สวัสดีค่ะเพื่อนๆ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกค่ะที่อยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตและการเดินทางของเราค่ะ
ถ้าผิดกฎ หรือผิดพลาดประการใด น้อมรับไปแก้ไขค่ะ
เชื่อว่าหลายคนคงมีความฝัน “ฝัน” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเห็นภาพขณะหลับ
แต่หมายถึงบางสิ่งที่เราต้องการที่จะทำมันให้ได้ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่
ก่อนที่เราจะมาเล่าว่าเราเดินทางจากกรุงเทพ-เพชรบูรณ์ได้อย่างไร เราขอเกริ่น ยาวๆซักนิดนะคะ
ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ เรารู้สึกตลอดว่าที่ที่เราอยู่ยังไม่ใช่ที่ของเรา เรามักจะเป็นคนที่ชอบเดินทางไปไหนต่อไหน
แต่หลายคนบอกว่ามันเป็นการกระทำที่เสี่ยงต่อชีวิตซะจริง เราอาจจะไม่เหมือนหลายๆคนที่อารมณ์เสียระหว่างอยู่บนรถประจำทาง ที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย เรามีความสุขที่ได้นั่งรถนานๆ ได้นั่งรถสายที่ไม่เคยไป ได้ไปนั่งหลับในสนามหลวง นั่งที่ป้ายรถเมล์อนุสาวรีย์ตอนตี 2 ซึ่งมาคิดดูแล้วบางอย่างก็ดูเสี่ยงเกินไปจริงๆล่ะค่ะ
เรามีความคิดอยู่เสมอว่า คนเราจะอยู่ที่ไหนมันก็ตายได้ และเชื่อในความดีของทุกคน ทุกคนลึกๆเราล้วนมาจากคนที่มีจิตใจดี เราจึงใช้ชีวิตแบบนี้ตลอด ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์อะไร
แต่แล้วก็มีมรสุมชีวิตเข้ามา ช่วงนั้นอายุ 22 คนรู้จักที่สนิท และญาติพี่น้องเราเสียชีวิตหลายคน มันทำให้เราฉุกคิดมาอีกครั้งว่า “ชีวิต ช่างสั้นนัก” เราจะทนทำงานจนถึงอายุเท่าไรกัน เราจะทนทำงานจนกระทั่งมีเงินเพื่อรักษาตัวเอง เราจะทนทำงานเพื่อให้วันนึงข้างหน้าเราไม่มีแรงที่จะทำสิ่งที่อยากทำอีกต่อไป อย่างงั้นหรือ????
เราตั้งคำถามกับตัวเองทุกวัน รู้สึกอึดอัดและต่อต้านมาก คิดไปต่างๆนานา
เงินจากไหนล่ะ จะใช้ชีวิตยังไงล่ะ เพราะงานที่เราทำก็ค่อนข้างจะมั่นคง และสังคมในที่ทำงานก็ดีมาก ทุกคนรับรู้และเข้าใจ ครอบครัวเราก็เข้าใจเรามาก บอกเสมอว่าทำอะไรที่อยากจะทำเลย ไม่ห้ามเลย แต่มีแต่แฟนเราเท่านั้นที่พูดถึงอนาคต ว่าควรจะอดทด ทุกคนต้องเจอ เราก็เลยต้องทนทำไปเพราะคิดให้ครอบครัวของแฟนยอมรับด้วย ทั้งๆที่เราก็อธิบายแล้วว่าที่เราไม่อยากทำงาน ไม่ใช่งานไม่ดี แต่เราอยากทำตามฝันเราบ้างเท่านั้น
พอเราฟื้นตัวจากความโศกเศร้าที่มีต่อการสูญเสียคนสำคัญในชีวิต ก็มีคนจากเราไปอีก
เรากลายเป็นคนอมทุกข์ หน้าตาเศร้าหมอง นอนไม่หลับ ไม่มีความสุข ทำให้เราแทบจะนำเงินทั้งหมดไปกับการนั่งรถเล่น
เกือบทุกๆวันหลังเลิกงาน เราก็จะนั่งรถ จากที่ทำงาน(นครปฐม) เข้าไปในเมือง ไปเดินเล่นตลาดนัดบ้าง นั่งหลับในสนามหลวงบ้าง จนดึก ก็จะนั่งแท็กซี่กลับที่ทำงาน
จนมาถึงจุดที่ทำให้เราตัดสินใจได้จริงๆก็คือ
เราเลิกกับแฟนค่ะ รายละเอียดการเลิกกันเราไม่ขอเล่านะคะ เพราะไม่อยากพาดพิงเค้าเท่าไรนัก
จากที่ซึมเศร้าอยู่แล้ว ก็ยิ่งเข้าไปใหญ่ คิดถึงครอบครัว รู้สึกตัวคนเดียว เราเลยตัดสินใจลาออกเลยค่ะ (ความจริงเราก็คิดอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่ด้วยความที่สังคมที่ทำงานดีค่ะ เราก็คิดว่าเราโชคดีมากที่เจอแบบนี้) แต่ครั้งนี้เราเอาจริงค่ะที่จะออก หัวหน้าเลยเรียกเข้าไปคุย
หัวหน้า “ทำไมถึงอยากออกล่ะ”
เรา “หนูพูดตรงๆนะพี่ อยากกลับบ้านค่ะ “
และหัวหน้าเราก็พูดทำนองว่า เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้น ขอให้เราใจเย็น อย่าใจร้อนลาออกเลย เค้าบอกว่าเราทำงานดี และเข้ากับทุกคนที่ทำงานได้ ถ้ามีคนใหม่เข้ามาก็ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างเรามั้ย เราก็ยืนยันที่จะลาออก เค้าเลยพูดต่อว่า
หัวหน้า “ถ้าออมอยากกลับบ้าน กลับเลยอยากกลับกี่วันก็กลับ พี่เซ็นต์ให้ แต่อย่าเพิ่งลาออก แล้วค่อยกลับมาให้คำตอบพี่ว่า อยากจะลาออกจากงานจริงมั้ย”
วินาทีนั้นเรานี่ซึ้งใจมาก คิดเลยว่าชีวิตเราโชคดีที่สุดที่เจอแต่คนที่เข้าใจ อีกวันเราจึงลากลับบ้าน ชีวิตเราวนเวียนอยู่ด้วยการกลับบ้าน และไปอยู่กับเพื่อน ช่วงนั้นนี่พิษรักรุนแรงมาก ก็ได้เพื่อนและครอบครัวที่คอยปลอบใจ
ช่วงนั้นความจริงเรามีแผนที่จะไปงานดนตรีที่เพชรบูรณ์ โดยตอนแรกเราคิดว่าอาจจะขับเวสป้าไป หรือไม่ก็ไปกับรถของทางงาน แต่แล้วก็มีพี่ที่สนิทคนนึงซึ่งมีความชอบ และความเชื่อเหมือนกัน คุยกันว่า อยากจะลองปั่นจักรยานไป
ตอนนั้นเราตื่นเต้นมาก รับปากพี่เค้าไปแบบไม่คิดเลยว่า ไป โดยลืมไปทุกอย่างว่า
1. เราไม่มีจักรยาน
2. เราไม่เคยปั่นจักรยานทางไกลเลย แล้วปกติแทบไม่ได้ปั่นจักรยาน
3. เราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สูง157 หนัก40นิดๆ ซึ่งดูผอมแห้งแรงน้อยสุดๆ
แต่ทุกข้อก็จบไปด้วยแค่คำว่า เราทำได้ เราเชื่อว่าเราทำได้
เราเก็บอารมณ์ตื่นเต้นไว้ก่อนพร้อมกับบอกเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ด้วยกันตอนนั้นว่าเราจะปั่นจักรยานไปกับพี่
เพื่อนสาวทำเสียงตกใจเล็กน้อยก่อนจะรับฟังแผนการณ์ที่ไม่มีแผน (งงมั้ย 555) จากนั้นเธอลุกออกไปหาซื้อของกิน
เรารีบโทรหาแม่ และหวังว่าแม่จะอนุญาติกับแผนการบ้าระห่ำนี้ และกะว่าจะยืมจักรยานของพ่อด้วย (พ่อเราปั่นจักรยาน มีแก็งที่บ้าน แต่ไม่ถึงขนาดปั่นจริงจัง เอาแชมป์อะไร )
---คุยโทรศัพท์กับแม่
“แม่ ออมว่าจะยืมจักรยานพ่อ ปั่นไปเพชรบูรณ์นะ”
“กลับบ้านวันไหน”
“เอ่อ แม่หมายถึงกลับบ้านxxxอ่ะเหรอ”
“ใช่กลับบ้านxxx กลับมาวันไหน”
“คงพรุ่งน่ะแม่ วันอังคารเอารถมากรุงเทพ วันพุธเริ่มปั่น วันศุกร์ถึง”
“กลับบ้านวันพรุ่งนี้นะ แม่จะได้บอกพ่อให้เรื่องยืมจักรยาน”
ตอนนั้นเราทึ่งกับคำพูดแม่มาก ถึงแม้ว่าฉันจะอิสระมาตั้งแต่เด็ก แต่การปั่นจักรยานจากกรุงเทพไปเพชรบูรณ์ ด้วยระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และอีกอย่างคือหลังจากงานไม่กี่วัน คืองานรับปริญญาฉัน คนส่วนใหญ่เชื่อเรื่องการไม่เดินทางช่วงที่จะจบการศึกษา
หลังจากนั้นฉันก็ได้คุยโทรศัพท์กับพ่อ
“พ่อยืมจักรยานหน่อยนะปั่นไปเพชรบูรณ์”
“ไปกันกี่คันล่ะ”
“ไม่แน่ใจ น่าจะ3-5 คันมั้ง”
“อืม ปั่นทางไกลมันไม่ได้ง่ายๆนะ เอากระเป๋าข้างด้วยมั้ยเดี๋ยวพ่อติดให้ กลับมาดูเอาละกันว่าจะเอาคันไหนไป”
“...โอเคพ่อ เดี๋ยวค่อยกลับไปคุยกัน”
------เอาเป็นว่า จักรยานพร้อม ครอบครัวพร้อม คนล่ะพร้อมมั้ย???
เพื่อนสาวเรากลับมาพร้อมกับเครื่องลางจีนเล็กแล้วบอกว่า
“เก็บเอาไว้ คนขายบอกว่าอันนี้คุ้มครองไม่ให้เกิดอันตราย” ฉันรับเครื่องลางจีนอันเล็กมา บอกขอบใจ ยังอุตส่าหามาให้
หลังจากนั้นฉันก็ได้ โพสในเพจงานดนตรีเพื่อชักชวนเพื่อนๆที่ไปงานปั่นจักรยานไปกัน ก็มีบางคนเข้ามาตอบประมาณว่า มันเสี่ยงอันตรายเกินไป ที่จะปั่นจักรยานมา แต่ตอนนั้นใจเรามันพร้อมสุดๆ
เมื่อถึงบ้านฉันเลือกจักรยานของพ่อมาคันนึงที่ฉันคิดว่าคงง่ายสำหรับฉันละ พ่อติดกระเป๋าข้างจักรยานเพื่อเป็นที่ใส่สัมภาระระหว่างทาง ทุกอย่างพร้อมแล้ว ฉันเริ่มการเดินทางจากที่บ้านไปที่สถานีรถไฟจังหวัด โดยมีแม่ขับมอเตอร์ไซค์ตามมาทีหลัง ฉันถึงสถานีรถไฟด้วยเหงื่อที่โทรมกาย จนทำให้แม่หัวเราะออกมาแล้วพูดเล่นๆว่านี่แค่ไม่กี่กิโลนะ
สรุปเราเลือกคันสีเหลือง เพราะขนาดเล็กกว่าและมีตะแกรงสำหรับบรรทุกสัมภาระ
มันดูบ้าระห่ำนะที่ฉันตัดสินใจจะปั่นจักรยานข้ามจังหวัดระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร เพราะฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆที่ขาดการออกกำลังกายอย่างหนัก นี่นับเป็นการปั่นจักรยานครั้งแรกในรอบหลายปีด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้อะไรก็ฉุดฉันไม่ได้
เสียงหวูดรถไฟขบวนที่ฉันจะไป ดังมาบ่งบอกว่าฉันต้องไปแล้ว แม่กับฉันกอดกัน
“แม่เชื่อว่าออมทำได้” แม่ให้กำลังใจฉันอีกครั้งก่อนที่ฉันจะนำจักรยานส่งให้นายสถานีนำขึ้นตู้สัมภาระ ฉันโบกมือให้แม่ พร้อมๆกับขบวนรถไฟเคลื่อนที่ไกลออกมา
เอาล่ะ...เริ่มเดินทางได้!!!
ปั่นเปลี่ยนชีวิต กรุงเทพ-เพชรบูรณ์ (การเดินทางด้วยจักรยานครั้งแรก มีแต่ใจไปได้มั้ย???)
ถ้าผิดกฎ หรือผิดพลาดประการใด น้อมรับไปแก้ไขค่ะ
เชื่อว่าหลายคนคงมีความฝัน “ฝัน” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเห็นภาพขณะหลับ
แต่หมายถึงบางสิ่งที่เราต้องการที่จะทำมันให้ได้ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่
ก่อนที่เราจะมาเล่าว่าเราเดินทางจากกรุงเทพ-เพชรบูรณ์ได้อย่างไร เราขอเกริ่น ยาวๆซักนิดนะคะ
ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ เรารู้สึกตลอดว่าที่ที่เราอยู่ยังไม่ใช่ที่ของเรา เรามักจะเป็นคนที่ชอบเดินทางไปไหนต่อไหน
แต่หลายคนบอกว่ามันเป็นการกระทำที่เสี่ยงต่อชีวิตซะจริง เราอาจจะไม่เหมือนหลายๆคนที่อารมณ์เสียระหว่างอยู่บนรถประจำทาง ที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย เรามีความสุขที่ได้นั่งรถนานๆ ได้นั่งรถสายที่ไม่เคยไป ได้ไปนั่งหลับในสนามหลวง นั่งที่ป้ายรถเมล์อนุสาวรีย์ตอนตี 2 ซึ่งมาคิดดูแล้วบางอย่างก็ดูเสี่ยงเกินไปจริงๆล่ะค่ะ
เรามีความคิดอยู่เสมอว่า คนเราจะอยู่ที่ไหนมันก็ตายได้ และเชื่อในความดีของทุกคน ทุกคนลึกๆเราล้วนมาจากคนที่มีจิตใจดี เราจึงใช้ชีวิตแบบนี้ตลอด ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์อะไร
แต่แล้วก็มีมรสุมชีวิตเข้ามา ช่วงนั้นอายุ 22 คนรู้จักที่สนิท และญาติพี่น้องเราเสียชีวิตหลายคน มันทำให้เราฉุกคิดมาอีกครั้งว่า “ชีวิต ช่างสั้นนัก” เราจะทนทำงานจนถึงอายุเท่าไรกัน เราจะทนทำงานจนกระทั่งมีเงินเพื่อรักษาตัวเอง เราจะทนทำงานเพื่อให้วันนึงข้างหน้าเราไม่มีแรงที่จะทำสิ่งที่อยากทำอีกต่อไป อย่างงั้นหรือ????
เราตั้งคำถามกับตัวเองทุกวัน รู้สึกอึดอัดและต่อต้านมาก คิดไปต่างๆนานา
เงินจากไหนล่ะ จะใช้ชีวิตยังไงล่ะ เพราะงานที่เราทำก็ค่อนข้างจะมั่นคง และสังคมในที่ทำงานก็ดีมาก ทุกคนรับรู้และเข้าใจ ครอบครัวเราก็เข้าใจเรามาก บอกเสมอว่าทำอะไรที่อยากจะทำเลย ไม่ห้ามเลย แต่มีแต่แฟนเราเท่านั้นที่พูดถึงอนาคต ว่าควรจะอดทด ทุกคนต้องเจอ เราก็เลยต้องทนทำไปเพราะคิดให้ครอบครัวของแฟนยอมรับด้วย ทั้งๆที่เราก็อธิบายแล้วว่าที่เราไม่อยากทำงาน ไม่ใช่งานไม่ดี แต่เราอยากทำตามฝันเราบ้างเท่านั้น
พอเราฟื้นตัวจากความโศกเศร้าที่มีต่อการสูญเสียคนสำคัญในชีวิต ก็มีคนจากเราไปอีก
เรากลายเป็นคนอมทุกข์ หน้าตาเศร้าหมอง นอนไม่หลับ ไม่มีความสุข ทำให้เราแทบจะนำเงินทั้งหมดไปกับการนั่งรถเล่น
เกือบทุกๆวันหลังเลิกงาน เราก็จะนั่งรถ จากที่ทำงาน(นครปฐม) เข้าไปในเมือง ไปเดินเล่นตลาดนัดบ้าง นั่งหลับในสนามหลวงบ้าง จนดึก ก็จะนั่งแท็กซี่กลับที่ทำงาน
จนมาถึงจุดที่ทำให้เราตัดสินใจได้จริงๆก็คือ
เราเลิกกับแฟนค่ะ รายละเอียดการเลิกกันเราไม่ขอเล่านะคะ เพราะไม่อยากพาดพิงเค้าเท่าไรนัก
จากที่ซึมเศร้าอยู่แล้ว ก็ยิ่งเข้าไปใหญ่ คิดถึงครอบครัว รู้สึกตัวคนเดียว เราเลยตัดสินใจลาออกเลยค่ะ (ความจริงเราก็คิดอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่ด้วยความที่สังคมที่ทำงานดีค่ะ เราก็คิดว่าเราโชคดีมากที่เจอแบบนี้) แต่ครั้งนี้เราเอาจริงค่ะที่จะออก หัวหน้าเลยเรียกเข้าไปคุย
หัวหน้า “ทำไมถึงอยากออกล่ะ”
เรา “หนูพูดตรงๆนะพี่ อยากกลับบ้านค่ะ “
และหัวหน้าเราก็พูดทำนองว่า เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้น ขอให้เราใจเย็น อย่าใจร้อนลาออกเลย เค้าบอกว่าเราทำงานดี และเข้ากับทุกคนที่ทำงานได้ ถ้ามีคนใหม่เข้ามาก็ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างเรามั้ย เราก็ยืนยันที่จะลาออก เค้าเลยพูดต่อว่า
หัวหน้า “ถ้าออมอยากกลับบ้าน กลับเลยอยากกลับกี่วันก็กลับ พี่เซ็นต์ให้ แต่อย่าเพิ่งลาออก แล้วค่อยกลับมาให้คำตอบพี่ว่า อยากจะลาออกจากงานจริงมั้ย”
วินาทีนั้นเรานี่ซึ้งใจมาก คิดเลยว่าชีวิตเราโชคดีที่สุดที่เจอแต่คนที่เข้าใจ อีกวันเราจึงลากลับบ้าน ชีวิตเราวนเวียนอยู่ด้วยการกลับบ้าน และไปอยู่กับเพื่อน ช่วงนั้นนี่พิษรักรุนแรงมาก ก็ได้เพื่อนและครอบครัวที่คอยปลอบใจ
ช่วงนั้นความจริงเรามีแผนที่จะไปงานดนตรีที่เพชรบูรณ์ โดยตอนแรกเราคิดว่าอาจจะขับเวสป้าไป หรือไม่ก็ไปกับรถของทางงาน แต่แล้วก็มีพี่ที่สนิทคนนึงซึ่งมีความชอบ และความเชื่อเหมือนกัน คุยกันว่า อยากจะลองปั่นจักรยานไป
ตอนนั้นเราตื่นเต้นมาก รับปากพี่เค้าไปแบบไม่คิดเลยว่า ไป โดยลืมไปทุกอย่างว่า
1. เราไม่มีจักรยาน
2. เราไม่เคยปั่นจักรยานทางไกลเลย แล้วปกติแทบไม่ได้ปั่นจักรยาน
3. เราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สูง157 หนัก40นิดๆ ซึ่งดูผอมแห้งแรงน้อยสุดๆ
แต่ทุกข้อก็จบไปด้วยแค่คำว่า เราทำได้ เราเชื่อว่าเราทำได้
เราเก็บอารมณ์ตื่นเต้นไว้ก่อนพร้อมกับบอกเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ด้วยกันตอนนั้นว่าเราจะปั่นจักรยานไปกับพี่
เพื่อนสาวทำเสียงตกใจเล็กน้อยก่อนจะรับฟังแผนการณ์ที่ไม่มีแผน (งงมั้ย 555) จากนั้นเธอลุกออกไปหาซื้อของกิน
เรารีบโทรหาแม่ และหวังว่าแม่จะอนุญาติกับแผนการบ้าระห่ำนี้ และกะว่าจะยืมจักรยานของพ่อด้วย (พ่อเราปั่นจักรยาน มีแก็งที่บ้าน แต่ไม่ถึงขนาดปั่นจริงจัง เอาแชมป์อะไร )
---คุยโทรศัพท์กับแม่
“แม่ ออมว่าจะยืมจักรยานพ่อ ปั่นไปเพชรบูรณ์นะ”
“กลับบ้านวันไหน”
“เอ่อ แม่หมายถึงกลับบ้านxxxอ่ะเหรอ”
“ใช่กลับบ้านxxx กลับมาวันไหน”
“คงพรุ่งน่ะแม่ วันอังคารเอารถมากรุงเทพ วันพุธเริ่มปั่น วันศุกร์ถึง”
“กลับบ้านวันพรุ่งนี้นะ แม่จะได้บอกพ่อให้เรื่องยืมจักรยาน”
ตอนนั้นเราทึ่งกับคำพูดแม่มาก ถึงแม้ว่าฉันจะอิสระมาตั้งแต่เด็ก แต่การปั่นจักรยานจากกรุงเทพไปเพชรบูรณ์ ด้วยระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และอีกอย่างคือหลังจากงานไม่กี่วัน คืองานรับปริญญาฉัน คนส่วนใหญ่เชื่อเรื่องการไม่เดินทางช่วงที่จะจบการศึกษา
หลังจากนั้นฉันก็ได้คุยโทรศัพท์กับพ่อ
“พ่อยืมจักรยานหน่อยนะปั่นไปเพชรบูรณ์”
“ไปกันกี่คันล่ะ”
“ไม่แน่ใจ น่าจะ3-5 คันมั้ง”
“อืม ปั่นทางไกลมันไม่ได้ง่ายๆนะ เอากระเป๋าข้างด้วยมั้ยเดี๋ยวพ่อติดให้ กลับมาดูเอาละกันว่าจะเอาคันไหนไป”
“...โอเคพ่อ เดี๋ยวค่อยกลับไปคุยกัน”
------เอาเป็นว่า จักรยานพร้อม ครอบครัวพร้อม คนล่ะพร้อมมั้ย???
เพื่อนสาวเรากลับมาพร้อมกับเครื่องลางจีนเล็กแล้วบอกว่า
“เก็บเอาไว้ คนขายบอกว่าอันนี้คุ้มครองไม่ให้เกิดอันตราย” ฉันรับเครื่องลางจีนอันเล็กมา บอกขอบใจ ยังอุตส่าหามาให้
หลังจากนั้นฉันก็ได้ โพสในเพจงานดนตรีเพื่อชักชวนเพื่อนๆที่ไปงานปั่นจักรยานไปกัน ก็มีบางคนเข้ามาตอบประมาณว่า มันเสี่ยงอันตรายเกินไป ที่จะปั่นจักรยานมา แต่ตอนนั้นใจเรามันพร้อมสุดๆ
เมื่อถึงบ้านฉันเลือกจักรยานของพ่อมาคันนึงที่ฉันคิดว่าคงง่ายสำหรับฉันละ พ่อติดกระเป๋าข้างจักรยานเพื่อเป็นที่ใส่สัมภาระระหว่างทาง ทุกอย่างพร้อมแล้ว ฉันเริ่มการเดินทางจากที่บ้านไปที่สถานีรถไฟจังหวัด โดยมีแม่ขับมอเตอร์ไซค์ตามมาทีหลัง ฉันถึงสถานีรถไฟด้วยเหงื่อที่โทรมกาย จนทำให้แม่หัวเราะออกมาแล้วพูดเล่นๆว่านี่แค่ไม่กี่กิโลนะ
สรุปเราเลือกคันสีเหลือง เพราะขนาดเล็กกว่าและมีตะแกรงสำหรับบรรทุกสัมภาระ
มันดูบ้าระห่ำนะที่ฉันตัดสินใจจะปั่นจักรยานข้ามจังหวัดระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร เพราะฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆที่ขาดการออกกำลังกายอย่างหนัก นี่นับเป็นการปั่นจักรยานครั้งแรกในรอบหลายปีด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้อะไรก็ฉุดฉันไม่ได้
เสียงหวูดรถไฟขบวนที่ฉันจะไป ดังมาบ่งบอกว่าฉันต้องไปแล้ว แม่กับฉันกอดกัน
“แม่เชื่อว่าออมทำได้” แม่ให้กำลังใจฉันอีกครั้งก่อนที่ฉันจะนำจักรยานส่งให้นายสถานีนำขึ้นตู้สัมภาระ ฉันโบกมือให้แม่ พร้อมๆกับขบวนรถไฟเคลื่อนที่ไกลออกมา
เอาล่ะ...เริ่มเดินทางได้!!!