'อาทิตย์'ชี้รัฐประหารเป็นทางออกปท.
"อาทิตย์ อุไรรัตน์" อดีตปธ.รัฐสภา ชี้รัฐประหารเป็นทางออกประเทศ เสวนา "การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ" เห็นควรเพิ่มอำนาจให้ปชช.ลดความเหลื่อมล้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มหาวิทยาลัยรังสิต ได้จัดเวทีเสวนา“ปฏิรูปประเทศไทย”ในหัวข้อ“การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ”โดยมีวิทยากรซึ่งประกอบไปด้วย นายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย , รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายบุญส่ง ชเลธร อาจารย์ประจำวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
โดย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเปิดเสวนาตอนหนึ่งว่า การเสวนาครั้งนี้ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงเล็กน้อยเนื่องอยู่ในช่วงรัฐประหาร แต่เราคิดว่าการรัฐประหารครั้งนี้เป็นทางออกของประเทศ หลังจากที่มีการต่อสู้กันมาหลายเดือนและข้ามปี เมื่อมาถึงจุดนี้ก็ถือว่าเป็นทางออก และครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง คือไม่มีทั้งรถถัง ไม่มีการยึดอำนาจแต่ประกาศด้วยวาจา หลังจากที่ทุกฝ่ายที่ได้เชิญมาตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องขอยึดอำนาจ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทย ต้องมีการปฏิรูป โดยตั้งเป้าว่าสังคมที่จะเกิดขึ้นต้องเป็นสังคมประธรรมาธิปไตย ในรูปของสังคมสวัสดิการ ที่จะนำพาประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมะ เป็นกรอบในการดำเนินชีวิต
ด้านนายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอพูดในฐานะอดีตโฆษกคณะกรรมการปฏิรูป(คปร.) ซึ่งได้เคยเสนอเรื่องการปฏิรูปโครงสร้าง เนื่องจากที่ผ่านมาภาครัฐคอยชี้นำช่วยเหลือภาคประชาชนมาโดยตลอด ทำให้ภาคประชาชนมีความอ่อนแอ คณะปฏิรูปมองว่าปัญหาเกิดจากความเหลื่อมล้ำ ในความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เพราะอำนาจตกอยู่ในมือคนกลุ่มน้อย มีการรวมศูนย์อำนาจรัฐ ทั้งที่ปัจจุบันปัญหาแต่ละท้องที่มีความซับซ้อนไม่เหมือนกัน หากนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ไปก็ใช่ว่าจะแก้ไขได้
“ผมจึงเสนอให้ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน อำนาจรัฐต้องไม่ใช่ลงไปกองที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อเสนอนี้ไม่ใช่การรื้ออำนาจรัฐ แต่จะเป็นการลดอำนาจความเหลื่อมล้ำ ลดภาระปัญหา ทำให้ประชาชนเป็นพลเมือง ที่เข้มแข็งนำไปสู่วิธีการที่แก้ไขได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น นอกจากนี้รัฐบาลควรทำกิจกรรมที่จำเป็น และรักษาความมั่นคงประเทศชาติ โดยยกเลิกการบริหารส่วนภูมิภาค ขณะที่ส่วนกลางมีหน่วยงานในพื้นที่เท่าที่จำเป็น และให้ส่วนท้องถิ่นสามารถจัดการเรื่องของ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมได้เอง โดยไม่ต้องผ่านส่วนกลาง รวมถึงเสริมอำนาจท้องถิ่นโดยเฉพาะอำนาจทางการคลัง และอำนาจในการบริหารจัดการบุคคล” นายพงศ์โพยม กล่าว
อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เมื่อมีข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและท้องถิ่น ก็ให้เป็นหน้าที่ของอนุญาโตตุลาการในการไกล่เกลี่ยเป็นลำดับแรก แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำความขึ้นสู่ศาลปกครอง โดยให้มีการจัดตั้งแผนกคดีท้องถิ่นเป็นการเฉพาะ รวมถึงปฏิรูประบบงานในการจัดการกับตนเอง เช่น การจัดเก็บภาษี อย่างไรก็ตาม การกระจายอำนาจไม่ได้มุ่งที่ท้องถิ่นอย่างเดียว แต่ต้องกระจายไปยังชุมชน บ้าน วัด โรงเรียน ซึ่งข้อเสนอนี้ไม่ได้รื้อความเป็นรัฐเดี่ยวของประเทศไทย แต่เป็นการลดความเหลื่อมล้ำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในวิถีประชาธิปไตย
ขณะที่นายบุญส่ง ชเลธร อาจารย์ประจำวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวตอนหนึ่งว่า อำนาจนิติบัญญัติเป็นลูกไล่ของฝ่ายบริหารมาโดยตลอด เรามีการเสนอกันมานานว่าควรมีการเลือกฝ่ายบริหารโดยตรง ในช่วงหลังจากได้นายกรัฐมนตรีแล้ว ก็มาสู่ขั้นตอนสรรหาคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่ประชาชนกลับไม่มีส่วนร่วมที่จะเลือกครม.ได้ เมื่อถึงตอนนั้นจะได้พวกกลุ่มอิทธิพล กลุ่มนายทุนต่าง ๆ เข้ามาทำงาน ตนเลยอยากเสนอว่าพรรคการเมืองควรอยากได้ใคร จะต้องเสนอชื่อมา ไม่ควรแอบอยู่ข้างหลัง หรือเลือกนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว การเลือกตั้งครั้งต่อไปควรมีการเปิดเผยตัว ให้ประชาชนเลือกรัฐมนตรีได้โดยตรง นอกจากนายกรัฐมนตรีแล้วและต้องแบ่งการเลือกบริหารและนิติบัญญัติออกจากกัน
“ประเทศไทยมีปัญหาหลัก คือ เรื่องความไม่เป็นธรรม และความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยดูจาก 5 มิติ คือ 1.รายได้ และทรัพยากร 2.เรื่องสิทธิของประชาชน 3.เรื่องโอกาสของคนในสังคม 4.อำนาจ และ 5.ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งต้องเริ่มต้นการปฏิรูปเรื่องอำนาจ เพราะอำนาจเป็นที่มาของความไม่เป็นธรรม จึงต้องปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างอำนาจรัฐ อำนาจทุน และอำนาจของประชาชนในทุกกลุ่ม ในสังคมที่ดีต้องมีความสมดุลของอำนาจทั้ง 3 ส่วนนี้ ต้องไม่มีอำนาจใดครอบงำอำนาจใด มีการถ่วงดุลอยู่ตลอดเวลา การแสดงอำนาจใดอำนาจหนึ่งมากเกินไปจะถูกตอบโต้จากอีกอำนาจหนึ่ง ขณะที่ประเทศไทยเคยมีการปกครองแบบเผด็จการมานาน ต่อมาก็เป็นการครอบงำโดยอำนาจทุน จนทำให้รัฐเป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่ม จนเป็นที่มาของการต่อสู้ในปัจจุบัน ดังนั้นการปฏิรูปอำนาจรัฐจึงไม่พอจึงต้องปฏิรูปอำนาจทุน และอำนาจประชาชนพร้อม ๆ กันไป” นายณรงค์ กล่าว
นายณรงค์ กล่าวว่า การปฏิรูปสังคมนั้นเราต้องทำให้อำนาจรัฐ อำนาจทุน อำนาจประชาชนเกื้อกูลกันให้สมดุลซึ่ง มี 3 ขั้นตอนคือ 1.แยกอำนาจรัฐออกจากอำนาจทุน 2.ทำให้อำนาจรัฐเป็นของคนทุกกลุ่ม ทั้งประชาชน นักธุรกิจ และข้าราชการ ไม่เป็นเครื่องมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 3.ทำให้อำนาจของประชาชนมีความเข้มแข็งไม่ด้อยกว่าอำนาจรัฐ และอำนาจทุน ทั้งนี้ การสร้างอำนาจของประชาชนจาก 3 ส่วน คือ 1.เพิ่มอำนาจซื้อของประชาชนให้มีรายได้ มีกรรมสิทธิ์ เน้นที่การปฏิรูปที่ดิน ให้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นของประชาชนทุกคน 2.อำนาจต่อรองต้องให้ผู้บริโภคคนงานมีอำนาจถ่วงดุลต่อรอง 3.อำนาจในการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การบริหารจัดการตัวเอง จึงต้องเพิ่ม 3 อำนาจนี้ให้ประชาชน
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20140603/586285/อาทิตย์ชี้รัฐประหารเป็นทางออกปท..html
'อาทิตย์'ชี้รัฐประหารเป็นทางออกปท. / กรุงเทพธุรกิจ
'อาทิตย์'ชี้รัฐประหารเป็นทางออกปท.
"อาทิตย์ อุไรรัตน์" อดีตปธ.รัฐสภา ชี้รัฐประหารเป็นทางออกประเทศ เสวนา "การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ" เห็นควรเพิ่มอำนาจให้ปชช.ลดความเหลื่อมล้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มหาวิทยาลัยรังสิต ได้จัดเวทีเสวนา“ปฏิรูปประเทศไทย”ในหัวข้อ“การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ”โดยมีวิทยากรซึ่งประกอบไปด้วย นายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย , รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายบุญส่ง ชเลธร อาจารย์ประจำวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
โดย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเปิดเสวนาตอนหนึ่งว่า การเสวนาครั้งนี้ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงเล็กน้อยเนื่องอยู่ในช่วงรัฐประหาร แต่เราคิดว่าการรัฐประหารครั้งนี้เป็นทางออกของประเทศ หลังจากที่มีการต่อสู้กันมาหลายเดือนและข้ามปี เมื่อมาถึงจุดนี้ก็ถือว่าเป็นทางออก และครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง คือไม่มีทั้งรถถัง ไม่มีการยึดอำนาจแต่ประกาศด้วยวาจา หลังจากที่ทุกฝ่ายที่ได้เชิญมาตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องขอยึดอำนาจ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทย ต้องมีการปฏิรูป โดยตั้งเป้าว่าสังคมที่จะเกิดขึ้นต้องเป็นสังคมประธรรมาธิปไตย ในรูปของสังคมสวัสดิการ ที่จะนำพาประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมะ เป็นกรอบในการดำเนินชีวิต
ด้านนายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอพูดในฐานะอดีตโฆษกคณะกรรมการปฏิรูป(คปร.) ซึ่งได้เคยเสนอเรื่องการปฏิรูปโครงสร้าง เนื่องจากที่ผ่านมาภาครัฐคอยชี้นำช่วยเหลือภาคประชาชนมาโดยตลอด ทำให้ภาคประชาชนมีความอ่อนแอ คณะปฏิรูปมองว่าปัญหาเกิดจากความเหลื่อมล้ำ ในความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เพราะอำนาจตกอยู่ในมือคนกลุ่มน้อย มีการรวมศูนย์อำนาจรัฐ ทั้งที่ปัจจุบันปัญหาแต่ละท้องที่มีความซับซ้อนไม่เหมือนกัน หากนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ไปก็ใช่ว่าจะแก้ไขได้
“ผมจึงเสนอให้ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน อำนาจรัฐต้องไม่ใช่ลงไปกองที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อเสนอนี้ไม่ใช่การรื้ออำนาจรัฐ แต่จะเป็นการลดอำนาจความเหลื่อมล้ำ ลดภาระปัญหา ทำให้ประชาชนเป็นพลเมือง ที่เข้มแข็งนำไปสู่วิธีการที่แก้ไขได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น นอกจากนี้รัฐบาลควรทำกิจกรรมที่จำเป็น และรักษาความมั่นคงประเทศชาติ โดยยกเลิกการบริหารส่วนภูมิภาค ขณะที่ส่วนกลางมีหน่วยงานในพื้นที่เท่าที่จำเป็น และให้ส่วนท้องถิ่นสามารถจัดการเรื่องของ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมได้เอง โดยไม่ต้องผ่านส่วนกลาง รวมถึงเสริมอำนาจท้องถิ่นโดยเฉพาะอำนาจทางการคลัง และอำนาจในการบริหารจัดการบุคคล” นายพงศ์โพยม กล่าว
อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เมื่อมีข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและท้องถิ่น ก็ให้เป็นหน้าที่ของอนุญาโตตุลาการในการไกล่เกลี่ยเป็นลำดับแรก แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำความขึ้นสู่ศาลปกครอง โดยให้มีการจัดตั้งแผนกคดีท้องถิ่นเป็นการเฉพาะ รวมถึงปฏิรูประบบงานในการจัดการกับตนเอง เช่น การจัดเก็บภาษี อย่างไรก็ตาม การกระจายอำนาจไม่ได้มุ่งที่ท้องถิ่นอย่างเดียว แต่ต้องกระจายไปยังชุมชน บ้าน วัด โรงเรียน ซึ่งข้อเสนอนี้ไม่ได้รื้อความเป็นรัฐเดี่ยวของประเทศไทย แต่เป็นการลดความเหลื่อมล้ำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในวิถีประชาธิปไตย
ขณะที่นายบุญส่ง ชเลธร อาจารย์ประจำวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวตอนหนึ่งว่า อำนาจนิติบัญญัติเป็นลูกไล่ของฝ่ายบริหารมาโดยตลอด เรามีการเสนอกันมานานว่าควรมีการเลือกฝ่ายบริหารโดยตรง ในช่วงหลังจากได้นายกรัฐมนตรีแล้ว ก็มาสู่ขั้นตอนสรรหาคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่ประชาชนกลับไม่มีส่วนร่วมที่จะเลือกครม.ได้ เมื่อถึงตอนนั้นจะได้พวกกลุ่มอิทธิพล กลุ่มนายทุนต่าง ๆ เข้ามาทำงาน ตนเลยอยากเสนอว่าพรรคการเมืองควรอยากได้ใคร จะต้องเสนอชื่อมา ไม่ควรแอบอยู่ข้างหลัง หรือเลือกนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว การเลือกตั้งครั้งต่อไปควรมีการเปิดเผยตัว ให้ประชาชนเลือกรัฐมนตรีได้โดยตรง นอกจากนายกรัฐมนตรีแล้วและต้องแบ่งการเลือกบริหารและนิติบัญญัติออกจากกัน
“ประเทศไทยมีปัญหาหลัก คือ เรื่องความไม่เป็นธรรม และความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยดูจาก 5 มิติ คือ 1.รายได้ และทรัพยากร 2.เรื่องสิทธิของประชาชน 3.เรื่องโอกาสของคนในสังคม 4.อำนาจ และ 5.ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งต้องเริ่มต้นการปฏิรูปเรื่องอำนาจ เพราะอำนาจเป็นที่มาของความไม่เป็นธรรม จึงต้องปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างอำนาจรัฐ อำนาจทุน และอำนาจของประชาชนในทุกกลุ่ม ในสังคมที่ดีต้องมีความสมดุลของอำนาจทั้ง 3 ส่วนนี้ ต้องไม่มีอำนาจใดครอบงำอำนาจใด มีการถ่วงดุลอยู่ตลอดเวลา การแสดงอำนาจใดอำนาจหนึ่งมากเกินไปจะถูกตอบโต้จากอีกอำนาจหนึ่ง ขณะที่ประเทศไทยเคยมีการปกครองแบบเผด็จการมานาน ต่อมาก็เป็นการครอบงำโดยอำนาจทุน จนทำให้รัฐเป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่ม จนเป็นที่มาของการต่อสู้ในปัจจุบัน ดังนั้นการปฏิรูปอำนาจรัฐจึงไม่พอจึงต้องปฏิรูปอำนาจทุน และอำนาจประชาชนพร้อม ๆ กันไป” นายณรงค์ กล่าว
นายณรงค์ กล่าวว่า การปฏิรูปสังคมนั้นเราต้องทำให้อำนาจรัฐ อำนาจทุน อำนาจประชาชนเกื้อกูลกันให้สมดุลซึ่ง มี 3 ขั้นตอนคือ 1.แยกอำนาจรัฐออกจากอำนาจทุน 2.ทำให้อำนาจรัฐเป็นของคนทุกกลุ่ม ทั้งประชาชน นักธุรกิจ และข้าราชการ ไม่เป็นเครื่องมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 3.ทำให้อำนาจของประชาชนมีความเข้มแข็งไม่ด้อยกว่าอำนาจรัฐ และอำนาจทุน ทั้งนี้ การสร้างอำนาจของประชาชนจาก 3 ส่วน คือ 1.เพิ่มอำนาจซื้อของประชาชนให้มีรายได้ มีกรรมสิทธิ์ เน้นที่การปฏิรูปที่ดิน ให้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นของประชาชนทุกคน 2.อำนาจต่อรองต้องให้ผู้บริโภคคนงานมีอำนาจถ่วงดุลต่อรอง 3.อำนาจในการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การบริหารจัดการตัวเอง จึงต้องเพิ่ม 3 อำนาจนี้ให้ประชาชน
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20140603/586285/อาทิตย์ชี้รัฐประหารเป็นทางออกปท..html