http://www.peopleunitynews.com/web02/2014/hi-light-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AF%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2-7-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2/
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - สถานการณ์การเมืองในนาทีนี้ถือว่าไหลเข้าสู่ “โหมดนายกฯคนกลาง” ไปเกือบเต็มตัวแล้ว ภายหลังจากที่วุฒิสภาภายใต้การนำของ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานวุฒิสภา และเป็นว่าที่ประธานวุฒิสภาคนใหม่ เดินหน้าการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างรีบเร่งเอาจริงเอาจังโดยไม่หวั่นไหวต่อแรงต้านจากเครือข่ายระบอบทักษิณ ภายใต้เหตุผลว่าจะปล่อยให้ประเทศตกอยู่ในภาวะชะงักงันด้วยการไม่มีนายกฯและไม่มีรัฐบาลตัวจริงต่อไปไม่ได้
ล่าสุดนายสุรชัยถึงกับประกาศว่า ภายในวันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม 2557 นี้ จะต้องได้ข้อสรุปเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ไม่ว่าฝ่ายของระบอบทักษิณ อันได้แก่ ตัวแทนของรัฐบาลรักษาการ ตัวแทนของพรรคเพื่อไทย และตัวแทนจากกลุ่ม นปช. จะตอบรับเข้าร่วมประชุมหารือกับวุฒิสภาตามคำเชิญของนายสุรชัยหรือไม่ ซึ่งจากท่าทีเด็ดเดี่ยวและเต็มไปด้วยภาวะผู้นำของนายสุรชัยเช่นนี้สร้างความหวังและความมั่นใจให้กับหลายฝ่ายว่าประเทศจะหลุดพ้นจากภาวะสุญญากาศการบริหารราชการแผ่นดินไปเสียที ขณะที่ในทางตรงข้ามก็สร้างความหวั่นไหวให้กับฝ่ายของระบอบทักษิณว่าเจอ “คนจริง” เข้าอีกคนแล้ว เพราะพลันที่นายสุรชัยประกาศว่าภายในวันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคมนี้จะต้องเรียบร้อย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องออกมาปราศรัยขู่ว่าจะนำคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาฝั่งกรุงเทพฯ
คำขู่ของนายจตุพรคงไม่ได้ผลกับ “คนจริง” อย่างนายสุรชัย เพราะนาทีนี้นายสุรชัยดูเหมือนจะโด๊ปยาดีมาหลายขนาน และน่าจะรู้ลึกๆแล้วว่านายจตุพรจะไม่สามารถทำอย่างที่ขู่ได้หาก “นายใหญ่” ไม่สั่งสู้ ซึ่งขณะนี้ “นายใหญ่” อยู่ในสภาวะต้องยอมจำนน เพราะน้องสาวคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเป็นตัวประกัน
มีข้อมูลลึกชิ้นหนึ่งที่จำเป็นต้องเผยในตอนนี้ เพราะสามารถทำให้มองเห็นสถานการณ์ต่อจากนี้ได้ชัดขึ้น คือ นายจตุพรและแกนนำ นปช.บางคนลงความเห็นว่า ขณะนี้สถานการณ์สุกงอมและเอื้อที่จะปลุกมวลชนที่สนับสนุนทักษิณทั่วประเทศให้ลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติประชาชนได้ เนื่องจากระบอบทักษิณถูกกระทำอย่างหนัก จึงต้องแปรการถูกกระทำให้เป็นโอกาส แต่ทว่า “นายใหญ่” ไม่เอาด้วย เพราะน้องสาวตกเป็นตัวประกัน และกำลังเปิดดีลเจรจาลับเพื่อช่วยน้องสาว อีกประการหนึ่ง “นายใหญ่” ไม่เชื่อมือนายจตุพรว่าจะทำได้เหมือนปี 53 อีก เพราะฐานมวลชนแตกตัวไปมากแล้ว จึงไม่ต้องการเสี่ยงอีก
จากข้อมูลลึกชิ้นนี้ น่าจะทำให้การเดินหน้าหานายกฯคนใหม่ของวุฒิสภาไม่น่าจะเจอแรงต้านจากกลุ่ม นปช.
ประเด็นสำคัญต่อจากนี้ที่ต้องพูดถึงกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากพอๆกับช่องทางเพื่อให้ได้มาซึ่งนายกฯคนใหม่โดยวุฒิสภา คือ ใครจะเป็นนายกฯคนใหม่ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาและล่าสุดขณะนี้มีรายชื่อของบุคคลหลายคนถูกกล่าวถึงว่าจะเป็นนายกฯคนใหม่ ไม่ว่าจะเรียกนายกฯพระราชทาน หรือนายกฯคนกลาง
ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ
1.ก่อนหน้านี้มีแนวความคิดของบางฝ่ายว่า นายกฯคนใหม่ ควรเป็นนายกฯชั่วคราว เข้ามาระยะหนึ่ง และไม่ต้องมีคณะรัฐมนตรีมากนัก เพื่อเข้ามาปฏิรูปการเมือง อย่างอื่นไม่ต้องทำ เมื่อปฏิรูปการเมืองเสร็จ ก็คืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อเลือกตั้งใหม่
แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพราะกลัวว่าจะเกิดแรงต้านต่อการตั้งนายกฯและต่อรัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้น จึงพยายามลดแรงต้านด้วยเงื่อนไขข้างต้น แนวคิดนี้คล้ายกับรัฐบาล “ขิงแก่” หลังการปฏิวัติ คมช. ที่ตั้งคนแก่มาเป็นรัฐมนตรี อยู่ไปวันๆ ไม่ทำอะไรเลย รอการเลือกตั้ง
แต่ข้อเสียของแนวคิดนี้มีมาก คือ หากนายกฯและรัฐบาลตั้งมาเพื่อให้ปฏิรูปการเมืองอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ต้องทำ สภาวะปัญหาต่างๆของประเทศก็จะไม่ได้รับการแก้ไขและพลิกฟื้น สถานการณ์ของประเทศจะย่ำแย่ขึ้น ความผิดหวังต่อรัฐบาลทั้งของประชาชนทั่วไปและกลุ่มมวลมหาประชาชนก็จะเกิดขึ้น และเสียแรงเปล่า แต่ ทักษิณ ชินวัตร ชอบรัฐบาลแบบนี้ เพราะเมื่อรัฐบาลไม่ทำอะไรเลย คนก็จะนึกถึงผลงานเก่าของทักษิณ และเลือกพรรคของทักษิณกลับมาอีก ผลการเลือกตั้งเมื่อปลายปี 50 ซึ่งพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งคือข้อพิสูจน์อันดี
ดังนั้น การตั้งนายกฯและรัฐบาลชุดใหม่จะต้องได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถมากที่สุด และให้โอกาสรัฐบาลใหม่ทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ และให้เวลาพอสมควรในการทำงาน
2.ตัวบุคคลที่จะเป็นนายกฯคนใหม่ควรมาจากไหน ซึ่งประเด็นนี้ขณะนี้จะเห็นว่ามี 3 แนวทาง คือ หนึ่ง มาจากองคมนตรี ซึ่งล่าสุดปรากฏชื่อ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี
นายชาญชัยนั้นถือว่าเหมาะสมมากในแทบทุกด้าน แต่ข้อด้อยคือเป็นองคมนตรี ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งนำไปเป็นประเด็นโจมตีสถาบันว่าอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น เพื่อมิให้ระคายเคืองสถาบัน นายกฯคนใหม่ไม่ควรเป็นองคมนตรี
สอง มาจากทหาร ซึ่งล่าสุดปรากฏชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ก่อนหน้านี้ปรากฏชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์
ข้อดีของนายกฯจากทหารไม่มีเลยในขณะนี้ มีแต่ข้อเสีย เพราะจะเท่ากับนำทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังการเมืองฉากนี้
สาม มาจากคนนอก ซึ่งเป็นคนกลางและเป็นมืออาชีพ โดยปรากฏชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย
ข้อดีของนายกฯสายนี้คือ เป็นกลาง ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันและทหาร เป็นมืออาชีพ ทำงานได้ แก้ปัญหาประเทศได้ ต่างประเทศเชื่อถือ
ในสามชื่อนี้ นายอานันท์ถือว่าแก่ไปแล้ว ไม่น่าจะรับบทแก้ไขปัญหาประเทศได้ นายสุรเกียรติ์โดดเด่นด้านต่างประเทศด้านเดียว แต่ในประเทศไม่มีเร็ตติ้ง ขณะที่นายสมคิดโดดเด่นด้านเศรษฐกิจ เหมาะสมกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังก่อตัวขึ้น ต่างประเทศยอมรับ ในประเทศเร็ตติ้งดี มวลชนสองฝั่งศรัทธา ยังไฟแรง และถอยห่างออกจากระบอบทักษิณมานานแล้ว
อย่างไรก็ดี ล่าสุดดูเหมือนจะมีนายกฯอีกสายหนึ่งโผล่ขึ้นมา คือ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก ซึ่งถือว่านายศุภชัยมีความโดดเด่นในระดับระหว่างประเทศอย่างมาก แต่ชื่อของนายศุภชัยก็มีจุดอ่อนสำคัญ นั่นคือ เคยเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน จึงมีภาพความใกล้ชิดกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น หากขึ้นมาเป็นนายกฯมาตรา 7 ก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามนำประเด็นนี้ไปโจมตีทันที และไม่เป็นผลดีต่อนายสุเทพและ กปปส. รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์
เอาเหตุผลเนื้อๆมาว่ากันขนาดนี้แล้ว หากยังใช้บริการผิดคนอีก ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
โดย – พูลเดช กรรณิการ์
14 พฤษภาคม 2557
Hi-Light // สู่โหมดนายกฯมาตรา 7 : นายกฯมาตรา 7 ต้องมาจากคนกลาง
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - สถานการณ์การเมืองในนาทีนี้ถือว่าไหลเข้าสู่ “โหมดนายกฯคนกลาง” ไปเกือบเต็มตัวแล้ว ภายหลังจากที่วุฒิสภาภายใต้การนำของ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานวุฒิสภา และเป็นว่าที่ประธานวุฒิสภาคนใหม่ เดินหน้าการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างรีบเร่งเอาจริงเอาจังโดยไม่หวั่นไหวต่อแรงต้านจากเครือข่ายระบอบทักษิณ ภายใต้เหตุผลว่าจะปล่อยให้ประเทศตกอยู่ในภาวะชะงักงันด้วยการไม่มีนายกฯและไม่มีรัฐบาลตัวจริงต่อไปไม่ได้
ล่าสุดนายสุรชัยถึงกับประกาศว่า ภายในวันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม 2557 นี้ จะต้องได้ข้อสรุปเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ไม่ว่าฝ่ายของระบอบทักษิณ อันได้แก่ ตัวแทนของรัฐบาลรักษาการ ตัวแทนของพรรคเพื่อไทย และตัวแทนจากกลุ่ม นปช. จะตอบรับเข้าร่วมประชุมหารือกับวุฒิสภาตามคำเชิญของนายสุรชัยหรือไม่ ซึ่งจากท่าทีเด็ดเดี่ยวและเต็มไปด้วยภาวะผู้นำของนายสุรชัยเช่นนี้สร้างความหวังและความมั่นใจให้กับหลายฝ่ายว่าประเทศจะหลุดพ้นจากภาวะสุญญากาศการบริหารราชการแผ่นดินไปเสียที ขณะที่ในทางตรงข้ามก็สร้างความหวั่นไหวให้กับฝ่ายของระบอบทักษิณว่าเจอ “คนจริง” เข้าอีกคนแล้ว เพราะพลันที่นายสุรชัยประกาศว่าภายในวันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคมนี้จะต้องเรียบร้อย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องออกมาปราศรัยขู่ว่าจะนำคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาฝั่งกรุงเทพฯ
คำขู่ของนายจตุพรคงไม่ได้ผลกับ “คนจริง” อย่างนายสุรชัย เพราะนาทีนี้นายสุรชัยดูเหมือนจะโด๊ปยาดีมาหลายขนาน และน่าจะรู้ลึกๆแล้วว่านายจตุพรจะไม่สามารถทำอย่างที่ขู่ได้หาก “นายใหญ่” ไม่สั่งสู้ ซึ่งขณะนี้ “นายใหญ่” อยู่ในสภาวะต้องยอมจำนน เพราะน้องสาวคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเป็นตัวประกัน
มีข้อมูลลึกชิ้นหนึ่งที่จำเป็นต้องเผยในตอนนี้ เพราะสามารถทำให้มองเห็นสถานการณ์ต่อจากนี้ได้ชัดขึ้น คือ นายจตุพรและแกนนำ นปช.บางคนลงความเห็นว่า ขณะนี้สถานการณ์สุกงอมและเอื้อที่จะปลุกมวลชนที่สนับสนุนทักษิณทั่วประเทศให้ลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติประชาชนได้ เนื่องจากระบอบทักษิณถูกกระทำอย่างหนัก จึงต้องแปรการถูกกระทำให้เป็นโอกาส แต่ทว่า “นายใหญ่” ไม่เอาด้วย เพราะน้องสาวตกเป็นตัวประกัน และกำลังเปิดดีลเจรจาลับเพื่อช่วยน้องสาว อีกประการหนึ่ง “นายใหญ่” ไม่เชื่อมือนายจตุพรว่าจะทำได้เหมือนปี 53 อีก เพราะฐานมวลชนแตกตัวไปมากแล้ว จึงไม่ต้องการเสี่ยงอีก
จากข้อมูลลึกชิ้นนี้ น่าจะทำให้การเดินหน้าหานายกฯคนใหม่ของวุฒิสภาไม่น่าจะเจอแรงต้านจากกลุ่ม นปช.
ประเด็นสำคัญต่อจากนี้ที่ต้องพูดถึงกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากพอๆกับช่องทางเพื่อให้ได้มาซึ่งนายกฯคนใหม่โดยวุฒิสภา คือ ใครจะเป็นนายกฯคนใหม่ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาและล่าสุดขณะนี้มีรายชื่อของบุคคลหลายคนถูกกล่าวถึงว่าจะเป็นนายกฯคนใหม่ ไม่ว่าจะเรียกนายกฯพระราชทาน หรือนายกฯคนกลาง
ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ
1.ก่อนหน้านี้มีแนวความคิดของบางฝ่ายว่า นายกฯคนใหม่ ควรเป็นนายกฯชั่วคราว เข้ามาระยะหนึ่ง และไม่ต้องมีคณะรัฐมนตรีมากนัก เพื่อเข้ามาปฏิรูปการเมือง อย่างอื่นไม่ต้องทำ เมื่อปฏิรูปการเมืองเสร็จ ก็คืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อเลือกตั้งใหม่
แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพราะกลัวว่าจะเกิดแรงต้านต่อการตั้งนายกฯและต่อรัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้น จึงพยายามลดแรงต้านด้วยเงื่อนไขข้างต้น แนวคิดนี้คล้ายกับรัฐบาล “ขิงแก่” หลังการปฏิวัติ คมช. ที่ตั้งคนแก่มาเป็นรัฐมนตรี อยู่ไปวันๆ ไม่ทำอะไรเลย รอการเลือกตั้ง
แต่ข้อเสียของแนวคิดนี้มีมาก คือ หากนายกฯและรัฐบาลตั้งมาเพื่อให้ปฏิรูปการเมืองอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ต้องทำ สภาวะปัญหาต่างๆของประเทศก็จะไม่ได้รับการแก้ไขและพลิกฟื้น สถานการณ์ของประเทศจะย่ำแย่ขึ้น ความผิดหวังต่อรัฐบาลทั้งของประชาชนทั่วไปและกลุ่มมวลมหาประชาชนก็จะเกิดขึ้น และเสียแรงเปล่า แต่ ทักษิณ ชินวัตร ชอบรัฐบาลแบบนี้ เพราะเมื่อรัฐบาลไม่ทำอะไรเลย คนก็จะนึกถึงผลงานเก่าของทักษิณ และเลือกพรรคของทักษิณกลับมาอีก ผลการเลือกตั้งเมื่อปลายปี 50 ซึ่งพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งคือข้อพิสูจน์อันดี
ดังนั้น การตั้งนายกฯและรัฐบาลชุดใหม่จะต้องได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถมากที่สุด และให้โอกาสรัฐบาลใหม่ทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ และให้เวลาพอสมควรในการทำงาน
2.ตัวบุคคลที่จะเป็นนายกฯคนใหม่ควรมาจากไหน ซึ่งประเด็นนี้ขณะนี้จะเห็นว่ามี 3 แนวทาง คือ หนึ่ง มาจากองคมนตรี ซึ่งล่าสุดปรากฏชื่อ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี
นายชาญชัยนั้นถือว่าเหมาะสมมากในแทบทุกด้าน แต่ข้อด้อยคือเป็นองคมนตรี ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งนำไปเป็นประเด็นโจมตีสถาบันว่าอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น เพื่อมิให้ระคายเคืองสถาบัน นายกฯคนใหม่ไม่ควรเป็นองคมนตรี
สอง มาจากทหาร ซึ่งล่าสุดปรากฏชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ก่อนหน้านี้ปรากฏชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์
ข้อดีของนายกฯจากทหารไม่มีเลยในขณะนี้ มีแต่ข้อเสีย เพราะจะเท่ากับนำทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังการเมืองฉากนี้
สาม มาจากคนนอก ซึ่งเป็นคนกลางและเป็นมืออาชีพ โดยปรากฏชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย
ข้อดีของนายกฯสายนี้คือ เป็นกลาง ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันและทหาร เป็นมืออาชีพ ทำงานได้ แก้ปัญหาประเทศได้ ต่างประเทศเชื่อถือ
ในสามชื่อนี้ นายอานันท์ถือว่าแก่ไปแล้ว ไม่น่าจะรับบทแก้ไขปัญหาประเทศได้ นายสุรเกียรติ์โดดเด่นด้านต่างประเทศด้านเดียว แต่ในประเทศไม่มีเร็ตติ้ง ขณะที่นายสมคิดโดดเด่นด้านเศรษฐกิจ เหมาะสมกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังก่อตัวขึ้น ต่างประเทศยอมรับ ในประเทศเร็ตติ้งดี มวลชนสองฝั่งศรัทธา ยังไฟแรง และถอยห่างออกจากระบอบทักษิณมานานแล้ว
อย่างไรก็ดี ล่าสุดดูเหมือนจะมีนายกฯอีกสายหนึ่งโผล่ขึ้นมา คือ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก ซึ่งถือว่านายศุภชัยมีความโดดเด่นในระดับระหว่างประเทศอย่างมาก แต่ชื่อของนายศุภชัยก็มีจุดอ่อนสำคัญ นั่นคือ เคยเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน จึงมีภาพความใกล้ชิดกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น หากขึ้นมาเป็นนายกฯมาตรา 7 ก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามนำประเด็นนี้ไปโจมตีทันที และไม่เป็นผลดีต่อนายสุเทพและ กปปส. รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์
เอาเหตุผลเนื้อๆมาว่ากันขนาดนี้แล้ว หากยังใช้บริการผิดคนอีก ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
โดย – พูลเดช กรรณิการ์
14 พฤษภาคม 2557