วันที่ผมพูดความจริง

ประมาณสองปีมาแล้วที่ผมต้องอยู่กับความรู้สึกอึดอัดใจขนาดที่เวลาจะกินก็ไม่อร่อย เวลาจะนอนก็หลับไม่เต็มตา จากปัญหาชีวิตสองเรื่องด้วยกัน

(1)ผมเป็นเกย์

ความสัมพันธ์ของผมกับแจ็ค(นามสมมุติ)เริ่มตั้งแต่สมัยยังเรียนประถมด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่านั่นจะเป็นแค่การเล่นห่ามๆ ตามประสาเด็กผู้ชายหรือเพราะยีนเบี่ยงเบนทางเพศในตัวผม แต่มันก็เป็นความลับที่เราทั้งคู่ไม่เคยบอกหรือแสดงให้คนอื่นรู้ จนกระทั่งสองปีที่แล้ว ผมตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับแจ็คจริงๆ จังๆ (แต่จริงๆ แล้วแจ็คเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน) ผลสรุปคือความรู้สึกของเราสองคนตรงกัน ในตอนนั้นผมรู้ตัวว่ากำลังเลือกทำในสิ่งที่ไม่ควรและไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมยิ่งกว่าการรักร่วมเพศ

(2)แจ็คเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม

หลังจากคืนนั้น ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

.
.
.

เวลาผ่านไปทำให้ผมรู้ว่า การหลอกลวงคนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขส่วนตัวเป็นเรื่องที่เลวร้ายแค่ไหน ยิ่งไม่ใช่ใครอื่นไกลแต่เป็นคนใกล้ชิดรอบตัวที่เราต้องพบเจอพูดคุยอยู่ทุกวัน ทั้งเพื่อน คนรู้จัก ญาติๆ พี่น้อง แม้กระทั่งพ่อแม่

การเลี่ยงบาลีหรือพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวเป็นเล่ห์เหลี่ยมที่ใช้ได้ดีในเวลาที่เราไม่ต้องการบอกความจริง แต่ไม่ใช่กับทุกครั้งเสมอไป คำโกหกจึงเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ เมื่อเราเริ่มต้นโกหกแล้วครั้งหนึ่ง เราก็จำเป็นต้องโกหกต่อไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ความจริงเปิดเผยออกมา  

และบางครั้งเพียงแค่คำโกหกอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ เราจำต้องหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อในคำโกหกของเรามากขึ้น

ตลอดระยะเวลาสองปี ผมโกหกและหลอกลวงคนใกล้ตัวมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแลกกับความสุขส่วนตัว จนบางครั้งผมเผลอคิดไปว่าผมอาจจะหลอกลวงคนอื่นต่อไปได้ตลอดชีวิต เพื่อให้ตัวเองมีความสุข

.
.
.

จนกระทั่งปลายเดือนที่แล้ว ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันคงถึงขีดจำกัด คำโกหก หลอกลวง ความรู้สึกผิดต่างๆ นาๆ ผมแบกรับต่อไปอีกไม่ไหว ไม่อยากรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว ผมตัดสินใจไลน์ไปนัดแจ็คให้ออกมาเจอกันบอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นเวลาห้าทุ่มแล้วก็ตาม

บนสะพานสูงในคืนนั้น ผมระบายทุกอย่างที่เก็บกดมาตลอดสองปีเป็นคำพูด เว้นแค่ประโยคเดียวเท่านั้นที่ติดอยู่ในลำคอ

"เราควรจะหยุดแค่นี้ใช่มั้ย?"

และในใจผมลึกๆ ก็ภาวนาไม่ให้แจ็คพูดมันออกมา

เราจ้องตากันครู่นึง แจ็คโอบตัวเข้ามาสวมกอดผม ก่อนจะพูดขึ้นมาแค่ประโยคเดียวทำให้ผมปล่อยโฮเหมือนคนไม่เคยร้องไห้จนไหล่ของแจ็คเปียก

"บอกทุกคนเถอะ"

.
.
.

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นวันที่เราตัดสินใจว่าจะบอกความจริงกับทุกคนในบ้าน เพราะเป็นวันที่น้ากับน้าผู้ชาย(พ่อกับแม่ของแจ็ค)มาบ้านผม ที่บ้านในวันนั้นจึงมี แม่ น้า น้าผู้ชาย พี่สาว แฟนของพี่สาว แจ็ค แล้วก็ผม ซึ่งผิดจากที่คาดไว้เล็กน้อยเพราะพ่อผมไม่ได้กลับบ้านตามที่ควรจะเป็น ส่วนพี่สาวที่แยกไปอยู่กับแฟนแล้วกลับมาหาแม่ในนั้นพอดี(แต่ผมแอบคิดว่าพี่สาวจงใจเลือกมาวันนี้เพราะรู้ว่าน้าจะมา ด้วยเรื่องธุรกิจขายตรงอะไรสักอย่าง)

หลังทานเที่ยงเสร็จ พวกผู้ใหญ่นั่งคุยกันในห้องรับแขกอย่างเคย ผมกับแจ็คพอช่วยกันล้างจานเสร็จก็ออกไปนั่งสูดอากาศที่สวนหลังบ้าน เตรียมตัวเตรียมใจถึงสิ่งที่เรากำลังจะทำ

สาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาจนอายุสิบแปดผมไม่เคยสั่นขนาดนี้มาก่อน สั่นขนาดที่ไม่ว่าทำยังไงไม่หายสั่น แจ็คดูอาการผมเหมือนจะไม่ไหวจนต้องบอกว่าไว้วันหลังดีกว่ามั้ย แต่ผมปฎิเสธ

เราเดินจับมือกันเข้าไปในห้องรับแขก ผมแอบกังวลแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นเพราะกำลังคุยกันได้ที่ กว่าแม่จะเห็นว่าเราเข้ามาก็ตอนที่เราไปหยุดยืนตรงกลางระหว่างโซฟาทั้งสามตัวแล้ว

เรานั่งลงพร้อมกันแล้วหมอบคลานเข้าไปกราบเท้าของ แม่ผม น้าและน้าผู้ชาย ความเงียบเข้ามาแทนที่ทันที ผมเงยหน้าขึ้นเห็นแม่ทำหน้าประหลาดใจ ส่วนน้ากับน้าผู้ชายมองหน้ากันแบบงงๆ

ผม "แม่ครับ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ชอบผู้หญิง"

แจ็ค "เราคบกันมานานแล้วครับ"

เรา "เรารักกันครับ"

นี่คือคำพูดที่เราเตรียมมาเพื่อพูดต่อหน้าทุกคนในที่นั้น ทีแรกผมอยากจะใช้คำพูดที่ดีกว่านี้ อธิบายเหตุผล บอกเล่าเรื่องราวให้มากกว่านี้ อยากให้แม่และทุกคนเข้าใจ แต่แจ็คบอกว่าอย่าเลย บอกความจริงไปก็พอแล้ว

เมื่อพูดจบ แม่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่สีหน้าไม่ได้บอกว่าแม่กำลังเศร้า หน้าแม่นิ่งเหมือนรูปปั้นแต่ริมฝีปากเม้มจนสั่น ตาที่จ้องมาที่ผมแดงก่ำและรื้นน้ำ ผมสัมผัสได้ว่าแม่ทั้งโกรธ ผิดหวัง อับอาย เสียใจ ผมทนสู้หน้าแม่ไม่ไหวจนต้องก้มหน้าลง แอบเหลือบมองน้าที่กำลังมองแม่อย่างกังวล ยกแขนเหมือนจะจับหรือแตะตัวแม่แต่ก็แค่ยกค้างไว้ น้าเรียกชื่อสองสามครั้งเบาๆ ไม่เต็มคำ น้าผู้ชายสีหน้าถทึงเหมือนอยากจะบีบแจ็คให้ตายอยู่ตรงนี้

แจ็คก็คงเห็นเหมือนผม แต่นี่คือสิ่งที่สมควรจะได้รับจากความเห็นแก่ตัวที่เลวร้ายของเราทั้งคู่

เราตกลงกันแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะโดนดุด่ายังไงหรืออาจถึงขั้นลงไม้ลงมือ ก็จะนั่งอยู่แบบนี้รับผลของทุกอย่างด้วยกัน

มือของเราที่กุมกันอยู่ชื้นเหงื่อจนชุ่มฝ่ามือ ทั้งที่แอร์ในห้องเย็นจนหนาว  

"กูจะขึ้นไปนอน"

เสียงแม่ทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดไม่กี่นาทีนั้นลง ผมเงยหน้าแต่แม่ไม่มองมาที่ผมแล้ว แม่ยันตัวเองขึ้นจากโซฟาจนตัวเซ พี่สาวกับน้าเข้าไปช่วยกันประคองพาแม่ขึ้นชั้นสองไป ผมอยากลุกไปช่วยแต่ตัวแข็งเกร็งจนไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้ว

"เรื่องนี้ไปคุยกันที่บ้าน" เสียงแข็งกร้าว สายตาดุดัน ไม่เหลือเค้าของน้าผู้ชายใจดีที่ผมเคยได้เห็นเสมอมา ผมรู้สึกเหมือนจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว

"ปล่อย" น้าผู้ชายหิ้วปีกแจ็คให้ลุกขึ้นจนผมรู้สึกได้ถึงแรงกระชาก เหมือนแจ็คพยายามฝืนแต่สู้แรงไม่ได้ มือของเราหลุดออกจากกัน แล้วน้าผู้ชายก็พาแจ็คออกไป ทิ้งไว้แค่ผมกับแฟนพี่สาวและความเงียบ

สักพักเดียวน้ากับพี่สาวก็ลงมา พี่สาวบอกแฟนว่าแม่กินยาหลับไปแล้ว น้าบอกลาพี่สาวขอตัวกลับ ผมอุปทานเห็นน้าปรายหางตามาที่ผมแว่บหนึ่ง สายตาเหมือนมองอะไรบางอย่างที่น่ารังเกียจ  

ผมก้มหน้าลงน้ำตาไหลอาบแก้ม กลั้นสะอื้นจนเจ็บไปทั้งอก

.
.
.

พี่สาวเริ่มถาม "ไปไงมาไง ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"

"ตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เพิ่งมาคบจริงจังกันตอนม.ปลายครับ" ผมตอบทั้งที่ก้มหน้าและยังไม่หยุดร้องไห้ดี

"ก็รู้อยู่นะว่าสนิทกันมากแต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้ แล้วจะนั่งแบบนั้นไปอีกนานมั้ย ขึ้นมานั่งบนนี้ดีๆ"

ผมส่ายหน้าแต่โดนพี่สาวเอ็ดว่า อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ มาคุยกันดีๆ ให้รู้เรื่องหน่อย

ผมขยับตัวขึ้นมานั่งบนโซฟาแต่ยังก้มหน้าอยู่

"เราเป็นเกย์จริงๆ น่ะเหรอ แค่ตามแฟชั่นรึเปล่า สมัยนี้ผมเห็นวัยรุ่นเค้านิยมนะเรื่องแบบนี้ อย่างในเรื่องฮอร์โมน" แฟนพี่สาวถามบ้าง

"ผมไม่รู้ แต่ผมไม่เคยชอบหรือรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงเลย"

"แล้วทำไมต้องแจ็ค? คนอื่นมีเยอะแยะ นั่นลูกพี่ลูกน้องนะ จะพูดไปก็เหมือนพี่น้องกันนั่นแหละ แจ็คมันก็น้องพี่คนนึง เราคิดแบบนี้ใช้ได้เหรอ?"

"กับผู้ชายคนอื่นก็ไม่เคยครับ กับแจ็คคนเดียว"

การที่ได้พูดอะไรออกมาบ้างมันช่วยได้มากกว่าที่คิด พอน้ำตาหยุดไหลแล้วผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เห็นพี่สาวทำหน้าเหมือนปลงระคนละเหี่ยใจ

"เฮ้ออออ ตามใจนะ ชีวิตตัวเอง จัดการเอาเอง พี่ไม่ชอบจุ้นจ้าน แต่ขออย่างเดียว"

"ระยะนี้ห้ามโผล่หน้าไปให้แม่เห็นเด็ดขาด เสียงก็ห้าม เข้าใจมั้ย?"

ผมพยักหน้ารับปาก ในบรรดาพี่น้องสามคนถึงพี่สาวจะเป็นคนที่ทะเลาะกับแม่บ่อยที่สุด แต่พี่ก็เป็นคนที่เข้าใจแม่มากที่สุด

"แล้วพี่จะค่อยๆ คุยกับแม่เอง"

ผมรู้สึกเหมือนตัวเบาขึ้น

"กังวลก็แต่ ทางบ้านโน้นนั่นล่ะ"

พอเห็นสีหน้ากังวลหนัก ผมรู้สึกกลับมาตัวหนักอึ้งเหมือนเดิม

.
.
.

(ผ่านครึ่งแรกไปแล้วครับ ของีบพักสายตาสักหน่อย เดี๋ยวจะมาลงครึ่งหลังต่อจนจบ)

ปล.สำหรับคนที่อ่านแล้วเกิดสงสัยว่า ผมต้องการอะไรถึงได้กล้าเอาเรื่องของตัวเองมาประจานในบอร์ดสาธารณะแบบนี้ ขอตอบว่า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีผมอาจคิดว่าถ้าได้ระบายออกซะบ้าง ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง คงทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น(สรุปคือทำเพื่อตัวเองนั่นแหละ) และไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นอุทาหรณ์ให้ใครหลายๆ คนที่ยังไม่กล้าบอกกับสังคม ให้เรียนรู้ไว้เป็นตัวอย่างจะได้ไม่ผิดพลาดแบบผม เพราะเรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้จบอย่างมีความสุขอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่