http://www.peopleunitynews.com/web02/2014/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD-%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1/
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - นายพูลเดช กรรณิการ์ ผู้อำนวยการ สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ และคอลัมนิสต์ นสพ.สยามรัฐรายวัน ออกจดหมายเปิดผนึกถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2557 เสนอมาตรการชี้แจงเชิงรุกต่อนานาชาติ ให้ คสช. แต่งตั้งทูตพิเศษเดินสายออกไปชี้แจงต่างชาติและองค์การระหว่างประเทศโดยด่วน ระบุสถานการณ์ในขณะนี้เสียเปรียบมากในระดับสากล ดังนี้
จดหมายเปิดผนึกถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ฉบับที่ 1
วันที่ 3 มิถุนายน 2557
เรื่อง มาตรการชี้แจงเชิงรุกต่อนานาชาติ
เรียน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ผมขอใช้จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ (ซึ่งเจตนาต้องการเผยแพร่ต่อสาธารณะให้รับทราบสถานการณ์ด้วย) เพื่อนำเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะบางประการของผมมายังท่านและ คสช. ทั้งนี้ด้วยความประสงค์ต้องการให้การทำงานของท่านและ คสช. ผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยดี และทำการปัดกวาดชาติบ้านเมืองของเราให้สะอาดปราศจากสิ่งเลวร้ายทั้งปวง นำประเทศชาติและประชาชนไปสู่อนาคตใหม่ดังความประสงค์ของท่านและ คสช. ซึ่งเป็นความปรารถนาของคนไทยทั้งชาติ
ผมขอไม่ใช้ช่องทางอื่นในการนำเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะบางประการของผมมายังท่าน ไม่ว่าจะเป็นการไปยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการต่อท่าน ณ บก.ทบ. รวมทั้งไม่ใช้ช่องทางส่วนตัวผ่านนายทหารระดับสูงหลายคนที่ผมรู้จัก เพราะเห็นว่าช่องทางเหล่านั้นอาจมีความล่าช้าและไม่ทันกับสถานการณ์
สถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้ถือว่า คสช. “เอาอยู่” เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว จะมีก็เพียงความเคลื่อนไหวของ “กากเดน” บางคนของระบอบทักษิณที่พยายามต่อต้าน คสช. ทั้งในรูปแบบการนัดชุมนุมตามสถานที่ต่างๆในกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างข่าวให้สื่อต่างชาตินำไปเผยแพร่ และการต่อต้านในลักษณะใต้ดินเพื่อปลุกระดมคนให้ออกมาต่อต้าน ผมเชื่อว่าแรงกระเพื่อมเหล่านี้ไม่น่าจะเกินกำลังและความสามารถของ คสช. ที่จะทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมือง ทั้งการใช้มาตรการทางทหาร ทางกฎหมาย และการใช้จิตวิทยามวลชนสร้างสรรค์การปรองดองให้เกิดขึ้น
ทว่า สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดของ คสช. ในขณะนี้คือ แรงกดดัน (แรงต้าน) จากประเทศมหาอำนาจและประเทศใหญ่ๆหลายประเทศ ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้เพิ่มระดับความเข้มข้นของแรงกดดันขึ้นเรื่อยๆ นับจากวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ คสช. เข้ายึดอำนาจการบริหารประเทศ
โดยเห็นได้ชัดว่า แรงกดดันจากประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและประเทศใหญ่ๆที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯได้แสดงออกผ่านถ้อยแถลงในลักษณะเป็นคำขู่อย่างชัดเจน เช่น ขู่ว่าหาก คสช. ไม่เร่งจัดการเลือกตั้ง อาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิง ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีหลายสิบประเทศที่พร้อมใจกันออกคำเตือนให้คนในชาติของตนระมัดระวังหรืองดเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างมาก และส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เช่น ด้านการท่องเที่ยว และการลงทุนต่างชาติ
ท่าทีคุกคามอันเปิดเผยของประเทศมหาอำนาจและประเทศใหญ่เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ คสช. จะไม่หวั่นวิตกไม่ได้
ก่อนอื่น คสช. จะต้องไม่เข้าใจผิดว่า นี่เป็นท่าทีปกติของประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่จะต้องแสดงตนออกมาต่อต้านการยึดอำนาจ แต่ คสช. จะต้องตระหนักว่าท่าทีคุกคามของประเทศมหาอำนาจตะวันตกเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวภายใต้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และทีมงาน ดำเนินการมาโดยตลอดในช่วงเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมานับแต่ถูกยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย กำลังได้โอกาสครั้งสำคัญในการทำให้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ต้องถือว่ายุทธศาสตร์นี้เป็นผลดีต่อระบอบทักษิณมาโดยตลอดในระดับหนึ่ง ขณะที่ประเทศไทยและสถาบันสำคัญของประเทศไทยได้รับความเสียหายอย่างหนัก
การยึดอำนาจของ คสช. ครั้งนี้คือสิ่งที่ระบอบทักษิณต้องการอย่างที่สุดภายใต้แผนยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” เพราะเป็นเงื่อนไขให้ระบอบทักษิณใช้เป็นเหตุผลโน้มน้าวและผลักดันให้ประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงประเทศไทยได้อย่างมีรูปธรรมรองรับ
ซึ่งเป้าหมายของยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” มีอยู่ด้วยกัน 2 ระดับ คือ
ระดับที่ 1 หากเกิดความรุนแรงขึ้นอันเป็นผลจากการยึดอำนาจของ คสช. ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ทหารใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมต่อต้านการยึดอำนาจ หรือเกิดการลุกฮือของประชาชนจำนวนมากต่อต้านการยึดอำนาจ กลายเป็นเหตุความวุ่นวายหรือการจลาจล หรือมีกองกำลังภายในประเทศต่อต้านการยึดอำนาจ ระบอบทักษิณก็จะผลักดันให้ประเทศมหาอำนาจและนานาชาติส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาแทรกแซงโดยอ้างว่าเข้ามาเพื่อยุติเหตุความวุ่นวาย และหลังจากนั้นจะผลักดันให้ประเทศมหาอำนาจทำการจัดระเบียบประเทศไทยและกองทัพไทยใหม่ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองการปกครองของประเทศเสียใหม่ โดยอ้างว่าให้เป็นประชาธิปไตย สถาบันสำคัญของชาติจะถูกเปลี่ยนแปลงหรือล้มเลิก เช่น สถาบันพระมหากษัตริย์ ศาล รวมทั้งกองทัพ
แต่จนถึงขณะนี้เป้าหมายนี้ของระบอบทักษิณไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะทหารไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมต่อต้าน เหตุความวุ่นวายหรือการจลาจลไม่เกิดขึ้น และกองกำลังต่อต้านการยึดอำนาจที่เตรียมไว้ก็ถูก คสช. เข้าสลายหมดทั้งกำลังคนและอาวุธ
ระดับที่ 2 ซึ่งเป็นความหวังเดียวของระบอบทักษิณในขณะนี้ที่จะกลับมามีอำนาจทางการเมืองอีกครั้ง คือ การล็อบบี้ให้ประเทศมหาอำนาจรวมถึงองค์การระหว่างประเทศส่งแรงกดดันมายัง คสช. เพื่อบีบให้ คสช. คืนอำนาจและจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ซึ่งระบอบทักษิณเห็นว่ามีแต่การเลือกตั้งโดยเร็วเท่านั้นที่จะทำให้ระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมือง เพราะหากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป คสช. ก็จะทำการปัดกวาดประเทศและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นได้สำเร็จ ระบอบทักษิณก็จะไม่มีโอกาสกลับมามีอำนาจทางการเมืองได้ง่ายอีก
เป้าหมายระดับที่ 2 นี้ยังรวมถึงการให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาควบคุมดูแลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นด้วย เพื่อรับประกันว่าเมื่อระบอบทักษิณชนะการเลือกตั้งจะได้ขึ้นบริหารประเทศ
ตอนนี้ ระบอบทักษิณเหลือโอกาสเดียวในการต่อสู้ คือ ยุทธศาสตร์โลกล้อมไทย ในระดับที่ 2 ซึ่งขณะนี้ระบอบทักษิณกำลังทำงานอย่างหนักให้ประเทศมหาอำนาจกดดัน คสช. ดังที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ และเพื่อให้เป้าหมายในระดับที่ 2 บรรลุผล จะเห็นได้ว่าขณะนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำคนสำคัญของยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” ได้ประกาศที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมา ทั้งนี้เพื่อให้มี “รูปธรรม” แสดงต่อประเทศมหาอำนาจในการเข้าแทรกแซง
นี่จึงเป็นแนวรบที่น่ากลัวที่สุด เพราะเป็นแนวรบสุดท้ายของระบอบทักษิณที่ คสช. ยังตีไม่แตก
ดังนั้น การต่อสู้ในแนวรบนี้จึงมีความสำคัญมาก
แต่สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้คือ คสช. ยังใช้ยุทธวิธีการต่อสู้แบบธรรมดา และใช้บุคลากรธรรมดาในการต่อสู้ กล่าวคือ คสช. ใช้การแถลงข่าวชี้แจงรวมถึงตอบโต้ประเทศมหาอำนาจ การเรียกทูตต่างชาติประจำประเทศไทยมาชี้แจงทำความเข้าใจ การชี้แจงต่อองค์การระหว่างประเทศในไทย การมอบหมายให้ทูตไทยในต่างประเทศชี้แจงกับประเทศต่างๆ การส่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศไปพบกับประธานอาเซียนที่ประเทศพม่าเพื่อชี้แจง การส่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศพร้อมด้วยนายทหารระดับสูงเข้าร่วมประชุมในเวทีหารือด้านความมั่นคงที่ประเทศสิงคโปร์และชี้แจงสถานการณ์ เป็นต้น
ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นวิธีการธรรมดาที่ใช้ปฏิบัติเป็นปกติอยู่แล้วในเวลาที่จำเป็นต้องชี้แจงต่างชาติ ซึ่งถือเป็นมาตรการแบบตั้งรับ ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะระบอบทักษิณกำลังเปิดเกมรุกอย่างหนักในแนวรบสากล
หาก คสช. ยังคงใช้มาตรการแบบตั้งรับเช่นนี้ต่อไป เชื่อแน่ว่าการรุกคืบคุกคามจากประเทศมหาอำนาจจะเข้มข้นยิ่งขึ้น
ดังนั้น ผมจึงขอเสนอแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์และน่าจะได้ผลมากกว่าแก่ท่านและ คสช. ซึ่งเป็นมาตรการเชิงรุก ดังนี้
1.ดำเนินกลยุทธ์ บาลานซ์ ออฟ พาวเวอร์ กับประเทศมหาอำนาจที่ต่อต้าน คสช. ด้วยการไปทำความเข้าใจกับประเทศมหาอำนาจอื่นๆที่มีความเข้าใจและเป็นมิตร
2.ดำเนินกลยุทธ์ บาลานซ์ ออฟ พาวเวอร์ กับประเทศมหาอำนาจที่ต่อต้าน คสช. ด้วยการไปชี้แจงกับประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่ และกลุ่มประเทศความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคง รวมทั้งกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทุกกลุ่ม
3.ไปชี้แจงกับองค์การระหว่างประเทศ ทั้งระดับสากล และภูมิภาค ทั้งองค์กรทางด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชน และอื่นๆ
วิธีการคือ
1.แต่งตั้งทูตพิเศษหรือตัวแทนของ คสช. เดินทางออกไปชี้แจงกับรัฐบาล รัฐสภา ตัวแทนภาคเอกชน รวมถึงสื่อมวลชนของประเทศมหาอำนาจที่กดดันประเทศไทย รวมทั้งประเทศสำคัญๆที่ออกคำเตือน
2.แต่งตั้งทูตพิเศษหรือตัวแทนของ คสช. เดินทางออกไปชี้แจงกับรัฐบาล รัฐสภา ตัวแทนภาคเอกชน รวมถึงสื่อมวลชนของประเทศมหาอำนาจที่มีความเข้าใจและเป็นมิตร
3.แต่งตั้งทูตพิเศษหรือตัวแทนของ คสช. เดินทางออกไปชี้แจงกับรัฐบาล รัฐสภา ตัวแทนภาคเอกชน รวมถึงสื่อมวลชนของประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่ และกลุ่มประเทศความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคง รวมทั้งกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทุกกลุ่ม
4.แต่งตั้งทูตพิเศษหรือตัวแทนของ คสช. เดินทางออกไปชี้แจงกับองค์การระหว่างประเทศ ทั้งระดับสากล และภูมิภาค ทั้งองค์กรทางด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชน และอื่นๆ
5.บุคคลที่ไปเป็นทูตจะต้องไม่ใช่ทหาร แต่จะต้องเป็นบุคคลที่มีเครดิตหรือได้รับความเชื่อถือในระดับนานาชาติหรือในประเทศนั้นๆ และเคยเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญมากกว่าปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความเชื่อถือ
ซึ่งขณะนี้ในคณะที่ปรึกษา คสช. มี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมที่สุดคนหนึ่ง เพราะได้รับความเชื่อถือจากต่างประเทศหลายประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
นอกจากนี้ คสช. จะต้องแต่งตั้งบุคคลอื่นที่มีความเหมาะสมมาเป็นทูตเพิ่มเติม เช่น นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน โดยส่งนายสุรินทร์ไปชี้แจงกับสหประชาชาติ และองค์การระหว่างประเทศในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะองค์การระหว่างประเทศในโลกมุสลิม และกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ คสช. จะต้องเชิญเข้ามาช่วย โดยมอบหมายให้นายศุภชัยเดินทางไปชี้แจงกับองค์การระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจ รวมถึงกลุ่มประเทศเศรษฐกิจ เช่น อียู ธนาคารโลก องค์การการค้าโลก เป็นต้น
อีกคนหนึ่งคือ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ที่ คสช .ต้องเชิญเข้ามาช่วย โดยมอบหมายให้นายสุรเกียรติ์เดินทางไปชี้แจงกับประเทศมหาอำนาจที่ต่อต้าน องค์การระหว่างประเทศทางด้านสิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพ
มาตรการเชิงรุกที่นำเสนอนี้ จะต้องรีบดำเนินการโดยทันที ไม่อาจรอให้มีรัฐบาลใหม่มาดำเนินการได้ เพราะสถานการณ์ในขณะนี้เสียเปรียบมากในระดับสากล
ขอแสดงความนับถือ
นายพูลเดช กรรณิการ์
ผู้อำนวยการ สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้
ข่าว // “บิ๊กสื่อ” ออกจดหมายเปิดผนึกถึง “ประยุทธ์” เสนอมาตรการชี้แจงเชิงรุกต่อต่างชาติ
3 มิถุนายน 2557
14.00 น.
ข่าว // “บิ๊กสื่อ” ออกจดหมายเปิดผนึกถึง “ประยุทธ์” เสนอมาตรการชี้แจงเชิงรุกต่อต่างชาติ
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - นายพูลเดช กรรณิการ์ ผู้อำนวยการ สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ และคอลัมนิสต์ นสพ.สยามรัฐรายวัน ออกจดหมายเปิดผนึกถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2557 เสนอมาตรการชี้แจงเชิงรุกต่อนานาชาติ ให้ คสช. แต่งตั้งทูตพิเศษเดินสายออกไปชี้แจงต่างชาติและองค์การระหว่างประเทศโดยด่วน ระบุสถานการณ์ในขณะนี้เสียเปรียบมากในระดับสากล ดังนี้
จดหมายเปิดผนึกถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ฉบับที่ 1
วันที่ 3 มิถุนายน 2557
เรื่อง มาตรการชี้แจงเชิงรุกต่อนานาชาติ
เรียน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ผมขอใช้จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ (ซึ่งเจตนาต้องการเผยแพร่ต่อสาธารณะให้รับทราบสถานการณ์ด้วย) เพื่อนำเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะบางประการของผมมายังท่านและ คสช. ทั้งนี้ด้วยความประสงค์ต้องการให้การทำงานของท่านและ คสช. ผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยดี และทำการปัดกวาดชาติบ้านเมืองของเราให้สะอาดปราศจากสิ่งเลวร้ายทั้งปวง นำประเทศชาติและประชาชนไปสู่อนาคตใหม่ดังความประสงค์ของท่านและ คสช. ซึ่งเป็นความปรารถนาของคนไทยทั้งชาติ
ผมขอไม่ใช้ช่องทางอื่นในการนำเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะบางประการของผมมายังท่าน ไม่ว่าจะเป็นการไปยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการต่อท่าน ณ บก.ทบ. รวมทั้งไม่ใช้ช่องทางส่วนตัวผ่านนายทหารระดับสูงหลายคนที่ผมรู้จัก เพราะเห็นว่าช่องทางเหล่านั้นอาจมีความล่าช้าและไม่ทันกับสถานการณ์
สถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้ถือว่า คสช. “เอาอยู่” เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว จะมีก็เพียงความเคลื่อนไหวของ “กากเดน” บางคนของระบอบทักษิณที่พยายามต่อต้าน คสช. ทั้งในรูปแบบการนัดชุมนุมตามสถานที่ต่างๆในกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างข่าวให้สื่อต่างชาตินำไปเผยแพร่ และการต่อต้านในลักษณะใต้ดินเพื่อปลุกระดมคนให้ออกมาต่อต้าน ผมเชื่อว่าแรงกระเพื่อมเหล่านี้ไม่น่าจะเกินกำลังและความสามารถของ คสช. ที่จะทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมือง ทั้งการใช้มาตรการทางทหาร ทางกฎหมาย และการใช้จิตวิทยามวลชนสร้างสรรค์การปรองดองให้เกิดขึ้น
ทว่า สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดของ คสช. ในขณะนี้คือ แรงกดดัน (แรงต้าน) จากประเทศมหาอำนาจและประเทศใหญ่ๆหลายประเทศ ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้เพิ่มระดับความเข้มข้นของแรงกดดันขึ้นเรื่อยๆ นับจากวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ คสช. เข้ายึดอำนาจการบริหารประเทศ
โดยเห็นได้ชัดว่า แรงกดดันจากประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและประเทศใหญ่ๆที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯได้แสดงออกผ่านถ้อยแถลงในลักษณะเป็นคำขู่อย่างชัดเจน เช่น ขู่ว่าหาก คสช. ไม่เร่งจัดการเลือกตั้ง อาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิง ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีหลายสิบประเทศที่พร้อมใจกันออกคำเตือนให้คนในชาติของตนระมัดระวังหรืองดเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างมาก และส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เช่น ด้านการท่องเที่ยว และการลงทุนต่างชาติ
ท่าทีคุกคามอันเปิดเผยของประเทศมหาอำนาจและประเทศใหญ่เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ คสช. จะไม่หวั่นวิตกไม่ได้
ก่อนอื่น คสช. จะต้องไม่เข้าใจผิดว่า นี่เป็นท่าทีปกติของประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่จะต้องแสดงตนออกมาต่อต้านการยึดอำนาจ แต่ คสช. จะต้องตระหนักว่าท่าทีคุกคามของประเทศมหาอำนาจตะวันตกเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวภายใต้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และทีมงาน ดำเนินการมาโดยตลอดในช่วงเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมานับแต่ถูกยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย กำลังได้โอกาสครั้งสำคัญในการทำให้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ต้องถือว่ายุทธศาสตร์นี้เป็นผลดีต่อระบอบทักษิณมาโดยตลอดในระดับหนึ่ง ขณะที่ประเทศไทยและสถาบันสำคัญของประเทศไทยได้รับความเสียหายอย่างหนัก
การยึดอำนาจของ คสช. ครั้งนี้คือสิ่งที่ระบอบทักษิณต้องการอย่างที่สุดภายใต้แผนยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” เพราะเป็นเงื่อนไขให้ระบอบทักษิณใช้เป็นเหตุผลโน้มน้าวและผลักดันให้ประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงประเทศไทยได้อย่างมีรูปธรรมรองรับ
ซึ่งเป้าหมายของยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” มีอยู่ด้วยกัน 2 ระดับ คือ
ระดับที่ 1 หากเกิดความรุนแรงขึ้นอันเป็นผลจากการยึดอำนาจของ คสช. ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ทหารใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมต่อต้านการยึดอำนาจ หรือเกิดการลุกฮือของประชาชนจำนวนมากต่อต้านการยึดอำนาจ กลายเป็นเหตุความวุ่นวายหรือการจลาจล หรือมีกองกำลังภายในประเทศต่อต้านการยึดอำนาจ ระบอบทักษิณก็จะผลักดันให้ประเทศมหาอำนาจและนานาชาติส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาแทรกแซงโดยอ้างว่าเข้ามาเพื่อยุติเหตุความวุ่นวาย และหลังจากนั้นจะผลักดันให้ประเทศมหาอำนาจทำการจัดระเบียบประเทศไทยและกองทัพไทยใหม่ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองการปกครองของประเทศเสียใหม่ โดยอ้างว่าให้เป็นประชาธิปไตย สถาบันสำคัญของชาติจะถูกเปลี่ยนแปลงหรือล้มเลิก เช่น สถาบันพระมหากษัตริย์ ศาล รวมทั้งกองทัพ
แต่จนถึงขณะนี้เป้าหมายนี้ของระบอบทักษิณไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะทหารไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมต่อต้าน เหตุความวุ่นวายหรือการจลาจลไม่เกิดขึ้น และกองกำลังต่อต้านการยึดอำนาจที่เตรียมไว้ก็ถูก คสช. เข้าสลายหมดทั้งกำลังคนและอาวุธ
ระดับที่ 2 ซึ่งเป็นความหวังเดียวของระบอบทักษิณในขณะนี้ที่จะกลับมามีอำนาจทางการเมืองอีกครั้ง คือ การล็อบบี้ให้ประเทศมหาอำนาจรวมถึงองค์การระหว่างประเทศส่งแรงกดดันมายัง คสช. เพื่อบีบให้ คสช. คืนอำนาจและจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ซึ่งระบอบทักษิณเห็นว่ามีแต่การเลือกตั้งโดยเร็วเท่านั้นที่จะทำให้ระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมือง เพราะหากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป คสช. ก็จะทำการปัดกวาดประเทศและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นได้สำเร็จ ระบอบทักษิณก็จะไม่มีโอกาสกลับมามีอำนาจทางการเมืองได้ง่ายอีก
เป้าหมายระดับที่ 2 นี้ยังรวมถึงการให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาควบคุมดูแลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นด้วย เพื่อรับประกันว่าเมื่อระบอบทักษิณชนะการเลือกตั้งจะได้ขึ้นบริหารประเทศ
ตอนนี้ ระบอบทักษิณเหลือโอกาสเดียวในการต่อสู้ คือ ยุทธศาสตร์โลกล้อมไทย ในระดับที่ 2 ซึ่งขณะนี้ระบอบทักษิณกำลังทำงานอย่างหนักให้ประเทศมหาอำนาจกดดัน คสช. ดังที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ และเพื่อให้เป้าหมายในระดับที่ 2 บรรลุผล จะเห็นได้ว่าขณะนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำคนสำคัญของยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” ได้ประกาศที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมา ทั้งนี้เพื่อให้มี “รูปธรรม” แสดงต่อประเทศมหาอำนาจในการเข้าแทรกแซง
นี่จึงเป็นแนวรบที่น่ากลัวที่สุด เพราะเป็นแนวรบสุดท้ายของระบอบทักษิณที่ คสช. ยังตีไม่แตก
ดังนั้น การต่อสู้ในแนวรบนี้จึงมีความสำคัญมาก
แต่สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้คือ คสช. ยังใช้ยุทธวิธีการต่อสู้แบบธรรมดา และใช้บุคลากรธรรมดาในการต่อสู้ กล่าวคือ คสช. ใช้การแถลงข่าวชี้แจงรวมถึงตอบโต้ประเทศมหาอำนาจ การเรียกทูตต่างชาติประจำประเทศไทยมาชี้แจงทำความเข้าใจ การชี้แจงต่อองค์การระหว่างประเทศในไทย การมอบหมายให้ทูตไทยในต่างประเทศชี้แจงกับประเทศต่างๆ การส่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศไปพบกับประธานอาเซียนที่ประเทศพม่าเพื่อชี้แจง การส่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศพร้อมด้วยนายทหารระดับสูงเข้าร่วมประชุมในเวทีหารือด้านความมั่นคงที่ประเทศสิงคโปร์และชี้แจงสถานการณ์ เป็นต้น
ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นวิธีการธรรมดาที่ใช้ปฏิบัติเป็นปกติอยู่แล้วในเวลาที่จำเป็นต้องชี้แจงต่างชาติ ซึ่งถือเป็นมาตรการแบบตั้งรับ ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะระบอบทักษิณกำลังเปิดเกมรุกอย่างหนักในแนวรบสากล
หาก คสช. ยังคงใช้มาตรการแบบตั้งรับเช่นนี้ต่อไป เชื่อแน่ว่าการรุกคืบคุกคามจากประเทศมหาอำนาจจะเข้มข้นยิ่งขึ้น
ดังนั้น ผมจึงขอเสนอแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์และน่าจะได้ผลมากกว่าแก่ท่านและ คสช. ซึ่งเป็นมาตรการเชิงรุก ดังนี้
1.ดำเนินกลยุทธ์ บาลานซ์ ออฟ พาวเวอร์ กับประเทศมหาอำนาจที่ต่อต้าน คสช. ด้วยการไปทำความเข้าใจกับประเทศมหาอำนาจอื่นๆที่มีความเข้าใจและเป็นมิตร
2.ดำเนินกลยุทธ์ บาลานซ์ ออฟ พาวเวอร์ กับประเทศมหาอำนาจที่ต่อต้าน คสช. ด้วยการไปชี้แจงกับประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่ และกลุ่มประเทศความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคง รวมทั้งกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทุกกลุ่ม
3.ไปชี้แจงกับองค์การระหว่างประเทศ ทั้งระดับสากล และภูมิภาค ทั้งองค์กรทางด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชน และอื่นๆ
วิธีการคือ
1.แต่งตั้งทูตพิเศษหรือตัวแทนของ คสช. เดินทางออกไปชี้แจงกับรัฐบาล รัฐสภา ตัวแทนภาคเอกชน รวมถึงสื่อมวลชนของประเทศมหาอำนาจที่กดดันประเทศไทย รวมทั้งประเทศสำคัญๆที่ออกคำเตือน
2.แต่งตั้งทูตพิเศษหรือตัวแทนของ คสช. เดินทางออกไปชี้แจงกับรัฐบาล รัฐสภา ตัวแทนภาคเอกชน รวมถึงสื่อมวลชนของประเทศมหาอำนาจที่มีความเข้าใจและเป็นมิตร
3.แต่งตั้งทูตพิเศษหรือตัวแทนของ คสช. เดินทางออกไปชี้แจงกับรัฐบาล รัฐสภา ตัวแทนภาคเอกชน รวมถึงสื่อมวลชนของประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่ และกลุ่มประเทศความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคง รวมทั้งกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทุกกลุ่ม
4.แต่งตั้งทูตพิเศษหรือตัวแทนของ คสช. เดินทางออกไปชี้แจงกับองค์การระหว่างประเทศ ทั้งระดับสากล และภูมิภาค ทั้งองค์กรทางด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชน และอื่นๆ
5.บุคคลที่ไปเป็นทูตจะต้องไม่ใช่ทหาร แต่จะต้องเป็นบุคคลที่มีเครดิตหรือได้รับความเชื่อถือในระดับนานาชาติหรือในประเทศนั้นๆ และเคยเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญมากกว่าปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความเชื่อถือ
ซึ่งขณะนี้ในคณะที่ปรึกษา คสช. มี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมที่สุดคนหนึ่ง เพราะได้รับความเชื่อถือจากต่างประเทศหลายประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
นอกจากนี้ คสช. จะต้องแต่งตั้งบุคคลอื่นที่มีความเหมาะสมมาเป็นทูตเพิ่มเติม เช่น นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน โดยส่งนายสุรินทร์ไปชี้แจงกับสหประชาชาติ และองค์การระหว่างประเทศในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะองค์การระหว่างประเทศในโลกมุสลิม และกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ คสช. จะต้องเชิญเข้ามาช่วย โดยมอบหมายให้นายศุภชัยเดินทางไปชี้แจงกับองค์การระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจ รวมถึงกลุ่มประเทศเศรษฐกิจ เช่น อียู ธนาคารโลก องค์การการค้าโลก เป็นต้น
อีกคนหนึ่งคือ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ที่ คสช .ต้องเชิญเข้ามาช่วย โดยมอบหมายให้นายสุรเกียรติ์เดินทางไปชี้แจงกับประเทศมหาอำนาจที่ต่อต้าน องค์การระหว่างประเทศทางด้านสิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพ
มาตรการเชิงรุกที่นำเสนอนี้ จะต้องรีบดำเนินการโดยทันที ไม่อาจรอให้มีรัฐบาลใหม่มาดำเนินการได้ เพราะสถานการณ์ในขณะนี้เสียเปรียบมากในระดับสากล
ขอแสดงความนับถือ
นายพูลเดช กรรณิการ์
ผู้อำนวยการ สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้
ข่าว // “บิ๊กสื่อ” ออกจดหมายเปิดผนึกถึง “ประยุทธ์” เสนอมาตรการชี้แจงเชิงรุกต่อต่างชาติ
3 มิถุนายน 2557
14.00 น.