สถานการณ์ถึงทางตัน เดิมพันหมดหน้าตัก ไม่มีทางลงมากกว่านี้

สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - ในที่สุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ตัดสินใจเลือกการยุบสภาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองและรักษาอาการ “โคม่า” ของรัฐบาลและระบอบทักษิณ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันมาตลอดว่าจะไม่ยุบสภาหรือลาออก

โดยเมื่อเวลาประมาณ 08.45 น. ของวันที่ 9 ธันวาคม 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าได้ทูลเกล้าฯยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยแล้ว โดย  น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างเหตุผลว่า การยุบสภาเป็นกระบวนการปกติในระบอบประชาธิปไตย และนับแต่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ได้พยายามแก้ไขวิกฤตต่างๆอย่างสุดความสามารถ แต่ประเด็นขัดแย้งต่างๆยังคงอยู่ แม้ว่ารัฐบาลได้พยายามสร้างความปรองดองและความเข้าใจ เช่น การตั้งสภาปฏิรูป และล่าสุดได้เสนอให้มีการทำประชามติ แต่พรรคฝ่ายค้านกลับเลือกใช้วิธีการชุมนุมต่อต้านนอกสภา ซึ่งรัฐบาลได้พยายามดำเนินการด้วยความละมุนละม่อมเพราะประเทศเจ็บปวดมามากแล้ว แต่สถานการณ์วันนี้ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่าง ต่างฝ่ายต่างก็อ้างประชาชนจำนวนมาก ดังนั้น การคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ด้วยการยุบสภา จัดการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าคนส่วนใหญ่ต้องการแนวทางไหนก็ให้ประชาชนเลือกทางนั้น

การตัดสินใจยุบสภาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หมายถึงอะไรและจะนำไปสู่อะไรในบริบทของสงครามการเมืองสองขั้วที่ปะทุเป็นสงครามรอบใหม่ในเวลานี้ ซึ่งฝ่ายหนึ่งประกาศว่าจะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย เพื่อกำจัดระบอบทักษิณ

หนึ่ง หมายความว่ารัฐบาลและระบอบทักษิณต้องการให้คนไทยทั้งประเทศและภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลและประชาชนที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด รวมทั้งนานาชาติ เห็นว่า รัฐบาลนั้นได้ยอมถอยให้กับผู้ชุมนุมจนสุดซอยแล้ว โดยไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลกับผู้ชุมนุมจนเสียเลือดเสีย เนื้อขึ้น

การประกาศยุบสภาหลังเวลา 09.39 น. ซึ่งเป็นฤกษ์เคลื่อนพลบุกทำเนียบรัฐบาลของผู้ชุมนุม เพียงไม่กี่นาที คือสิ่งที่รัฐบาลต้องการแสดงว่ารัฐบาลไม่ปรารถนาการเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุมแม้แต่น้อย จึงยอมถอยเสียก่อน

รัฐบาลจึงดูมีภาพพจน์ที่ดีอย่างยิ่ง และหวัง “ได้ใจ” ประชาชนและนานาชาติ

นอกจากนี้รัฐบาลยังหวังจะทำให้ประชาชนผู้ร่วมชุมนุมเกิดความเห็นที่แตกต่างและแตกแยกกันว่า จะเดินหน้าต่อหรือพอใจแค่นี้ ซึ่งจะทำให้แกนนำผู้ชุมนุมตกอยู่ในฐานะยากลำบากในการนำมวลชนต่อไป

หมายความว่า รัฐบาลกำลังต่อสู้โดยทำสงครามจิตวิทยาและสงครามโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเอาชนะผู้ชุมนุมให้ได้อย่างน้อยแนวรบหนึ่งในสงครามรอบใหม่นี้

สอง หมายความว่ารัฐบาลต้องการรักษาระบอบทักษิณโดยรวมเอาไว้ เพราะเห็นว่าหากไม่รีบคลี่คลายสถานการณ์ในตอนนี้ ผลสุดท้ายการชุมนุมมีโอกาสสูงจะนำไปสู่การโค่นล้มระบอบทักษิณอย่างที่ผู้ ชุมนุมต้องการ และเมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างก็ถือว่าแพ้ราบคาบ

เพราะขณะนี้รัฐบาลและระบอบทักษิณประเมินแล้วว่า กำลังเผชิญหน้ากับกระแสต่อต้านจากสังคมอย่างหนักที่สุดซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการถูกโค่นล้มระบอบทักษิณอย่างไม่เคยมีมาก่อน

รัฐบาลและระบอบทักษิณจึงเลือกที่จะยอมแพ้หรือยอมถอยเพื่อรักษาส่วนที่สำคัญที่สุดเอาไว้

ซึ่งนี่คือกลยุทธ์การถอยเพื่อรักษาตัวรอดและเพื่อกลับมาใหม่ หรือเป็นการหย่าศึกพักรบในเวลาที่กำลังเพลี่ยงพล้ำที่สุด โดยไม่เลือกการแตกหัก

สาม หมายความว่ารัฐบาลรู้ตัวเองว่า ขณะนี้รัฐบาลและระบอบทักษิณไม่มีขุมกำลังพอที่จะทำสงครามแตกหักกับกลุ่มผู้ต่อต้านในครั้งนี้ได้ โดยเฉพาะขุมกำลังคนเสื้อแดงที่เคยเป็นพลังสำคัญของรัฐบาล อยู่ในสภาพรวมพลไม่ติด เพราะความแตกแยกภายในและความเสื่อมศรัทธาของมวลชนต่อ “นายใหญ่” และแกนนำ นปช.

กำลังอำนาจเดียวที่รัฐบาลมีอยู่คือตำรวจ ก็คงไม่สามารถต่อกรกับผู้ชุมนุมไปได้มากกว่านี้ และหากตำรวจใช้ความรุนแรงเข้าจัดการกับผู้ชุมนุมมากไปกว่านี้ รัฐบาลและระบอบทักษิณก็จะแพ้ทันที และแพ้อย่างราบคาบด้วย

สี่ หมายความว่ารัฐบาลและระบอบทักษิณกำลังโยนสถานการณ์ร้อนกลับไปให้แกนนำผู้ชุมนุม เพราะรู้ว่าแกนนำผู้ชุมนุมจะไม่ยอมรับการยุบสภาอย่างแน่นอน และต้องเดินหน้าไปมากกว่านี้ เพราะได้ประกาศไว้กับผู้ชุมนุมแล้วว่าจะกำจัดระบอบทักษิณ

การโยนสถานการณ์กลับไปเพื่อให้แกนนำผู้ชุมนุมถึงทางตันในข้อเรียกร้องของตนเอง และไม่มีทางลงจากสถานการณ์ที่ประกาศยกระดับไปแล้ว

ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะพลันที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศยุบสภา แกนนำผู้ชุมนุมก็ขอมติผู้ชุมนุมเพื่อเดินหน้ากำจัดระบอบทักษิณต่อไป และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลาออกจากการรักษาการ เพื่อตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นมารักษาการ และจัดตั้งสภาประชาชนตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม

สถานการณ์ ณ ขณะนี้ การยุบสภาจึงไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ของรัฐบาลและระบอบทักษิณได้ และที่สำคัญไม่สามารถทำให้สถานการณ์การชุมนุมยุติลงได้ง่ายๆ แต่กำลังนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างถอยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และไม่ทางลงจากสถานการณ์ได้มากกว่านี้

เพราะอย่างที่บอกมาตลอดว่า เดิมพันของสงครามการเมืองรอบนี้ มันคือเดิมพันหมดหน้าตักอย่างแท้จริง

โดย – พูลเดช กรรณิการ์

9 ธันวาคม 2556

http://peopleunitynews.com/web02/2013/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A1-3/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่