▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
เที่ยวไทย
สถานที่ท่องเที่ยว
บันทึกนักเดินทาง
ท่องเที่ยวผู้สูงอายุ
เรื่องเล่าจากผู้สูงอายุ
Update...เที่ยวเมืองเก่าอยุธยา
หลังจากดูหนังพระนเรศวรมหาราช ดูบุพเพสันนิวาสแล้ว ก็เลยอยากจะดูเมืองเก่าอยุธยาของจริงๆ ชวนเพื่อนๆไปกันได้ 8 คน จะใช้เวลา 2 วันเต็มๆกับเมืองเก่าอยุธยา
ทดลองเดินทางจากหาดใหญ่มากรุงเทพอภิวัฒน์ ด้วยรถไฟด่วนพิเศษทักษิณารัถยา ออก17.45 น. จากชุมทางหาดใหญ่ อาคารสถานที่และการจัดการบริเวณสถานียังดูทึบๆ ห่องน้ำห้องส้วมที่สถานีก็ไม่ค่อยสะดวก ต้องยอมรับว่าสู้สถานีเล็กๆบางสถานีไม่ได้ แต่การให้คำแนะนำและต้อนรับของเจ้าหน้าที่ในสถานีและบนรถไฟค่อนข้างดีครับ บนรถไฟก็สะอาดสะอ้านที่นั่งดูใหม่ทันสมัย ตู้เสบียง อาหารที่บริการก็จัดว่าใช้ได้ แต่ก็อีกห้องน้ำของรถไฟยังดูไม่ค่อยน่าใช้ครับ เจ้าหน้าที่บนรถไฟยิ้มแย้มแจ่มใส ให้บริการไม่ขาดตกบกพร่อง หลับสบายตลอดทางครับ ขบวนที่มาตามกำหนดต้องถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ 8.10 น. แต่ถึงจริง 8.30น.ถือว่ารักษาเวลาได้ดี ราคาปกติเตียงล่าง 1100 บาทเตียงบน 1000 บาท ถือว่าคุ้มค่าถ้ามีเวลา...แต่ขากลับขอกลับเครื่องบินครับ 55
จากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์จะไปอยุธยาก็สะดวกครับมีรถไฟหลายเที่ยวเพราะสถานีอยุธยาเป็นทางผ่านทั้งสายเหนือและสายอีสาน ถ้ารถไฟธรรมดาก็คนละ 20 บาทใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชั่วโมง 30 นาที ถ้าซื้อก่อนก็ได้ตั๋วมีที่นั่งแต่ถ้าซื้อทีหลังก็อาจจะเป็นตั๋วยืน ส่วนรถไฟสปรินเตอร์ราคา 210 บาท เป็นรถนั่งเอนได้มีที่นั่งชัดเจนมีแอร์ พวกเราเดินทางโดยรถไฟธรรมดา มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติทำให้มีผู้โดยสารที่ต้องยืนในขบวนหลายคนเหมือนกัน ดูวิว 2 ข้างทางเพลินๆก็ถึงสถานีรถไฟอยุธยาครับ เป็นสถานีที่สะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบ ตกแต่งเป็นแนว Antique ดูดีครับ
ที่สถานีมีที่ฝากกระเป๋าหยอดเหรียญให้ใช้ เราไม่ได้ใช้บริการเพราะตกลงเช่าจักรยานตรงหน้าสถานีแล้วแบกเป้ไปด้วยกันเลย
อัตราค่าเช่าจักรยาน วันละ 50 บาท ซึ่งก็จะเป็นจักรยานแม่บ้าน น่าจะเป็นมือสองจากญี่ปุ่น ที่ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานได้ดี
เราเริ่มทริปปั่นโดยการปั่นไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านบ้านตะโกราย ร้าน มิชลินสตาร์ ของ อยุธยา อาหารก็อร่อยดีครับโดยเฉพาะ ปลาเค้าลวกจิ้ม ผมให้ 3 ผ่าน
แต่เส้นทางไปร้านนี้ไม่มีเลนจักรยาน และเป็นการปั่นออกนอกเมือง รถราก็เยอะพอสมควรครับ หลังจากนั้นเราก็ปั่นกลับมาในเกาะเมืองไปที่พัก The Warehouse ที่จองมากับ airbnb ระหว่างทางฝนก็ตกปรอยๆ... เฮ้อ
The Warehouse ที่พักของเรา สะอาดสะอ้าน มี ห้องนอน 2 ห้องสำหรับ 8 คน ห้องน้ำ 1 ห้อง
ก็ต้องรอคิวห้องน้ำกันหน่อย..แต่ที่พักก็มีcommon room ให้เรานั่งเม้าท์มอย มีชุดชากาแฟให้เราใช้บริการ การรอห้องน้ำจึงไม่ได้ทำให้น่าเบื่อเลยครับ
ฝนก็ซาๆลงประมาณ 16.30 น. มีคนติดใจที่พักขอบายไม่ออกไปปั่น 1 คน ที่เหลือก็ออกไปปั่นเที่ยว วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ และรอบๆบึงพระราม ส่วนวิหารพระมงคลบพิตร องค์พระนั้นปิดซ่อมอยู่
ได้เข้าไปภายในแต่ก็ไม่ได้เห็นองค์พระ
กลับกันมาที่พักก็ค่ำแล้วเราเลยเลือกทานอาหารเย็นกันที่ห้องอาหารนิมิตดีที่อยู่ตรงข้ามกับที่พักนั่นเอง และไม่ลืมตบท้ายด้วยขนมไทยและไอศกรีมของที่ร้าน...แนะนำเลยครับร้านนี้อาหารอร่อยและไม่แพง ได้กินขนมหวานของไทยด้วยครับ
สรุปการปั่นในวันแรกของเรานะครับ
นอนหลับกันอย่างสบายทั้งคืนและฝนก็ตกทั้งคืนเหมือนกันน..
โชคดีตอนเช้าฝนหยุดตก ทำให้เราได้มีโอกาสปั่นตามแผนโดยเราไปตามเส้นทาง วัดโลกยสุธา อนุสาวรีย์ศรีสุริโยทัย วัดสำเภาล่มและวัดไชยวัฒนาราม ...เส้นทางนี้รถราไม่เยอะครับ และพอดีเป็นช่วงเช้าด้วยก็เลยปั่นกันสบายๆ พวกผมเป็นผู้สูงอายุนะครับเข้าวัดเข้าอุทยานฟรีหมด รู้สึกรักประเทศไทยจริงๆ ได้มีโอกาสเห็นความอลังการของวัดต่างๆทำให้รู้สึกได้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของอยุธยา
เพลิดเพลินกันถึง8.30 เราก็ปั่นกลับมาทานอาหารเช้ากันที่เจี้ยบ ต้มเลือดหมู ก็ไม่ได้มีแต่ต้มเลือดหมู แต่มีอาหารเช้าหลายอย่างครับน้องที่ให้บริการ ดูแลดีแบบมืออาชีพ ต้มเลือดหมูก็รสชาติดีครับหลังจากอิ่มก็ปั่นกลับไป check out และปั่นพร้อมกระเป๋าสัมภาระไปสถานีรถไฟโดยเลือกไปเอาจักรยานลงเรือที่ท่าเรือตลาดเจ้าพรหม จะได้เก็บกิจกรรมให้ครบถ้วนก่อนจะปั่นเก็บเส้นทางในช่วงบ่าย
ส่งเพื่อนที่มีภารกิจต้องกลับก่อน 1 คน ที่เหลือ 7 คนก็ปั่นกันต่อเลือกเส้นทางไป ชม ป้อมเพ็ชร จุดที่อยู่ตรงข้ามวัดพนัญเชิง ตรงสามแยกน้ำวนที่แม่น้ำป่าสักไหลมารวมกับแม่น้ำเจ้าพระยา ตามตำนานของพระนางสร้อยดอกหมากพระเจ้าสายน้ำผึ้ง และตำบลสำเภาล่ม เห็นของจริงแล้วแอบนึกถึงโรมิโอและจูเลียต ตำนานทำให้สรุปได้จริงจังว่าการสื่อสารเป็นเรื่อสำคัญ
ออกจากป้อมเพชรเราปั่นไปที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา แล้วไม่ทันจะถึงฝนก็ตกลงมาอย่างแรง ที่แย่กว่านั้นคือพิพิธภัณฑ์ปิดในวันจันทร์ ...แต่เจ้าหน้าที่ก็มีน้ำใจที่ให้เราเข้าไปพักในที่พักคอยของพิพิธภัณฑ์ และเล่าให้เราฟังว่าพิพิธภัณฑ์อยู่ในช่วงปรับปรุงด้วยตอนนี้เปิดให้บริการแค่อาคารเดียวอีกอาคารอยู่ระหว่างการซ่อมและปรับปรุง...ดูจากพยากรณ์อากาศและสภาพการตรงหน้าเหมือนฝนไม่มีทีท่าจะหยุดเลยครับ เห็นทีต้องยอมแพ้ เราจึงเปลี่ยนแผนเป็นปั่นจักรยานกลับไปคืน แล้วค่อยเช่ารถตุ๊กๆหัวกบพาไปเที่ยวเก็บส่วนต่างๆที่เราวางแผนจะไปกัน ถึงร้านเช่ารถในสภาพเปียกปอนกันทุกคน คืนรถเสร็จก็เหมารถกับร้านเช่าจักรยานนั่นแหละครับจักรยาน 500 บาทกับเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งที่เหลือสำหรับไปหมู่บ้านฮอลันดา หมู่บ้านโปรตุเกส วัดนักบุญยอเซฟ หมู่บ้านญี่ปุ่น และวัดพนัญเชิง
น้องที่เป็นคนขับเป็นคนพื้นถิ่นมีเรื่องเล่าให้เราเยอะเลยครับก็นับว่าตัดสินใจถูกที่ใช้บริการรถเหมา ...ที่รู้สึกพลาดก็คือพอรถเริ่มออกจากเมืองมานิดเดียวฝนก็หยุดตกอย่างหมดจดครับ ก็ประทับใจและได้ประสบการณ์ตรงทั้งจากเรื่องเล่าและสถานที่ รวมทั้งได้นมัสการหลวงพ่อโตเพื่อเป็นศิริมงคลก่อนเดินทางกลับ พร้อมพกความภูมิใจในความเป็นไทยกลับมาเต็มกระเป๋าครับ...
ชื่อสถานที่ในอยุธยาเป็นชื่อที่นำไปเป็นต้นแบบที่กรุงเทพมหานคร หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นชื่อวัด ชื่อท่าน้ำ ชื่อชุมชน ตลอดเวลาที่อยู่อยุธยา ก็เลยรู้สึกคิดถึงและอยากจะไปตามร่องรอยอยุธยาในกรุงเทพฯกันต่อ พบกันครั้งหน้ากับการไปชมชุมชน ริมน้ำเจ้าพระยา ในกรุงเทพฯกันนะครับ
สนใจดูคลิปทริปนี้ กด link ได้เลยครับ