และผมเชื่อว่ามันได้ผล และทำได้ไม่ยากหากเพื่อนๆ ลองดู เดี๋ยวโพสต่อไปผมจะขออนุญาตแชร์แนวทางการออกกำลังกายและการรับประทานที่ผมได้ทดลองดูกับตัวเองนะครับ
ครึ่งปีกว่าๆ กับการออกกำลังกาย เปลี่ยนมนุษย์มิชลินเป็นคนอีกครั้ง พร้อมแนวทางและทริคให้ลดอย่างมีความสุขไม่ต้องอด
เป้าหมายของผมไม่ได้ต้องการมีกล้ามใหญ่หรือบึกบึน แต่ผมต้องการลีนไขมันออกจากร่างให้มากที่สุดและสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาให้พอมองเห็นและดูเฟิร์ม ดูสุขภาพดี ตอนนี้ผมอาจจะยังไม่ถึงเป้าหมายนั้นครับ แต่ที่ได้มานี้ก็มีความสุขดีระดับมากระดับหนึ่งแล้ว เลยอยากจะลองเอาประสบการณ์ของตัวเองมาแชร์ให้เพื่อนๆ สู้ๆ ไปด้วยกันครับ
ขออนุญาตเริ่มแชร์เลยดีกว่านะครับ โดยขั้นแลกมาปรับเปลี่ยนทัศนะคติกันก่อนว่ามีอะไรบ้างที่เราควรปรับครับ
1. จงอย่าหลอกตัวเอง
เลิกหลอกตัวเองไปวันๆ ได้แล้วครับ หากเริ่มมีคนทักว่าคุณอ้วน (ต่อให้เขาจะบอกต่อว่าถึงอ้วนก็น่ารักอะไรก็ตาม) แต่หากคุณอยากผอม คุณต้องเลิกหลอกตัวเองว่าคุณกำลังดูดี เพราะหากคุณยังโอเคกับรูปร่างของคุณในตอนนี้ แสดงว่าคุณยังไม่อยากผอมไปกว่าที่เป็นอยู่ครับ และเมื่อลองลงมือออกกำลังกายแล้ว ข้ออ้างต่างๆ นาๆ ก็จะผุดขึ้นมาในใจคุณ โดยข้ออ้างที่สำคัญที่สุดคือการ "ผลัดวันประกันพรุ่งเพียงเพราะคิดว่าตัวเองยังไม่อ้วนเท่าไหร่" นั่นเอง ดังนั้นข้อแรกสุดเลย คุณจะต้องทะลายกำแพงความคิดที่ว่าคุณยังไม่อ้วนเท่าไหร่ไปก่อน เพราะหากคุณอ้วนแล้ว และคุณยังหลอกตัวเองว่าคุณยังไม่ค่อยอ้วนเท่าไหร่ คุณก็จะไม่มีใจในการลดน้ำหนักได้อย่างสำเร็จครับ และหากไม่เริ่มวันนี้ ประเด็นคือเท่าไหร่ถึงจะเป็นอ้วนมากสำหรับคุณ 80 กิโล? 90 กิโล? หรือต้องมากกว่า 100? จำไว้อย่างหนึ่งว่ายิ่งปล่อยให้นานเท่าไหร่ เอฟฟอร์ตที่ต้องใช้ในการเอามันออกก็จะมากตามเท่านั้นนะครับ
ดังนั้นหากคุณอยากจะเริ่มลดน้ำหนักอย่างจริงจัง บอกตัวเองไปเลย "กรูอ้วนแล้ว" ด่าตัวเองหน้ากระจกไปเลย "ไอ้/อีอ้วน! กรูไม่อยู่กับเมิงไปทั้งชาติแน่ ขอลาขาดภายใน..........เดือน/ปี" ก็ว่ากันไป ย้ำกับตัวเองแบบนี้แหละครับ แล้วเราจะมีไฟในการลดหุ่นเราอย่างถึงที่สุด ความอิดออดก็จะหายไปจากตัวคุณเอง อันนี้เป็นวิธีที่ผมใช้ตอนเริ่ม และได้ผลกับตัวเองครับ
2. ตั้งเป้าหมาย
ตั้งเป้าหมายที่คุณจะไปให้ถึงเอาไว้ โดยผมอยากให้มโนเอาจากรูปร่างที่คุณอยากได้ และไปให้ถึงรูปร่างนั้นครับ ลืมน้ำหนักไปก่อนชั่วคราวก็ได้ ขอเป้าหมายให้ชัดเจนเป็นพอว่าอยากได้รูปร่างแบบไหนเพื่อให้เรามีปลายทางที่ชัดเจน
3. หัวใจที่อดทนเพียงระยะสั้นๆ ก็พอ
คนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลยแล้วมาออกกำลังกายต่างก็กลัวว่าตัวเองไม่สำเร็จแน่เพราะว่าอดทนไม่พอ ขอให้บอกตัวคุณเองว่าคุณทำได้ครับ และจะทำให้ได้ จะทน จะฝืนแบบนี้แค่เดือนเดียวเท่านั้น หลอกจิตใต้สำนึกไปเลยว่าขอแค่เดือนเดียว กล่อมให้จิตใจสำนึกเราสู้ให้ทุกวันๆ เข้า เมื่อครบหนึ่งเดือน คุณจะพบว่าคุณไม่จำเป็นต้องกล่อมจิตใจเพื่อฝืนร่างกายหรือความต้องการของคุณอีกต่อไป เพราะการออกกำลังกายจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่คุณสนุกที่จะทำไปโดยปริยาย และต่อให้หลอกตัวเองไว้ว่าครบหนึ่งเดือน "ก็พอ" เมื่อถึงหนึ่งเดือนจริงคุณก็จะไม่พอและทำต่อไปอย่างสนุกไปกับมันแล้วครับ
4. อย่าห้ามตัวเองไม่ให้กินนั่นกินนี่!
หลายๆ คนบอกว่าการลดน้ำหนักมันยากตรงนี้แหละ ตรงที่ต้องอดกินนั่นกินนี่ พอเจอขออยากกินก็มัวแต่บอกตัวเองว่าอย่านะ...อย่านะ...อย่ากิน จริงๆ แล้วมีงานวิจัยออกมาเรียบร้อยแล้วว่าจิตใต้สำนึกของเราจะไม่รับคำว่า "อย่า" หรืออะไรพวกนี้ ดังนั้นพอคุณพูดกับตัวเองว่า "อย่ากิน" จิตใต้สำนึกของคุณก็จะรับรู้แค่คำว่า "กิน" มันเลยกลายเป็นยิ่งอยาก ยิ่งต้องกิน ยิ่งต้องอัดเข้าไป จบกันพอดี ยิ่งบอก "อย่ากิน" เท่าไหร่ก็กลับต้องมาทรมานเพราะ "อยากกิน" เท่านั้น แบบนี้เราจะฝืนได้สักกี่วันครับ
เปลี่ยนความคิดใหม่ ผมขอให้เปลี่ยนความคิดแบบนี้ให้ได้แค่สักเดือนสองเดือนเท่านั้นเพื่อให้ร่างกายได้เอาของเดิมที่สะสมไว้มานานระบายออกไปบ้าง จากนั้นอยากกินอะไรก็ค่อยปล่อยตัวเองกินตามใจปาก แล้วจะพบว่าถึงตอนนั้นปากตัวเองก็จะกินได้น้อยกว่าตอนนี้เยอะเลยทีเดียวไปโดยปริยาย เอาล่ะ ความคิดใหม่ที่ผมอยากให้เปลี่ยนคือ พอเห็นของที่อยากกิน บอกกับตัวเองเลยว่า "ฮึ้ม! ตรูต้องกินให้ได้ ขอออกกำลังกายอีกสัก 6 วันแล้วจะมากินให้หนำใจ" บอกร่างกายไปเลยครับว่าเราจะกิน ต้องกินให้ได้ แต่เสริมไปหน่อยว่าขอออกกำลังกายก่อนสัก 6 วัน แล้ววันที่ 7 ค่อยมากิน แค่นี้คุณจะลดความอยากกินในตอนนั้นไปได้แบบสุดๆ เลยล่ะครับ
สุดท้ายลองบอกกับตัวเองดูว่า "อีกสองถึงสามเดือนข้างหน้าข้าจะมีความสุขกับการกินของที่อยากทุกอย่าง" เพื่อเป็นการล็อกกระชับเป้าหมายอีกที และเพื่อล่อจิตใต้สำนึกเราให้ไปให้ถึงตรงนั้นได้อย่างมีกำลังใจ ลองทำกันดู
5. เลิกสักทีกับการตั้งข้อแม้โน่นนี่นั่นมากมาย
เลิกไปเลยครับ เลิกการตั้งข้อแม้โน่นนี่นั่นให้ตัวเอง เลิกคำถามที่ว่าออกกำลังกายเวลานี้ดีไหม หรือจะเวลานั้นดี ควรออกที่ไหนดี ฟิตเนสดีไหม? เลิกครับ ยิ่งคุณตั้งข้อแม้ให้ตัวเองน้อยเท่าไหร่ โอกาสที่จะสำเร็จก็มีมากเท่านั้น เช่นหากคุณตั้งข้อแม้เรื่องเวลาให้ตัวเองว่าฉันต้องออกกำลังกายเช้า หากเช้าวันไหนคุณขี้เกียจ คุณก็จะพาลไม่ออกสาย บ่าย เย็น ไปดื้อๆ เลยทั้งๆ ที่มีเวลา ดังนั้นไม่ต้องตั้งให้ตัวเองครับ จะเช้า สาย บ่าย เย็น หรือค่ำ หรือดึก บอกตัวเองเลยว่าเวลาไหนก็ได้ที่อยากทำ ก็ทำซะ แค่นั้นคุณก็จะมีข้ออ้างให้พลาดการออกกำลังกายของคุณน้อยลงเยอะ
6. การออกกำลังกายคือการลงทุน ไม่ใช่การเล่นขายของ
ผมเห็นเพื่อนหลายๆ คนมีความคิดว่าเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย "อย่าเพิ่งซื้อก่อนเลยดีกว่าร้องเท้าออกกำลังกายดีๆ เสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกาย มันจะทำได้สักกี่น้ำกัน เดี๋ยวก็เลิก" ถ้าคุณยังบอกตัวคุณว่าเดี๋ยวก็เลิกแบบนี้ ผมว่าเลิกตั้งแต่วันนี้เลยเถอะครับ จะได้ไม่เสียเวลาทำโน่นนี่นั่นไปกับการออกกำลังกาย
สำหรับผมแล้วการลงทุนกับสิ่งๆ หนึ่งจะทำให้เราโฟกัสกับสิ่งนั้นและเห็นค่ามันมากกว่าการได้มันมาแบบไม่ลงทุนอะไรครับ ดังนั้นจ่ายไปเถอะค่ารองเท้ากีฬาดีๆ (ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณด้วย) ค่าเสื้อผ้าใส่ออกกำลังกาย จ่ายได้ก็จ่ายไป จ่ายไปหนักๆ ให้เรารู้สึกเสียดาย ให้เรารู้สึกว่านี่เราลงทุนเยอะขนาดนี้แล้วเราต้องทำให้ได้ ไม่ใช่คิดแบบก่อนว่าอย่าเพิ่งลงทุนเลยเพราะเดี๋ยวก็ล้มเลิก วิธีนี้เหมือนบังคับตัวเองทางอ้อม แต่ก็ได้ผลจริงๆ นะครับ
7. อย่าไปฟังเสียงนกเสียงกา
หลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นกับคนที่ออกกำลังกายที่มาจากปัจจัยรอบด้านครับ บางทีคุณไม่ได้เป็นคนคาดโทษตัวเองหรอกว่าเดี๋ยวก็ล่ม แต่เป็นคนอื่นที่ตราหน้าคุณไว้แทน ปล่อยไปครับ เสียงพวกนี้คือเสียงอะไร เสียงหมูสับเหรอ อย่าไปใส่ใจมาก ทำให้เขาเงิบ ทำให้เขาเห็น แล้ววันหนึ่งเขาจะมองคุณเป็นตัวอย่างเองครับ (อันนี้เป็นความกดดันส่วนตัว ทั้งเพื่อน ทั้งครอบครัว ทั้งที่ทำงาน พูดกันหมด)
แต่ยังไม่หมดแค่นั้นครับ คนพวกนี้แปลก พอเริ่มเห็นคุณออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องได้สัก 2 เดือน จะเริ่มมีอีกหนึ่งเสียงปรากฏขึ้นมา เป็นเสียงตำหนิว่า "ช่วงนี้ดูโทรมไปนะ" หรือ "เราว่านาย/เธอ ออกกำลังกายแล้วดูแย่ลงนะ" เหมือนเดิมครับ ถ้าเราคิดว่าดีก็ทำไป อย่าไปสนใจฟัง ความจริงของการออกกำลังกายสำหรับคนไขมันเยอะคือ ช่วงที่ไขมันคุณเบิร์นออกไปมากนั้น ร่างกายคุณจะดูซูบและโทรมอย่างที่เขาว่ากันนั่นแหละ แต่มันจะเป็นแบบนั้นไม่ได้นาน เมื่อคุณเริ่มโทนอัพร่างกายของคุณ เริ่มเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แน่นขึ้นมาแทนไขมัน (โดยปกติระหว่างไขมันลดมันจะมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่หลังจากไขมันลดจนลดลงอย่างช้าๆ แล้ว เราก็เน้นเพิ่มกล้ามเนื้อให้มากๆ ขึ้นมาแทนได้) ร่างกายคุณจะดูเฟิร์ม และคำว่าดูโทรม ดูแย่ จะเปลี่ยนเป็นคำว่า "ดูดีขึ้นเยอะ" แทนครับ
พวกนี้เป็นทัศนะคติหลักๆ ที่ผมเปลี่ยนในช่วงเริ่มต้นการออกกำลังกายครับ และผมเชื่อว่ามันได้ผล และทำได้ไม่ยากหากเพื่อนๆ ลองดู เดี๋ยวโพสต่อไปผมจะขออนุญาตแชร์แนวทางการออกกำลังกายและการรับประทานที่ผมได้ทดลองดูกับตัวเองนะครับ